“กำไลหยกขาวงั้นหรือ”
ไม่นานทหารองครักษ์ที่สวมเกราะสีเงิน ก็รีบวิ่งนำสิ่งที่ถานซินเยว่ตามหามาให้
“ท่าน…เอ่อ นี่พ่ะ…ขอรับ”
บุรุษหนุ่มหันมามองกำไลหยกขาวในมือที่แตกเป็นสองชิ้น ซินเยว่ยังไม่สามารถลุกขึ้นได้ หมอหลวงจางรีบวิ่งเข้ามาในทันทีเมื่อรู้ว่าซินเยว่ได้รับบาดเจ็บเพราะม้านางตกใจ
“ซินเยว่! เจ้าเป็นอะไร…เอ่อ ถวาย…”
“แม่นางข้าต้องขออภัยที่ทำให้เจ้าตกใจจนได้รับบาดเจ็บ ขาเจ้าคงแพลงและลุกไม่ได้ ขออภัยด้วย หมอจาง! รีบไปเตรียมตัวข้าจะรักษานาง”
“ท่าน!”
ไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยถามนามของเขา บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็รวบตัวนางขึ้นมาอุ้มท่ามกลางความตื่นตกใจของคณะหมอหลวงและทหารที่ติดตามมานับสามสิบคน ทุกคนไม่กล้าเอ่ยอะไรทั้งสิ้นจนเขาพานางเข้ามาในห้องรักษา
“โอ๊ย!”
“เจ็บหรือ”
เขาเอ่ยถามเมื่อพานางมาวางที่เตียง ไม่คิดว่าตัวของสตรีจะเบาเช่นนี้ เพราะดูจากอายุของนางน่าจะอ่อนกว่าเขาไม่เกินห้าปี แต่สีหน้าที่ยังนิ่งระคนตกใจและเศร้านี้ทำให้เขานึกสนใจ
“คือว่ากำไลหยกนี่…”
“ท่านหาเจอแล้วหรือ ข้า…. มัน… แตกแล้วหรือ”
“ขอโทษด้วย ข้าเข้าใจว่ามันคล้องกับสายบังเหียนม้าก็เลยตัดสินใจทำให้มันหลุดออกมา ไม่คิดว่ามันจะสำคัญ”
“ช่างเถอะ แต่ข้าขอคืนได้หรือไม่ ท่านคือ…”
“คุณหนูถาน ผู้นี้ก็คือ…”
“ข้าชื่อ “เฉินเฟิ่งเซียว” เป็นหมอหลวงที่เมืองหลวงเสิ่นโจวส่งมาเพื่อช่วยรักษาคนที่นี่”
“ท่านอ๋อง” หันไปปรามหมอเวินและใช้สายพระเนตรบอกเป็นนัยว่าให้แจ้งทุกคนเช่นนั้น หมอเวินคำนับและรีบเดินออกไปในทันที หมอจางที่รออยู่หน้าห้องเองก็ต้องเดินตามไปเช่นกัน
“หมอหรือ ที่แท้พวกท่านก็มาจาก...โอ๊ย! ท่านทำอะไรน่ะ”
เฉินเฟิ่งเซียวจับขานางบิดให้ถูกท่าตามหลักการแพทย์ แต่ไม่ได้บอกนางก่อนเพราะเกรงว่าซินเยว่จะเกร็ง เมื่อจัดกระดูกเสร็จแล้วเขาจึงเริ่มถอดถุงเท้าของนางออกจนซินเยว่ร้องออกมา
“เดี๋ยวก่อน! ท่านจะทำอะไร”
“ข้าก็จะทำแผลให้เจ้า กระดูกพึ่งจะเข้าที่ข้าจำเป็นต้องพันแผลให้เจ้าก่อน กระดูกจะได้ไม่เคลื่อนอีก”
“ขะ ข้าคิดว่าไม่ต้องก็ได้”
“ไม่ได้ หากปล่อยเอาไว้เจ้าอาจจะกระดูกผิดรูปไปเป็นการถาวร เชื่อข้าสิข้าเป็นหมอนะ”
“ท่านจะเก่งกว่าหมอเวินที่เป็นแพทย์หลวงของท่านอ๋องแห่งเสิ่นโจวได้เช่นไรกัน ให้เขามารักษาข้าก็ได้”
“เจ้าไม่มั่นใจงั้นหรือว่าข้าจะรักษาเจ้าได้”
“ก็ท่านทำให้ข้าเจ็บ โอ๊ะ! อย่านะ ท่านจะทำอะไรก็ช่วยบอกข้าก่อนได้หรือไม่ ข้าเจ็บมาสองสามรอบแล้วท่านอย่าเล่นทีเผลอสิ”
“ข้าไม่ได้เล่น ข้ากำลังรักษาข้อเท้าให้เจ้า”
“ข้าหมายถึง… ช่างเถอะแล้วจะทำอะไรต่อ”
“ใส่ยาและพันแผล บอกเท่านี้ได้ใช่หรือไม่”
“ไม่ต้องเปิดมากใช่หรือไม่”
เฟิ่งเซียวหันไปมองใบหน้าที่แดงจัดของดรุณีน้อยตรงหน้า เขาคิดว่านางดูไร้เดียงสาและน่าสนใจยิ่งนัก แม้จะยังไม่ทราบว่านางคือผู้ใดมาจากไหนก็เถอะ แต่ดวงตากลมดุจลูกกวางน้อยที่แม้จะสดใสแต่กลับมองแล้วเศร้ายิ่งนักคู่นั้น สะกดให้เขาอยากรู้เรื่องของนางขึ้นมา
“เจ้าคือใคร เหตุใดจึงได้มาที่นี่”
“ข้าชื่อถานซิวเยว่ เป็นบุตรสาวของพ่อค้าในเมือง โอ๊ย! เจ็บนะ! ท่านทำเบา ๆ หน่อยสิ ข้าว่าให้ท่านหมอเวินมาทำจะดีกว่า หรือไม่ก็หมอจางก็ได้ ข้าสนิทกับเขานะเขาเป็นคนมือเบา…”
เฉินเฟิ่งเซียวปล่อยให้นางพูดไปเรื่อย ๆ เพราะเขาเริ่มทำแผลแล้ว จะดีมากหากว่านางลืมความเจ็บปวดนี้ได้ แต่เมื่อเขาค่อย ๆ ดึงขากางเกงนางออกกลับรู้สึกแปลกใจที่เห็นรอยฟกช้ำที่ขาของนาง และเมื่อดึงขึ้นก็ดูเหมือนว่าจะมีอีกหลายรอย แต่ว่าซินเยว่รู้ตัวเสียก่อน
“ท่านทำอะไรน่ะท่านหมอ! ข้าคิดว่าท่านพันแผลให้ข้าก็พอแล้ว”
“แต่เหมือนว่าขาของเจ้า”
“ไม่มีอะไรหรอก ตอนที่โดนม้าลากเมื่อครู่คงบาดเจ็บน่ะ เอาไว้กลับไปข้าทำแผลเอง”
“เช่นนั้นข้าจะจ่ายยาให้เจ้า”
“ไม่ต้อง! บ้านข้าเป็นร้านขายยา ข้าจัดการเองได้ รีบ ๆ พันแผลเถอะข้าไม่อยากกลับร้านเย็นนักเดี๋ยวจะโดนดุ”
“เช่นนั้นรอสักครู่นะ”
เฟิ่งเซียวเก็บความสงสัยนี้เอาไว้และมิได้เอ่ยสิ่งใดอีกจนพันแผลให้นางจนเสร็จ เขาสังเกตว่าซินเยว่เริ่มระแวงและไม่ปล่อยให้เขาจับต้องร่างกายนางมากแล้ว หลังจากที่เขาบาดแผลของนาง
“ช่วงสองสามวันนี้ เวลาเดินเจ้าก็ต้องระวังให้มากเล่า”
“รู้แล้ว ๆ ข้าก็พอจะรู้ว่าต้องดูแลตัวเองยังไง มิใช่ว่าพึ่งจะเจ็บ…เอ่อ ช่างเถอะข้าเป็นเถ้าแก่เนี้ยร้านขายยา ขอบคุณที่ช่วยทำแผลให้…!!”
“ระวัง!”
ซินเยว่ไม่ทันได้คิดว่าตอนนี้นางขาพลิกและยังไม่สามารถลุกพรวดพราดได้เหมือนแต่ก่อน พอลุกแล้วก็มิอาจทรงตัวได้ ร่างบางจึงเซไปหาบุรุษหนุ่มตรงหน้า เขารับนางเอาไว้ได้แต่ตัวนางก็โถมเข้ามาจนริมฝีปากของทั้งคู่ชนกันอย่างไม่ตั้งใจ ซินเยว่รีบดันตัวออกมาทันทีเมื่อดึงสติได้ นางไม่เคยทำเช่นนี้กับใครและนี่เป็นครั้งแรกที่อยู่ใกล้บุรุษจน…
“ขออภัยด้วยข้า...ข้า... ไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ”
เฉินเฟิ่งเซียวมิได้กล่าวสิ่งใด เขาแค่ยืนนิ่ง ๆ และมองดูนางเท่านั้นเฉินเฟิ่งเซียวมิได้กล่าวสิ่งใด เขาแค่ยืนนิ่ง ๆ และมองดูนางเท่านั้น เขาไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงตกใจขนาดนั้น "ก็แค่ปากชนกันเองมิใช่หรือ" นั่นคือความคิดของเขาในตอนนี้
“ขาของเจ้ายังเดินไม่ค่อยถนัด ระวังหน่อยนะ”
“ทะ ท่าน…นี่ท่าน…”
“ข้าทำไมหรือ”
ซินเยว่แทบจะไม่กล้าหันไปมองใบหน้าคมคายนั่น นางพึ่งจะมารู้ตัวและสังเกตเขาในตอนนี้เองว่าบุรุษหนุ่มในชุดขาวตรงหน้ารูปร่างสูงโปร่งแข็งแรง ตัวของเขาล่ำกว่าที่เห็นภายนอกมาก อีกอย่างใบหน้าดุจหยกประดับและกลับนิ่งราวก้อนหินนี้ทำให้นางหัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
“ข้า…”
“ข้าว่าควรหาไม้ที่พยุงเจ้าให้ดีกว่า เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนข้าจะให้ท่านหมอเวินหาไม้พยุงให้เจ้า”
เฟิ่งเซียวเดินออกไปแล้วนางจึงนั่งลงที่เตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาข้างนอกได้จนต้องใช้มือทาบอกเอาไว้
“ให้ตายเถอะ ใจเย็น ๆ หน่อยซินเยว่ อีกฝ่ายนิ่งราวกับท่อนไม้ไร้ความรู้สึก เจ้าจะคิดอะไรมากมาย ก็แค่อุบัติเหตุเท่านั้น”
เฟิ่งเซียวเดินออกมา และเรียกท่านหมอเวินเข้าไปทันที
“ท่านหมอเวิน”
“ถวาย…”
“อย่า! ข้าบอกท่านแล้วว่าอยู่ที่นี่ ให้เรียกว่าหมอเฉิน”
“แต่ว่าท่านอ๋อง เช่นนี้จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ามาเป็นการส่วนตัว ท่านก็บอกให้คนอื่น ๆ ทำตามก็พอ ข้าไม่อยากให้ชาวบ้านแตกตื่นและทำตัวไม่ถูก”
“เช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ว่าแต่... คุณชายต้องการสิ่งใดหรือขอรับ”
“ข้าอยากได้ไม่พยุงสำหรับเดินให้แม่นาง…เอ่อ...”
“คุณหนูถานหรือขอรับ เช่นนั้นข้าจะรีบให้หมอจางเอาไปให้นางเดี๋ยวนี้เลย”
“หมอจางหรือ จางหลงจื่อสินะเช่นนั้นก็ฝากท่านด้วย เสร็จแล้วท่านก็มาคุยกับข้าสักหน่อย”
“ได้ขอรับ”
เฟิ่งเซียวเดินไปสั่งยา เขาพึ่งจะสังเกตเห็นสมุนไพรที่อยู่ในห้องเก็บยาซึ่งมีจำนวนมากและพอต่อการใช้งาน
“ท่านหมอเวินเหตุใดจึงมีสมุนไพรมากถึงเพียงนี้ ไหนบอกว่าที่นี่ขาดแคลนยามิใช่หรือ”
“ทูลท่านอ๋อง เห็นว่าเป็นร้านขายยาเป่าจิ้นถานของแม่นางน้อยเมื่อครู่นี้นำมาให้ท่านหมอเวินพ่ะย่ะค่ะ เพราะมีนางคอยส่งทั้งสมุนไพรที่จำเป็น เครื่องนุ่งห่มและอาหารมาให้ ที่นี่ก็เลยไม่ขาดยา ขาดก็แต่หมอที่ช่วยรักษาชาวบ้านที่พึ่งประสบภัยมาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ถาน… สกุลถานงั้นหรือ”
จวนรับรอง
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ สกุลถานเป็นตระกูลพ่อค้าอันดับหนึ่งของอำเภอลี่เหมินซึ่งทำการค้าขายทางเรือ แต่เพราะเกิดประสบภัยเสียก่อนบิดาของคุณหนูถานจึงติดอยู่ที่เมืองเสวี่ยหง คงอีกหลายเดือนกว่าจะเดินเรือกลับเข้าฝั่งได้”
“ถานซินเยว่ บุตรีคนที่สามของคหบดี “ถานต่งซุน” ช่างเป็นดรุณีน้อยที่น่าสนใจยิ่งนัก”
“น้องแปด มีเรื่องด่วนอะไรงั้นหรือ ให้พวกข้า…”ฟ่านหรงยกมือขึ้นห้ามพี่สามของตัวเอง และส่ายศีรษะทันที “ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกพ่ะย่ะค่ะ พี่สามอย่าได้เป็นห่วง”“ก็แค่องค์หญิงต่างแคว้นที่ถูกส่งมาเป็นเชลยหย่าศึก พยายามแอบหนีออกจากเมืองก็เท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ”“น้องเก้า! หุบปากของเจ้าไปเลย”ตงหรานหันไปมองหน้าเฟิ่งเซียวทันที พวกเขารู้ว่าก่อนที่ฟ่านหรงจะไปที่เมืองหลิงโจวครั้งก่อน ได้ทำศึกที่ชายแดนตะวันออกและได้รับตัวองค์หญิงต่างแคว้นมาคนหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่เคยได้ถามที่มาที่ไปเดิมทีคนอย่างเฉินฟ่านหรงที่ชอบช่วยเหลือพี่น้องของตัวเอง แต่พอเป็นเรื่องของเขาในดินแดนบูรพา กลับไม่อยากให้พี่น้องคนอื่น ๆ ร่วมรับรู้ด้วย และมักจะชอบจัดการด้วยวิธีของเขาเอง ซึ่งทุกคนล้วนทราบกันดี“ข้าเข้าใจแล้ว แต่หากเจ้าอยากจะให้ช่วยเรื่องใดต้องรีบบอกทันที ข้ากับเยว่เอ๋อร์คงจะกลับไปพักที่เสิ่นโจวพักใหญ่ และไม่ได้กลับไปหลิงโจวในตอนนี้”“ขอบคุณพี่สาม แต่เหตุการณ์ที่นั่นข้าเพียงคนเดียวก็สามารถจัดการได้พ่ะย่ะค่ะ อย่างไรข้าขอตัวไปเก็บของก่อน”“เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ”แม้ว่าสีหน้าของเฉินฟ่านหรงจะไม่ค่อยสู้ดีนักที่ต้องแจ้งข่าวกับทุกคน
“นะ แน่นอน ซี๊ด!! อาา… เยว่เอ๋อร์ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”เขาดึงท้ายทอยนางเข้ามาและบดริมฝีปากลงไปอีกครั้ง ซินเยว่ยอมปล่อยมังกรยักษ์ของเขาแล้ว ท่านอ๋องรวบตัวนางยกขึ้นและไปวางที่ขอบสระอย่างเบามือ ขาของนางค่อย ๆ ถูกกางออกมา“ท่านพี่…อ๊าา!!”ลิ้นร้อนที่ค่อย ๆ เกลี่ยเปิดทางร่องรักที่เปียก นิ้วมือของท่านอ๋องค่อย ๆ สอดเข้าไปอย่างทะนุถนอม ซินเยว่เอนกายแอ่นรับสัมผัสเสียวซ่านนี้อีกครั้ง มือเรียวจับที่ศีรษะของสามีเอาไว้อย่างลืมตัว“อื้อ…อ๊ะ! ไม่ได้ ข้าทนไม่ไหวแล้ว อ๊าาา”เมื่อนางให้สัญญาณ นิ้วมือของเขาก็เร่งจังหวะทันที ลิ้นหนาเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ยอดปทุมคู่งามตรงหน้าแทน ไม่นานซินเยว่ก็กรีดร้องออกมา เสียงของนางเร่งกระตุ้นความอยากของท่านอ๋องจนแทบไม่อยากรอ“ท่านพี่…ได้โปรด”ไม่ต้องรรอให้นางขอ เขาก็พร้อมจะเติมเต็มความรักให้นางอยู่แล้ว ร่างบางถูกยกขึ้นมาอีกครั้ง ขาทั้งสองถูกยกขึ้นมาพาดที่ไหล่กว้างก่อนที่มังกรยักษ์จะสอดเข้าไปจนสุดทาง “อ๊าา!! ท่านพี่..อ๊าาา”เสียงครวญครางสลับกับเสียงน้ำที่กระเพื่อมในสระ ยิ่งสร้างบรรยากาศสงครามรักครั้งใหม่ให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น ท่านอ๋องเปลี่ยนให้นางยืนหันหลังให้ ซินเยว่แทบจะยืน
สามวันถัดมา“เยว่เอ๋อร์ รถม้าพร้อมแล้ว”“ทราบแล้วเพคะ” ซินเยว่เดินออกมานอกห้อง วันนี้พวกเขาจะไปที่สำนักศึกษา ซึ่งสร้างที่ร้านเป่าจิ้นถานเดิม ท่านอ๋องสั่งการให้นายอำเภอเป็นผู้ดำเนินการสร้างให้เป็นสำนักศึกษาอำเภอลี่เหมิน และให้อาจารย์ผู้สอนจากหลายที่มาสมัคร ซึ่งล้วนแต่เป็นคนที่ท่านอ๋องคัดเลือกมาแล้วทั้งสิ้นสำนักศึกษาอำเภอลี่เหมิน“ถวายบังคมท่านอ๋อง พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”“นายอำเภอไม่ต้องเกรงใจ”“เชิญทั้งสองพระองค์เสด็จก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”นายอำเภอนำทางทั้งสองไปยังที่ประทับ แต่ท่านอ๋องกลับยิ้มให้และตรัสอีกครั้ง“ไม่เป็นไรท่านทำงานไปเถิด เรากับพระชายาจะเดินดูรอบ ๆ ขอบใจท่านมากที่เป็นธุระจัดการทุกอย่างให้”“มิได้พ่ะย่ะค่ะ ล้วนเป็นหน้าที่ของกระหม่อม จริงสิพระชายามีชาวบ้านมากมายที่อยากขอบพระทัยพระองค์ ที่ทรงมอบที่ดินผืนนี้ให้เพื่อสร้างเป็นสำนักศึกษาสำหรับเด็กเล็ก นี่นับว่าสร้างประโยชน์ได้มากจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ท่านอย่าได้เกรงใจ ที่ดินแห่งนี้เป็นของบิดาข้า ไฟไหม้ครั้งก่อนก็ทำให้ไม่สามารถปรับปรุงร้านขึ้นมาได้ สร้างเป็นสำนักศึกษาแทนถือว่าได้ใช้ประโยชน์มากกว่า”“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“เราไปกัน
“เฟิ่งเซียว ข้าอยากกลับแล้ว”“ได้สิ ข้าจะพาเจ้ากลับนะ”พวกเขาออกมาจากลานประหาร เฉินเฟิ่งเซียวพานางมาที่เขื่อนซึ่งตอนนี้สร้างเกือบจะเสร็จแล้วด้วยความร่วมมือของชาวบ้าน ทหารและกลุ่มพ่อค้าที่ถานต่งซุนไปขอความร่วมมือก่อนหน้านี้ จึงทำให้เขื่อนเสร็จเร็วกว่ากำหนด เมื่อซินเยว่ลงมาจากรถม้าสายลมเย็น ๆ ที่พัดเข้ามาก็ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น“ที่นี่… อากาศดียิ่งนัก”“ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าเจ้าต้องชอบ ข้าตั้งชื่อเขื่อนนี้ว่า “เฟิ่งเยว่” เจ้าว่าเพราะหรือไม่"“เขื่อนเฟิ่งเยว่… ชื่อไพเราะยิ่งนักเพคะ”“ไปเถอะ ไปเดินเล่นกัน”เฟิ่งเซียวพานางเดินขึ้นไปด้านบนสันเขื่อน ซึ่งสามารถมองเห็นแผงกั้นน้ำที่ทำจากหินและแอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ ริมนั้นปลูกดอกไม้เอาไว้ และมีศาลาพร้อมกับโต๊ะม้าหินวางเป็นจุด ๆ เหมาะสำหรับการเดินเล่นพักผ่อน“ที่นี่เหมือนธารสวรรค์เลยเพคะ”“อืม ชื่อนี้เพราะยิ่งนัก เช่นนั้นตั้งชื่อว่าสันเขื่อนธารสวรรค์ก็แล้วกัน”ซินเยว่ยิ้มให้เขา และเดินไปนั่งศาลาหินอ่อนซึ่งน่าจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ นางมองไปไกลแสนไกล“เมืองหลวงอยู่ทางนั้นใช่หรือไม่เพคะ”“ไม่ใช่ ทางตะวันออกเฉียงไปทางเหนือต่างหาก ทางนี้”“อ้อ เช่นน
เมื่อประตูห้องนอนปิดลง ร่างของซินเยว่ก็ถูกนำไปวางที่เตียงนุ่มด้านใน ไม่ทันที่จะเอ่ยคำใดเฟิ่งเซียวก็ค่อย ๆ ก้มลงมาทันที ริมฝีปากของเขาค่อย ๆ ละเมียดเกลี่ยไปทั่วปากของนางก่อนจะขยับเข้าไปแนบแน่นและเริ่มเร่าร้อนขึ้น“อื้อ…อ๊ะ เฟิ่งเซียว”เขาปลดชุดของนางออกอย่างเบามือ ซินเยว่เองก็ช่วยเขาปลดเข็มขัดและชุดออกเช่นกัน ราวกับเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งสองจัดการทุกอย่างที่ขวางทางออกจนหมดสิ้น สลับกับระดมจูบแทนรักกันเพื่อให้อีกฝ่ายไว้ใจมากขึ้น“เยว่เอ๋อร์… ข้ายินดีรับโทษจากเจ้า”“จริงหรือ”“แน่นอน”“ก็ได้”“โอ๊ย! ฮึก!”ซินเยว่หันไปกัดที่หัวไหล่ของเขาทันที เฟิ่งเซียวจดจำความเจ็บนี้เอาไว้แล้ว ไม่นานนางก็ปล่อยและหันมาจูบเขาแทน ซึ่งเขาเองก็รูดชุดชั้นในที่เหลือของนางออกเช่นกัน“อ๊าา ท่านอ๋อง…อื้อ ดีจริง อ๊ะ”เขาเผลอขบเม้มหน้าอกของนางแรงไปนิด เพื่อจะลงโทษคนตรงหน้าด้วยเช่นกัน เพียงแค่เห็นนางเดินกับชายอื่นหัวใจเขาก็เจ็บปวด และรู้สึกโกรธจนต้องหาที่ระบาย“ท่านโกรธข้าอยู่สินะ”“ข้าไม่ปฏิเสธที่โกรธเจ้า แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้าเช่นกัน”“เช่นนั้นข้าก็ยินดีให้ท่านลงโทษด้วยเช่นกัน… ดีหรือไม่”“ก็ดี เช่นนั้
เฟิ่งเซียวหันกลับไป และเดินนำนางไปที่เรือนของอวิ๋นซีทันทีโดยมิได้พูดอะไรอีก เมื่อเข้ามาถึงก็พบตงหรานที่กำลังป้อนผลไม้ให้กับพระชายาอยู่ด้านใน เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามาพวกเขาจึงได้ทักทาย“อีกคำเดียวนะ กินมากเดี๋ยวจะเสาะท้องเอา”“แต่ว่าข้าอยากกินอีก…ซินเยว่! เจ้ามาแล้วหรือ ว้าวนั่นหอบอะไรมาเยอะแยะน่ะ”“ของที่ท่านชอบอย่างไรเล่า นางซื้อมาฝาก”“ยอดไปเลย ขอบใจมากนะซินเยว่มานั่งก่อนสิ”“ถวายบังคมท่านอ๋อง”“อย่ามากพิธีเลยครอบครัวเดียวกันทั้งนั้นจริงไหมน้องห้า… เอ่อ นั่งก่อนเถอะ”เฉินตงหรานรีบหันมาชักชวนนางให้นั่งลง เมื่อมองหน้าเฟิ่งเซียวที่ยังยืนบึ้งตึงอยู่ตอนวางของลง เขาเลือกมานั่งข้าง ๆ พระเชษฐาแทนที่จะนั่งกับซินเยว่“นี่เจ้ายังโกรธอยู่หรือ ไหน ๆ นางก็มาแล้ว ทำหน้าให้มันเหมือนคนปกติหน่อยสิ”“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”เฟิ่งเซียวมองของที่ซินเยว่ซื้อมา ก็นึกหงุดหงิดเมื่อคิดไปถึงคนที่พานางไปซื้อมาก่อนหน้านี้ อวิ๋นซีสังเกตเห็นความผิดปกตินี้จึงได้กระแอมครั้งหนึ่งก่อนจะเริ่มทำลายความเงียบจนน่าอึดอัดนี้“นี่ของชอบข้าทั้งนั้นเลย ขอบใจเจ้ามากนะซินเยว่”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พี่เฟิ่งเซียวบอกว่าท่านชอบกินถั