“ท่านอ๋องเสด็จมาครานี้….”
“อ้อไม่ต้องมากพิธี บอกให้ทุกคนว่าไม่ต้องทำสิ่งใดเป็นพิเศษ เพียงรีบมาช่วยพวกท่าน ตอนนี้ในวังยังไม่มีเหตุการณ์อะไรน่าเป็นห่วง อีกอย่างข้าพึ่งเดินทางกลับมาจากหลิงโจวก็เดินทางมากับหลันอ๋องเลย”
“เอ่อ เช่นนั้นหลันอ๋องเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เขากลับไปหลันโจวแล้ว เห็นว่ายังมีเรื่องที่จะต้องจัดการอยู่ หมอเวินหากมีสิ่งใดที่ต้องการเร่งด่วนก็รีบแจ้งมาได้เลย ข้าจะให้คนจัดหาให้ ขอโทษด้วยที่มาช้าไปสักหน่อยแต่ดู ๆ แล้วพวกท่านมิได้ลำบากมาก”
“พ่ะย่ะค่ะ ที่นี่มีคุณหนูถานที่คอยช่วยเตรียมของที่ขาดให้ แต่ว่านางก็แอบช่วยโดยมิอาจออกนามได้”
“เป็นเพราะเหตุใดกัน ดูเหมือนว่าคุณหนูผู้นี้จะมีเรื่องราวที่แอบซ่อนอยู่มากจริง ๆ”
“คือว่า…”
หมอหลวงเวินหันไปมองพักตร์ท่านอ๋อง แต่ก็มิได้พูดอะไรมากนักเพราะเกรงว่าจะเป็นเรื่องไม่ควร ท่านอ๋องเองก็มิได้ซักถามต่อ เขาปล่อยหมอเวินกลับออกไปทำงานและหันไปมององครักษ์ข้างกาย ผู้ที่พึ่งไปรับเขามาจากเมืองหลิงโจว
“จิ่นหาว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งคนตรวจสอบสกุลถานให้ข้าที แล้วก็… ทางที่ดีให้น้องเก้าสืบหาเรื่องของสกุลถานที่ติดอยู่นอกเมืองด้วย ข้าอยากจะรู้ว่าตระกูลคหบดีถานผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไร โดยเฉพาะ…ถานซินเยว่”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“จิ่นหาว” องครักษ์ของเสิ่นอ๋องรีบเดินออกไปในทันทีหลังจากได้รับคำสั่ง แม้ว่าจะเป็นทั้งคนสนิทและองครักษ์ข้างพระวรกายท่านอ๋อง แต่เขากลับเป็นคนพูดน้อย หากเป็นคำสั่งท่านอ๋องเขาก็จะรับปากอย่างไม่ลังเล และไม่เคยถามเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งใดก็ตาม
“ถานซินเยว่… เป็นถึงบุตรสาวคหบดีผู้ร่ำรวย แล้วบาดแผลเหล่านั้นมาจากไหนกัน”
สามวันถัดมา
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ท่านอ๋องเสด็จมาถึงก็แทบจะไม่ได้สนใจเรื่องอื่นอีกเลย หลังจากที่ต้องช่วยผู้ป่วยจากพายุฝนที่โหมกระหน่ำแล้ว ยังพบว่าที่อำเภอลี่เหมินยังขาดของจำเป็นอีกหลายอย่าง ซึ่งก็ทำให้เขาลืมเรื่องของถานซินเยว่ที่พบในวันแรกไปเสียสนิท จนกระทั่งนางนำยาสมุนไพรมาส่งอีกครั้งในวันนี้
“รายการทั้งหมดอยู่ในนั้น แต่ว่าฝนตกตลอดเช่นนี้ข้าคิดว่าน่าจะยังตากยาไม่ได้ ก็เลยเอาแบบแห้งมาให้พวกท่านเลย จะได้สะดวกในการใช้งาน”
“ยอดไปเลยซินเยว่เจ้าช่างรู้สถานการณ์เสียจริง ก็หวังเพียงแต่ว่าจะไม่เกิดพายุมาอีกรอบ หากชาวบ้านต้องพบกับอุทกภัยอีกครั้งข้าคิดว่าพวกเขาคงรับไม่ไหวแล้ว”
“นั่นสินะ”
“จริงสิว่าแต่ขาของเจ้าที่บาดเจ็บหายแล้วหรือ เดินคล่องเชียว”
“หายดีแล้ว ท่านก็น่าจะรู้ว่าข้าแข็งแรง ขาพลิกแค่นี้สบายมาก อ้อจริงสิข้าเอาไม้พยุงมาคืนท่านหมอเวินด้วย”
“หมอเวินอยู่ด้านในตรวจคนอยู่ ข้าพาเจ้าไปเอง”
“ท่านหมอจางขอรับ ทางนี้มีคนอยากถามเรื่องยา”
“อ้อ ได้สิ เช่นนั้นซินเยว่เจ้าเดินไปเองเถอะนะ หมอเวินอยู่ด้านใน”
“ได้สิ ข้าไปเองท่านไปทำงานเถอะ”
ซินเยว่เดินแยกกับจางหลงจื่อและเดินไปที่เรือนเพื่อจะนำไม้พยุงไปให้ท่านหมอเวินด้านใน แต่เมื่อเดินเข้าไปผู้ที่เปิดประตูออกมาจนเกือบจะชนนางเขาก็คือเฉินเฟิ่งเซียว นางไม่ทันระวังและเกือบจะล้มจึงฉวยเสาข้าง ๆ ประตูกอดเอาไว้แน่น
“ให้ตายเถอะเกือบไปแล้ว! … ท่านอีกแล้วหรือ”
“เจ้าอีกแล้วหรือ”
เฉินเฟิ่งเซียวหันไปมองหน้าสตรีที่ยืนกอดเสาเอาไว้แน่น ราวกับมันคือสิ่งเดียวที่ช่วยชีวิตนางได้ในตอนนี้ เฟิ่งเซียวอดขำไม่ได้แต่ก็ต้องรีบปรับสีหน้าอีกครั้ง
“ขออภัยด้วยคุณหนูถาน ข้าไม่ทันเห็นว่าเจ้าอยู่ตรงนี้ วันนี้มาทำอะไรหรือ”
“ข้าแค่เอาสมุนไพรมาส่ง อีกอย่างก็จะเอาไม้พยุงตัวมาคืนท่านหมอเวิน เจอท่านแล้วก็ดีเลยเช่นนั้นข้าฝาก…”
“อ้อ ใช่แล้วข้าเกือบลืมไปเลย เข้ามาก่อนสิให้ข้าดูแผลที่ข้อเท้าเจ้าหน่อยว่าหายดีหรือยัง”
“หายดีแล้ว! เรื่องแผลไม่เป็นไรขอบคุณท่านมาก ข้ามาแค่อยากคืนไม้พยุงนี้เท่านั้น”
“แต่ข้าเป็นหมอ ท่าทางของเจ้ายังดูไม่ค่อยปกติ เข้ามาเถอะหรือจะให้ข้าอุ้มเจ้าเหมือนวันนั้นอีกรอบ”
“ไม่ต้อง!... เจ้าค่ะข้าเดินเองได้”
นางยอมเดินตามเขาเข้าไปในห้อง เมื่อปิดประตูก็ถูกสั่งในไปนั่งที่เตียงซึ่งเอาไว้ตรวจรักษา ซินเยว่ระมัดระวังตัวมากกว่าครั้งแรกที่เข้ามาในห้องนี้และถอดรองเท้าเองเพื่อให้เขาตรวจ แต่เฟิ่งเซียวสังเกตว่านางจับข้อเท้าเอาไว้แน่นเพื่อมิให้เขาดึงขึ้น
“เจ้าทายาก่อนจะมาที่นี่งั้นหรือ”
“ข้า... ใช่แล้ว ยาที่ท่านให้มาทาดีมากเลย ก็เลยทามาเพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน”
‘นางโกหกทำไมกัน กลิ่นยานี้มิใช่ยาที่ข้าให้ไปเลยสักนิด มันเป็นกลิ่นยาสำหรับทาแผลสด’
เขาไม่พูดอะไรต่อ ซินเยว่เองก็สังเกตว่าเฟิ่งเซียวสีหน้านิ่งจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้นางเผลอมองเขาและคิดไปถึงวันแรกที่พบกันจนกระทั่งจูบเขา เมื่อดึงสติได้ก็รีบใช้มือตบหน้าตัวเองรัว ๆ จนเผลอปล่อยแขนจากขากางเกง เขาจึงทันได้เห็นบางอย่างในนั้น
“บ้า ๆ บ้าไปแล้ว”
เฟิ่งเซียวไม่ได้พูดอะไรเพื่อให้นางนึกสงสัย เขายังพันข้อเท้ากลับให้นางอีกครั้ง ซินเยว่ที่รู้ตัวแต่เห็นว่าเฟิ่งเซียวไม่พูดนางจึงค่อย ๆ หันมาดึงขากางเกงของตัวเองเอาไว้ตามเดิม
“ขอบคุณท่านหมอเฉินมากเจ้าค่ะ"
“ท่านหมอเฉิน” คำนี้ไม่เคยมีใครเรียกเขาเลย ที่นี่เรียกเขาว่าคุณชายเฉิน มีเพียงแค่นางเท่านั้นที่เรียกเขาแบบนี้ เฟิ่งเซียวรู้สึกดีที่อย่างน้อยก็มีหนึ่งคนที่เห็นว่าเขาเป็นหมอ
“เอาล่ะแผลของเจ้าหายดีแล้ว เอ็นข้อเท้าก็กลับเข้าที่แล้ววางใจได้”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้า… ไปได้หรือยัง”
“เดี๋ยวก่อนสิ ข้าอยากจะถามเจ้าเรื่องยาสักหน่อย เดินออกไปกับข้าได้หรือไม่”
“ย่อมได้อยู่แล้ว”
เขาเดินออกไปที่ห้องยากับนาง คิดไม่ถึงเลยว่าบุตรสาวคหบดีคนนี้จะมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเยอะกว่าที่คิด ส่วนใหญ่หากเป็นบุตรของเหล่าคหบดีเขามักจะนึกถึงคุณหนูที่สวมชุดหรูหรา เครื่องประดับเต็มยศและแต่งแต้มใบหน้าด้วยชาดสีสด แต่กับถานซินเยว่ผู้นี้ นอกจากชุดที่ดูจะมีราคาเล็กน้อย แต่กลับไม่ดูหรูหราเหมือนกับสตรีชั้นสูงในเมืองทั่วไป
“สมุนไพรพวกนี้ทนต่อสภาพอากาศชื้นได้ไม่มาก เอาเก็บไว้นานไม่ค่อยได้”
“ข้ารู้ แต่หมอจางบอกว่าจะนำมาบดและต้มเป็นยาเลย ตอนนี้โรคทางเดินอาหารเริ่มระบาดก็เลยใช้ปริมาณมาก”
“เจ้าค่อนข้างรอบรู้เรื่องยามากเลยนะ”
“ข้าน่ะเป็นศิษย์คนเดียวของหมอยาที่เก่งที่สุดในลี่เหมินเลยนะ อาจารย์ข้า “หวังเย่เหอ” ท่านเคยได้ยินหรือไม่”
“ไม่เคยเลย”
“ท่านนี่นะแม้ว่าจะเป็นหมอ มีความรู้มากมายแต่ไม่เห็นจะต้องทำหน้าตายเช่นนั้นตลอดเวลาเลยนี่ ท่านยิ้มเป็นหรือไม่”
“อะไรนะ ยิ้มหรือ”
“ใช่ ยิ้มน่ะ ยิ้มแบบนี้…”
นางยิ้มหยีตาที่เคยกลมโตจนเหลือเพียงนิดเดียว เขาแม้จะนึกขำแต่กลับรู้สึกแปลก ๆ มากกว่าจึงส่ายหัวเล็กน้อยและเดินกลับออกมา
“ท่านยิ้มสักหน่อยสิหมอเฉิน ที่จริงท่านก็นับว่าเป็นบุรุษที่หน้าตาดีนะ ท่านกับหมอจางรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้กันเลย หากท่านยิ้มมากหน่อยรับรองว่าสตรีที่นี่…”
“เพ้อเจ้อเกินไปแล้ว จริงสิคุณหนูถานเจ้าบอกว่าร้านของเจ้าอยู่ในตัวอำเภอลี่เหมินใช่หรือไม่”
“เปลี่ยนเรื่องเสียแล้ว นี่ท่านหมอเฉินหน้าตาย”
“อะไรนะ!”
“ข้าเรียกท่านว่าท่านหมอเฉินหน้าตาย”
“คำเรียกอันใดกัน ข้าเป็นเช่นนั้นเมื่อใดกัน”
“เช่นนั้นก็ "หมอเฉินหน้านิ่ง" อืม… ชื่อนี้ดี เหมาะกับคนหน้าตายไร้อารมณ์เช่นท่านมากเลย ข้าชอบ"
“น้องแปด มีเรื่องด่วนอะไรงั้นหรือ ให้พวกข้า…”ฟ่านหรงยกมือขึ้นห้ามพี่สามของตัวเอง และส่ายศีรษะทันที “ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกพ่ะย่ะค่ะ พี่สามอย่าได้เป็นห่วง”“ก็แค่องค์หญิงต่างแคว้นที่ถูกส่งมาเป็นเชลยหย่าศึก พยายามแอบหนีออกจากเมืองก็เท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ”“น้องเก้า! หุบปากของเจ้าไปเลย”ตงหรานหันไปมองหน้าเฟิ่งเซียวทันที พวกเขารู้ว่าก่อนที่ฟ่านหรงจะไปที่เมืองหลิงโจวครั้งก่อน ได้ทำศึกที่ชายแดนตะวันออกและได้รับตัวองค์หญิงต่างแคว้นมาคนหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่เคยได้ถามที่มาที่ไปเดิมทีคนอย่างเฉินฟ่านหรงที่ชอบช่วยเหลือพี่น้องของตัวเอง แต่พอเป็นเรื่องของเขาในดินแดนบูรพา กลับไม่อยากให้พี่น้องคนอื่น ๆ ร่วมรับรู้ด้วย และมักจะชอบจัดการด้วยวิธีของเขาเอง ซึ่งทุกคนล้วนทราบกันดี“ข้าเข้าใจแล้ว แต่หากเจ้าอยากจะให้ช่วยเรื่องใดต้องรีบบอกทันที ข้ากับเยว่เอ๋อร์คงจะกลับไปพักที่เสิ่นโจวพักใหญ่ และไม่ได้กลับไปหลิงโจวในตอนนี้”“ขอบคุณพี่สาม แต่เหตุการณ์ที่นั่นข้าเพียงคนเดียวก็สามารถจัดการได้พ่ะย่ะค่ะ อย่างไรข้าขอตัวไปเก็บของก่อน”“เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ”แม้ว่าสีหน้าของเฉินฟ่านหรงจะไม่ค่อยสู้ดีนักที่ต้องแจ้งข่าวกับทุกคน
“นะ แน่นอน ซี๊ด!! อาา… เยว่เอ๋อร์ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”เขาดึงท้ายทอยนางเข้ามาและบดริมฝีปากลงไปอีกครั้ง ซินเยว่ยอมปล่อยมังกรยักษ์ของเขาแล้ว ท่านอ๋องรวบตัวนางยกขึ้นและไปวางที่ขอบสระอย่างเบามือ ขาของนางค่อย ๆ ถูกกางออกมา“ท่านพี่…อ๊าา!!”ลิ้นร้อนที่ค่อย ๆ เกลี่ยเปิดทางร่องรักที่เปียก นิ้วมือของท่านอ๋องค่อย ๆ สอดเข้าไปอย่างทะนุถนอม ซินเยว่เอนกายแอ่นรับสัมผัสเสียวซ่านนี้อีกครั้ง มือเรียวจับที่ศีรษะของสามีเอาไว้อย่างลืมตัว“อื้อ…อ๊ะ! ไม่ได้ ข้าทนไม่ไหวแล้ว อ๊าาา”เมื่อนางให้สัญญาณ นิ้วมือของเขาก็เร่งจังหวะทันที ลิ้นหนาเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ยอดปทุมคู่งามตรงหน้าแทน ไม่นานซินเยว่ก็กรีดร้องออกมา เสียงของนางเร่งกระตุ้นความอยากของท่านอ๋องจนแทบไม่อยากรอ“ท่านพี่…ได้โปรด”ไม่ต้องรรอให้นางขอ เขาก็พร้อมจะเติมเต็มความรักให้นางอยู่แล้ว ร่างบางถูกยกขึ้นมาอีกครั้ง ขาทั้งสองถูกยกขึ้นมาพาดที่ไหล่กว้างก่อนที่มังกรยักษ์จะสอดเข้าไปจนสุดทาง “อ๊าา!! ท่านพี่..อ๊าาา”เสียงครวญครางสลับกับเสียงน้ำที่กระเพื่อมในสระ ยิ่งสร้างบรรยากาศสงครามรักครั้งใหม่ให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น ท่านอ๋องเปลี่ยนให้นางยืนหันหลังให้ ซินเยว่แทบจะยืน
สามวันถัดมา“เยว่เอ๋อร์ รถม้าพร้อมแล้ว”“ทราบแล้วเพคะ” ซินเยว่เดินออกมานอกห้อง วันนี้พวกเขาจะไปที่สำนักศึกษา ซึ่งสร้างที่ร้านเป่าจิ้นถานเดิม ท่านอ๋องสั่งการให้นายอำเภอเป็นผู้ดำเนินการสร้างให้เป็นสำนักศึกษาอำเภอลี่เหมิน และให้อาจารย์ผู้สอนจากหลายที่มาสมัคร ซึ่งล้วนแต่เป็นคนที่ท่านอ๋องคัดเลือกมาแล้วทั้งสิ้นสำนักศึกษาอำเภอลี่เหมิน“ถวายบังคมท่านอ๋อง พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”“นายอำเภอไม่ต้องเกรงใจ”“เชิญทั้งสองพระองค์เสด็จก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”นายอำเภอนำทางทั้งสองไปยังที่ประทับ แต่ท่านอ๋องกลับยิ้มให้และตรัสอีกครั้ง“ไม่เป็นไรท่านทำงานไปเถิด เรากับพระชายาจะเดินดูรอบ ๆ ขอบใจท่านมากที่เป็นธุระจัดการทุกอย่างให้”“มิได้พ่ะย่ะค่ะ ล้วนเป็นหน้าที่ของกระหม่อม จริงสิพระชายามีชาวบ้านมากมายที่อยากขอบพระทัยพระองค์ ที่ทรงมอบที่ดินผืนนี้ให้เพื่อสร้างเป็นสำนักศึกษาสำหรับเด็กเล็ก นี่นับว่าสร้างประโยชน์ได้มากจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ท่านอย่าได้เกรงใจ ที่ดินแห่งนี้เป็นของบิดาข้า ไฟไหม้ครั้งก่อนก็ทำให้ไม่สามารถปรับปรุงร้านขึ้นมาได้ สร้างเป็นสำนักศึกษาแทนถือว่าได้ใช้ประโยชน์มากกว่า”“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“เราไปกัน
“เฟิ่งเซียว ข้าอยากกลับแล้ว”“ได้สิ ข้าจะพาเจ้ากลับนะ”พวกเขาออกมาจากลานประหาร เฉินเฟิ่งเซียวพานางมาที่เขื่อนซึ่งตอนนี้สร้างเกือบจะเสร็จแล้วด้วยความร่วมมือของชาวบ้าน ทหารและกลุ่มพ่อค้าที่ถานต่งซุนไปขอความร่วมมือก่อนหน้านี้ จึงทำให้เขื่อนเสร็จเร็วกว่ากำหนด เมื่อซินเยว่ลงมาจากรถม้าสายลมเย็น ๆ ที่พัดเข้ามาก็ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น“ที่นี่… อากาศดียิ่งนัก”“ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าเจ้าต้องชอบ ข้าตั้งชื่อเขื่อนนี้ว่า “เฟิ่งเยว่” เจ้าว่าเพราะหรือไม่"“เขื่อนเฟิ่งเยว่… ชื่อไพเราะยิ่งนักเพคะ”“ไปเถอะ ไปเดินเล่นกัน”เฟิ่งเซียวพานางเดินขึ้นไปด้านบนสันเขื่อน ซึ่งสามารถมองเห็นแผงกั้นน้ำที่ทำจากหินและแอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ ริมนั้นปลูกดอกไม้เอาไว้ และมีศาลาพร้อมกับโต๊ะม้าหินวางเป็นจุด ๆ เหมาะสำหรับการเดินเล่นพักผ่อน“ที่นี่เหมือนธารสวรรค์เลยเพคะ”“อืม ชื่อนี้เพราะยิ่งนัก เช่นนั้นตั้งชื่อว่าสันเขื่อนธารสวรรค์ก็แล้วกัน”ซินเยว่ยิ้มให้เขา และเดินไปนั่งศาลาหินอ่อนซึ่งน่าจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ นางมองไปไกลแสนไกล“เมืองหลวงอยู่ทางนั้นใช่หรือไม่เพคะ”“ไม่ใช่ ทางตะวันออกเฉียงไปทางเหนือต่างหาก ทางนี้”“อ้อ เช่นน
เมื่อประตูห้องนอนปิดลง ร่างของซินเยว่ก็ถูกนำไปวางที่เตียงนุ่มด้านใน ไม่ทันที่จะเอ่ยคำใดเฟิ่งเซียวก็ค่อย ๆ ก้มลงมาทันที ริมฝีปากของเขาค่อย ๆ ละเมียดเกลี่ยไปทั่วปากของนางก่อนจะขยับเข้าไปแนบแน่นและเริ่มเร่าร้อนขึ้น“อื้อ…อ๊ะ เฟิ่งเซียว”เขาปลดชุดของนางออกอย่างเบามือ ซินเยว่เองก็ช่วยเขาปลดเข็มขัดและชุดออกเช่นกัน ราวกับเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งสองจัดการทุกอย่างที่ขวางทางออกจนหมดสิ้น สลับกับระดมจูบแทนรักกันเพื่อให้อีกฝ่ายไว้ใจมากขึ้น“เยว่เอ๋อร์… ข้ายินดีรับโทษจากเจ้า”“จริงหรือ”“แน่นอน”“ก็ได้”“โอ๊ย! ฮึก!”ซินเยว่หันไปกัดที่หัวไหล่ของเขาทันที เฟิ่งเซียวจดจำความเจ็บนี้เอาไว้แล้ว ไม่นานนางก็ปล่อยและหันมาจูบเขาแทน ซึ่งเขาเองก็รูดชุดชั้นในที่เหลือของนางออกเช่นกัน“อ๊าา ท่านอ๋อง…อื้อ ดีจริง อ๊ะ”เขาเผลอขบเม้มหน้าอกของนางแรงไปนิด เพื่อจะลงโทษคนตรงหน้าด้วยเช่นกัน เพียงแค่เห็นนางเดินกับชายอื่นหัวใจเขาก็เจ็บปวด และรู้สึกโกรธจนต้องหาที่ระบาย“ท่านโกรธข้าอยู่สินะ”“ข้าไม่ปฏิเสธที่โกรธเจ้า แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้าเช่นกัน”“เช่นนั้นข้าก็ยินดีให้ท่านลงโทษด้วยเช่นกัน… ดีหรือไม่”“ก็ดี เช่นนั้
เฟิ่งเซียวหันกลับไป และเดินนำนางไปที่เรือนของอวิ๋นซีทันทีโดยมิได้พูดอะไรอีก เมื่อเข้ามาถึงก็พบตงหรานที่กำลังป้อนผลไม้ให้กับพระชายาอยู่ด้านใน เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามาพวกเขาจึงได้ทักทาย“อีกคำเดียวนะ กินมากเดี๋ยวจะเสาะท้องเอา”“แต่ว่าข้าอยากกินอีก…ซินเยว่! เจ้ามาแล้วหรือ ว้าวนั่นหอบอะไรมาเยอะแยะน่ะ”“ของที่ท่านชอบอย่างไรเล่า นางซื้อมาฝาก”“ยอดไปเลย ขอบใจมากนะซินเยว่มานั่งก่อนสิ”“ถวายบังคมท่านอ๋อง”“อย่ามากพิธีเลยครอบครัวเดียวกันทั้งนั้นจริงไหมน้องห้า… เอ่อ นั่งก่อนเถอะ”เฉินตงหรานรีบหันมาชักชวนนางให้นั่งลง เมื่อมองหน้าเฟิ่งเซียวที่ยังยืนบึ้งตึงอยู่ตอนวางของลง เขาเลือกมานั่งข้าง ๆ พระเชษฐาแทนที่จะนั่งกับซินเยว่“นี่เจ้ายังโกรธอยู่หรือ ไหน ๆ นางก็มาแล้ว ทำหน้าให้มันเหมือนคนปกติหน่อยสิ”“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”เฟิ่งเซียวมองของที่ซินเยว่ซื้อมา ก็นึกหงุดหงิดเมื่อคิดไปถึงคนที่พานางไปซื้อมาก่อนหน้านี้ อวิ๋นซีสังเกตเห็นความผิดปกตินี้จึงได้กระแอมครั้งหนึ่งก่อนจะเริ่มทำลายความเงียบจนน่าอึดอัดนี้“นี่ของชอบข้าทั้งนั้นเลย ขอบใจเจ้ามากนะซินเยว่”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พี่เฟิ่งเซียวบอกว่าท่านชอบกินถั