นรกภูมิ
ณ เมืองยมโลก ประตูสู่ดินแดนนรกที่วิญญาณทั้งหลายไม่อยากย่างกรายเข้ามา
“ยมบาลมัจฉา ช่วยติดต่อยมทูตปาณะให้เราหน่อยสิ เราอยากรู้ว่าทำไมจนป่านนี้แล้วยังตามหาดวงวิญญาณรนิดาไม่เจออีก เส้นตายแค่เย็นนี้แล้วนะ” ท่านพญามัจจุราชผู้ยิ่งใหญ่ในนรกภูมิ กล่าวกับยมบาลที่ทำหน้าที่แยกแยะความชั่วของมนุษย์อย่างร้อนใจ เพราะตอนนี้ก็กินเวลาเข้าไปหลายชั่วโมงแล้ว ที่ยมทูตผู้มีหน้าที่รับวิญญาณยังตามหาหญิงสาวที่ดวงยังไม่ถึงฆาต แต่ตกใจจนเตลิดหายไปจากร่างไม่พบ ที่สำคัญที่สุดร่างของเธอกำลังจะถูกเผาพร้อมกับบิดาของเธอในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้วด้วย
“เจ้านั่นมันอยู่กับมนุษย์นานจนลืมเรื่องเวลาไปแล้วหรือไร” พญามัจจุราชพึมพำกับตัวเอง
“ไม่ลืมหรอกขอรับท่านยมราช หนึ่งชั่วโมงของเราเท่ากับโลกมนุษย์หนึ่งวันกระผมยังจำได้ขึ้นใจขอรับ” ยมทูตปาณะขึ้นมารายงานตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ได้รับการติดต่อผ่านกระแสจิตจากทางนรกภูมิ
“แล้วทำไมเจ้ายังตามหาดวงวิญญาณของรนิดาไม่พบอีกเล่า เราร้อนใจนะ ถ้าเกิดร่างของนางถูกเผาขึ้นมา เราจะรับผิดชอบเรื่องนี้กันได้เหรอ”
“กระผมขอโทษขอรับท่านยมราช กระผมได้เจอกับดวงวิญญาณของนางหนหนึ่งแล้ว แต่ก็พลาดไปอย่างเฉียดฉิว นางหนีได้ไวมากขอรับ กระผมเรียกอย่างไรก็ไม่ฟัง”
“เธอคงตกใจมากสินะ” ท่านพญามัจจุราชนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ร่างของวิญญาณดวงนั้นกำลังจะถูกรถชน หน้าตาของเธอบ่งบอกว่าช็อกสุดขีดตอนที่รถคันใหญ่พุ่งเข้าใส่ ก่อนจะกรีดร้องอย่างเจ็บปวดตอนที่ถูกกระแทกใส่ร่าง และวิญญาณก็หลุดลอยไปคนละทิศละทางกับร่างกายเมื่อกระแทกลงสู่พื้นถนน
“ท่านยมทูตปุลากลับมาแล้วขอรับท่านยมราช” ยมบาลมัจฉากล่าวรายงาน
“เร่งด่วนแบบนี้ทำไมเราไม่ให้ท่านยมทูตปุลาไปช่วยท่านยมทูตปาณะอีกแรงเล่าขอรับ เพราะอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งจะเกิดสึนามิที่ชายฝั่งอันดามันของไทย ยมทูตเกือบทั้งหมดจะต้องไปรับวิญญาณที่นั่นนะขอรับ” ยมบาลเมฆาที่ทำหน้าที่ตรวจสมุดบัญชีความตายเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม
“ทำตามที่เจ้าแนะนำก็แล้วกัน ยมทูตปาณะพายมทูตปุลาไปเดี๋ยวนี้เลย เวลาเราเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว”
“ขอรับท่านยมราช” ยมทูตทั้งสองขานรับพร้อมเพรียงพร้อมอาวุธสามง่ามและบ่วงรัดวิญญาณก่อนจะหายตัวไปในทันที
“เจ้าสองตนคิดว่าว่าสองยมทูตนั่นจะพาดวงวิญญาณของรนิดากลับมาได้ไหม”
“เรื่องนี้กระผมสุดคาดเดาขอรับท่านยมราช แต่มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมากๆ ตั้งแต่กระผมทำงานกับท่านมาก็เพิ่งพบเจอไม่ถึงสิบครั้ง” ยมบาลมัจฉาตอบด้วยเหตุผล แต่ก็หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ชะตาลิขิต
“เฉลี่ยหนึ่งหมื่นสองพันปีต่อครั้งขอรับท่านยมราช ทั้งหมดเคยเกิดขึ้นแล้วแปดครั้งขอรับ ครั้งล่าสุดเคยเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นห้าพันปีที่แล้วขอรับ” ยมบาลเมฆาตอบอย่างละเอียด
เฮ้อ! ท่านพญามัจจุราชถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม มองหน้ายมบาลเลขาทั้งซ้ายขวา
“เจ้าทั้งสองเตรียมร่างสัญญารอดวงวิญญาณของรนิดาเอาไว้ก็แล้วกัน แล้วก็ร่างโทษไว้ให้ยมทูตปาณะด้วย เขาเพิ่งทำผิดครั้งแรกใช่ไหม”
“ขอรับท่านยมราช”
“ถ้าเลือกได้เราไม่อยากทำโทษเขาเลย แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ” ก็แค่ต้องไปทำหน้าที่อยู่ในนรกภูมิชั้นที่เลวร้ายที่สุดหนึ่งปีเท่านั้น และหวังว่าเขาจะไม่ทำผิดพลาดอีก
“กระผมเข้าใจความรู้สึกของท่านดีขอรับ แต่เราไม่รู้ว่ายมทูตปาณะใจอ่อนกับดวงวิญญาณของรนิดาหรือเปล่า ดังนั้นที่ท่านตั้งกฎลงโทษเอาไว้ถือว่าทำถูกต้องแล้วขอรับ” ยมบาลเมฆาผู้เคร่งครัดตอบอย่างเฉียบขาด เตรียมสัญญาร่างสองฉบับไว้ให้หนึ่งดวงวิญญาณกับหนึ่งยมทูต
“อีหนูทำไมถึงมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ล่ะ”
ณ มุมหนึ่งของโรงพยาบาลอันกว้างขวาง รนิดาที่แอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยผ้าสีและพวงมาลัยปาดน้ำตา เงยหน้าขึ้นมองชายชราหน้าตาใจดีในชุดสีขาวสะอาดสะอ้าน
“หนูอยากเจอพ่อแต่หนูหาพ่อไม่พบค่ะคุณตา” เธอรู้ว่าบิดาเสียชีวิตแล้ว เพราะเห็นวันที่ครอบครัวมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของท่านออกจากโรงพยาบาลพร้อมกับร่างของตน จึงตามหาวิญญาณของท่านเพื่อที่จะเดินทางกลับบ้านไปด้วยกัน
แต่หาอย่างไรก็ตามหาไม่พบ ซ้ำยังเจอกับยมทูตหน้าตาดุดัน รูปร่างสูงใหญ่ ตามจับจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพื่อเอาตัวรอดให้ได้จนกว่าจะได้เจอกับบิดา เมื่อรู้สึกว่าปลอดภัยจากการตามล่าแล้วก็ออกตามหาบิดาใหม่จนทั่วก็ยังไม่เจอ ด้วยความท้อแท้ใจจึงมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงนี้และร้องไห้ออกมา
“ตามหาพ่อไม่เจอ”
“ค่ะคุณตา คุณตาช่วยหนูหน่อยสิคะ” เธอเดาเอาจากความคิดและเรื่องที่เคยได้ยินมาจากคนอื่นล้วนๆ ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ว่าคุณตาท่านนี้ต้องเป็นเจ้าที่เจ้าทางของโรงพยาบาลแห่งนี้แน่ๆ
“ตาช่วยหนูไม่ได้หรอกนะ มนุษย์เราตายแล้วก็มีที่ไปเหมือนกัน ป่านนี้พ่อของหนูคงไปแล้วแหละ คงไม่ได้เร่ร่อนอยู่แถวนี้เหมือนหนูหรอก”
“แต่หนูก็เห็นวิญญาณอื่นๆ เหมือนกันนี่คะคุณตา”
“ที่หนูเห็นนั่นคือพวกสัมภเวสีต่างหาก หรือบางส่วนก็คือวิญญาณที่ยังไม่ถึงคราวตาย แต่เตลิดออกจากร่างเพราะความตกใจ ร่างของเขากำลังอยู่ในห้องไอซียู ห้องฉุกเฉิน รอการต่อชีวิต เดี๋ยวเขาก็ได้กลับเข้าร่างแล้ว” คุณตาเจ้าที่พยายามบอกใบ้ให้หญิงสาวรู้ตัว ว่าตัวเธอยังไม่ถึงที่ตายแทนการบอกไปตรงๆ เพราะไม่อยากทำผิดกฎของโลกภูมิ นรกภูมิ “ทำไมหนูไม่กลับไปดูที่บ้านล่ะ บางทีพ่อหนูอาจจะไปรอหนูอยู่ที่บ้านก็ได้นะ”
วันต่อมา วันต่อมา และวันต่อมาที่โต๊ะอาหารเช้าภายในจวนใต้เท้าเฟิ่งจะมีแขกพิเศษมาร่วมด้วยทุกวัน และคนที่ฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียดด้วยความไม่พอใจมากที่สุดก็คือเฟิ่งต้าชวี่ เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาไม้นี้เมื่อสี่วันก่อนหลังจากที่นางยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่กลับไปกับเขา เขาก็ยอมเดินออกจากจวนของนางไปอย่างสงบ นางก็คิดว่าทุกอย่างจะจบแล้ว แต่นางคิดผิดถนัด เพราะนางจะถูกปลุกให้ตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิมเป็นเวลาสามวันติดกันแล้ววันนี้เป็นวันที่นางโมโหมากที่สุด เพราะถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามเหม่า ต้องตื่นก่อนพระอาทิตย์เริ่มทำงานเสียอีก ที่น่าโมโหยิ่งกว่าก็คือสาวใช้ตัวแสบจะปิดประตูขังนางไว้กับเขาเพียงสองต่อสองทุกวันจนถึงเวลาอาหาร และนางก็ต้องเสียจูบให้เขาทุกครั้งที่เจอหน้า“ถ้าวันนี้เจ้าไม่กลับไปกับท่านอ๋อง ข้ากับแม่ของเจ้าจะไปส่งเจ้าด้วยตนเอง” ใต้เท้าเฟิ่งบอกกับธิดาหัวแก้วหัวแหวนที่ไม่รู้ไปเอาความดื้อรั้นแบบนี้มาจากไหน“ท่านพ่อกำลังไล่ลูกหรือเจ้าคะ” ฝ่ายลูกสาวถามบิดาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเฟิ่งเจิงจงปวดใจกับคำตัดพ้อของธิดายิ่งนัก แต่ก็ไม่ยอ
อ๋องใหญ่เกาหรงซานกระตุกยิ้มมุมปากแทบจะมองไม่เห็น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอันสับสนวิ่งแว่วมาแต่ไกล ซึ่งถ้าไม่ใช่คนที่ฝึกวิทยายุทธ์ และมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งจะก็ไม่รู้สึกได้เร็วแบบเขารับรู้ถึงกลิ่นกายหอมกรุ่นที่คุ้นจมูกใกล้เข้ามาเต็มที จึงลุกขึ้นยืนรอท่าเฟิ่งต้าชวี่หยุดนิ่งที่ด้านหน้าของบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนาง จ้องเขาตาไม่กะพริบ“เจ้าคงดีใจที่ได้เห็นหน้าข้า” แม้แต่กระเซ้านางเล่นหน้าตาก็ยังดุดันไม่แสดงอารมณ์“ใช่ ข้าดีใจมาก” พูดจบนางก็รัวกำปั้นใส่แผ่นอกหนากว้างของเขาไม่ยั้ง ดับอารมณ์โกรธแค้นที่เขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วย แต่ทั้งหมดก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุแม่ทัพผู้เกรียงไกรปล่อยให้นางที่อยู่ในดวงใจตลอดหลายสิบวันลงมือทำร้ายจนเรี่ยวแรงของกำปั้นน้อยๆ นั้นเริ่มแผ่วลง เขายอมนางเพราะคิดว่านางโกรธแค้นที่ไม่เคยเอาใจใส่มาตลอดสองปีกว่าที่ได้แต่งงานกัน หลังจากนั้นจึงรวบร่างระหงเอาไว้กับอก อยากจะฝังปลายจมูกลงไปที่ไหล่กลมกลึงกับไหปลาร้างามได้รูป แต่ก็ต้องยั้งใจเอาไว้“เจ้าโกรธข้าหรือ”“ข้าเกลีย
เรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งสะดุดตาหายลงไปในน้ำอีกครั้งเหลือเพียงแต่ศีรษะ คำพูดเงียบไปชั่วเวลาครึ่งเค่อ มีแต่เสียงหายใจของเจ้านายกับบ่าวเท่านั้น ตลอดระยะเวลานั้นต้าชวี่คิดทบทวนคำพูดของสาวใช้คู่ใจอย่างรอบคอบ และสรุปกับตัวเองว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดนางจะยอมรับชะตากรรมทุกอย่างแต่โดยดี แต่นางจะไม่ยอมยกโทษให้เขาคนนั้นง่ายๆ เหมือนที่ใครอีกคนเคยเป็น ถ้าต้องกลับไปอยู่ด้วยกันจริงๆ นางจะสั่งสอนให้เขารู้ว่านางไม่ใช่ของตาย นางก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเหมือนที่เขามีต้าชวี่ลุกขึ้นแล้วยื่นแขนให้หลี่ประคองออกจากอ่างอาบน้ำ จากนั้นกางแขนให้นางช่วยซับตัวจนแห้ง แล้วจึงสวมเสื้อคลุมเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ลงมือประทินโฉมให้ตัวเอง เพราะไม่ชอบการแต่งหน้าที่เหมือนงิ้วของสาวใช้“เจ้าทำอะไรของเจ้า” ผู้เป็นนายถามสาวใช้ที่เริ่มเกล้าผมขึ้นกลางศีรษะ“วันนี้คุณหนูจะมวยผมง่ายๆ เหมือนเดิมไม่ได้นะ คุณหนูต้องมวยผมแบบสตรีที่ออกเรือนแล้วเจ้าค่ะ”“พอเลย เจ้าไม่ต้องทำให้ข้าแล้ว ข้าจะทำของข้าเอง” พูดจบนางก็แย่งหวีจากมือสาวใช้ ใช้มือสางผมให้สยายแล้วค่อยเ
ถึงแม้ภายนอกจะดูเป็นคนแข็งกระด้าง แววตาไม่เคยสื่อความรู้สึกใดๆ สามารถฆ่าคนได้ในพริบตา แต่จิตใจข้างในนั้นมีแต่ความห่วงใยและความจงรักภักดี ยอมพลีชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด ไม่ยอมอยู่อย่างสุขสบายเช่นองค์ชายองค์อื่นๆ เป็นพี่ชายที่ไม่เคยมีความอิจฉาริษยามีแต่ความรักและเอาใจใส่ให้พระองค์มาตลอด พระองค์จึงรักและเคารพในตัวพี่ชายคนนี้มาก“เข้าใจก็ควรรีบปราม อย่าปล่อยให้นางหลงระเริงจนลืมตัวมากไปกว่านี้”“ข้าจะบอกกับพี่สาวของนางให้ตักเตือน เช่นนี้พี่ใหญ่พอใจหรือยัง”“พี่กับน้องก็ไม่ต่างกันหรอก” เกาหรงซานตำหนิผู้เป็นพระมเหสีต่อหน้าพระสวามีของนาง“เรื่องนั้นข้าก็รู้พี่ใหญ่ แต่นางคงไม่กล้าให้ท้ายน้องสาวของนางจนออกนอกหน้าหรอกพี่ใหญ่ อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องของตำหนักฝ่ายใน ข้าไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายมากนัก” โอรสสวรรค์บอกเหตุผลแก่พี่ชาย เพราะกลัวเขาจะคิดว่าพระองค์ไม่ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น“ข้าเตือนเพราะกลัวพระองค์จะลืมว่าพวกนางเป็นพี่น้องกัน แต่ในเมื่อพระองค์มั่นใจว่าพระมเหสีจะจัดการอย่างเป็นธรรมข้าก็พอใจ ข้าจะกลับล
“ทำไมพี่สะใภ้ถึงดุนักล่ะพี่ใหญ่” องค์หญิงสามที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์ด้วยความบังเอิญ กระซิบถามบุรุษที่อำพรางกายเพื่อชมเหตุการณ์อยู่หลังพุ่มไม้“นางไม่ได้ดุหรอก นางแค่ปกป้องเกียรติของนางเท่านั้น เจ้าก็เห็นอย่างที่ข้าเห็นมิใช่หรือ” เขาตั้งใจมาดักพบนางตรงนี้ เพราะรู้ว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางหลัก ที่ทุกคนต้องไปยังที่จอดรถม้าก่อนออกจากกำแพงวังหลวงแต่ขณะที่นางกำลังจะเดินมาถึงทางแยกแห่งนี้ หมินหมิ่นก็ตามมาหาเรื่องนางเสียก่อน ตอนที่เห็นนางถูกตบเขาแทบจะออกไปฆ่าหญิงสาวคนนั้นด้วยมือของตนเอง แต่เมื่อเห็นนางสวนกลับไปทันควันอย่างไม่น้อยหน้า เขาจึงหักห้ามใจเอาไว้ แล้วน้องสาวคนนี้ก็เดินเข้ามาสะกิดถามว่าทำอะไรอยู่ตรงนี้ เขาจึงบอกให้นางเงียบๆ และชวนให้ดูด้วยกัน“ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าหมินหมิ่นจะร้ายได้ขนาดนี้ ที่แท้นางแสร้งทำเป็นอ่อนโยนหรือเพราะว่านางโมโหกันแน่พี่ใหญ่”“เจ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกันเจ้าดูไม่ออกหรือ” นางก็เหมือนกับพี่สาวของนางนั่นแหละ ต่อหน้าพระสวามีผู้เป็นโอรสสวรรค์ก็แสร้งทำเป็นจิตใจงดงามอ่อนโยนต่อพระสนมองค์อื่น แต่พอล
หลี่รีบวิ่งไปหาคุณหนูของตนพร้อมรอยยิ้มกว้าง เมื่อเห็นนางเดินลงมาจากศาลาวิหคเหิน“งานเลี้ยงสนุกไหมเจ้าคะ.. คุณหนูได้กำไลเป็นรางวัลหรือเจ้าคะ” คำถามของนางเปลี่ยนไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อมองเห็นกำไลหยกขาวที่ข้อมือซ้ายของเจ้านาย“อือ” ตอบสั้นๆ แล้วดึงสาวใช้ไปยังมุมหนึ่งของสวนหย่อม “เจ้าจำแม่ทัพใหญ่เกาหรงซานได้หรือไม่”ใบหน้าที่คลี่ยิ้มสดใสเปลี่ยนเป็นตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะพยายามคลี่ยิ้มกลบเกลื่อน“ทำไมหรือเจ้าคะ”“เขาแต่งงานแล้วหรือยัง”“แต่ง.. แต่งแล้วๆ เจ้าค่ะ คุณหนูรู้อะไรมาหรือเจ้าคะ” หรือว่านางจำได้แล้วว่าชื่อเกาหรงซานที่คุ้นหูนักคุ้นหูหนานั้นชื่อเหมือนสามีของตัวเอง และเขาคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือสามีของนาง“แล้วฮูหยินของเขามาร่วมงานวันนี้ด้วยหรือไม่”“ไม่.. ไม่นี่เจ้าคะ ข้าไม่เห็นนางเลย เรารีบกลับจวนกันเถอะเจ้าค่ะ หิมะเริ่มตกแล้ว เสื้อคลุมก็ไม่ได้หยิบลงมาจากรถม้า เดี๋ยวคุณหนูจะไม่สบายเอานะเจ้าคะ” หลี่รีบบอกปัดเพื่อไม่ให้นางสนใจคนผู้นั้นมากไปกว่านี้ ไม่ได้รู้เลยว่าคนผู้นั้นทำให้คุณหนูของนางใจเต้นไม่เป็นจังหวะไปหลายรอบแล้วตอนที่อยู่บนศาลาวิหคเหินจิตใจของต้าชวี่เหี่ยวเฉาลงไปเล็กน