ตอนที่
19 เกาะสวรรค์และคำสัญญาแห่งหัวใจ แสงแดดยามสายของหัวหินทอประกายอบอุ่น หลังจากมื้อเช้าที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของสองครอบครัว อคิณก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจด้วยการประกาศว่าเขาได้เตรียมเรือสปีดโบ๊ตส่วนตัวไว้ เพื่อพาทุกคนเดินทางไปยังเกาะเล็กๆ ที่เงียบสงบซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่ง บรรยากาศบนเรือเต็มไปด้วยความสุขและความผ่อนคลายอย่างแท้จริง ผืนน้ำทะเลสีครามเข้มเป็นประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสงตะวัน อคิณจับมือของพราวตะวันไว้ไม่ยอมปล่อย ไออุ่นจากฝ่ามือของเขาส่งผ่านความรู้สึกมั่นคงมาให้เธออย่างต่อเนื่อง ทั้งสองส่งยิ้มให้กันเป็นระยะ บทสนทนาอาจไม่จำเป็นเสมอไปเมื่อสายตาสามารถสื่อความหมายได้ลึกซึ้งกว่า สายลมทะเลพัดเอื่อยๆ พาเอาเส้นผมละเอียดของพราวตะวันปลิวไสวมาปรกใบหน้าของเธอ อคิณยกมือขึ้นอย่างอ่อนโยนแล้วค่อยๆ หมายจะช่วยปัดมันออกให้ แต่พราวตะวันกลับขยับตัวหลบเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ อคิณชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลดมือลงแล้วก็พูดกับพราวตะวันแทน “ลมแรงนะครับ” “ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ แล้วรีบเสยผมตัวเองอย่างเก้อเขิน เธอรู้สึกโกรธตัวเองเล็กน้อยที่แสดงท่าทีห่างเหินออกไป ทั้งที่เขาแค่จะช่วย อคิณมองท่าทีนั้นด้วยความเข้าใจ เขายิ้มบางๆ ไม่ได้แสดงความผิดหวัง “คุณดูผ่อนคลายขึ้นนะ” เขาชวนคุยด้วยน้ำเสียงปกติ พราวตะวันหันไปมองรอยยิ้มที่มีความสุขของพ่อกับแม่ที่กำลังชี้ชวนกันดูทิวทัศน์ “ก็ดีใจที่เห็นพ่อกับแม่มีความสุขค่ะ” เธอตอบตามตรง เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากความรู้สึกของตัวเองที่ยังคงสับสน “แค่เห็นคุณยิ้มได้บ้าง ผมก็ดีใจแล้ว” อคิณกล่าวเรียบๆ แต่แววตาที่มองเธอนั้นเต็มไปด้วยความหมาย คำพูดของเขาทำให้หัวใจของพราวตะวันเต้นผิดจังหวะ เธอรีบหันหน้าหนีไปมองทะเลเพื่อซ่อนใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าว ผู้ชายคนนี้ ช่างแตกต่างจากภาพที่เธอเคยสร้างไว้ในหัวเหลือเกิน ความรู้สึกอุ่นวาบที่เกิดขึ้นในใจนี้คืออะไรกันแน่ เธอไม่แน่ใจว่าพร้อมจะหาคำตอบให้มันแล้วหรือยัง ขณะที่ความเงียบอันน่าอึดอัดกำลังจะก่อตัวขึ้น “คุณอคินัยคะ ช่วยขยับไปหน่อยได้ไหมคะ แดดมันร้อน” พราวฟ้าที่นั่งอยู่อีกฝั่งเอ่ยขึ้นพลางทำหน้ามุ่ย “อ้าว ผมก็นั่งของผมอยู่ดีๆ” อคินัยแกล้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็ยอมขยับตัวเพื่อบังแดดให้เธออย่างแนบเนียน “ถ้ากลัวดำ คราวหลังก็พกร่มมาด้วยสิครับ” “นี่คุณ!!! พราวฟ้าแยกเขี้ยว แต่ก็ไม่อาจซ่อนรอยยิ้มขบขันที่มุมปากได้ การต่อปากต่อคำของทั้งคู่สร้างเสียงหัวเราะเบาๆ ให้กับเหล่าผู้ใหญ่ที่มองดูอยู่ด้วยความเอ็นดู ไม่นานนัก ภาพของเกาะสวรรค์ก็ปรากฎขึ้นเบื้องหน้า หาดทรายขาวละเอียดราวกับผงแป้งทอดตัวยาว โอบล้อมด้วยน้ำทะเลสีฟ้าใส ราวกับคริสตัล ที่ปลายหาดด้านหนึ่งมีโขดหินรูปทรงแปลกตาสวยงามตั้งตระหง่านท้าทายคลื่นลม เมื่อเรือจอดเทียบท่า ทุกคนต่างก้าวขาลงสู่ผืนทรายด้วยความตื่นเต้นกับภาพความงามของธรรมชาติที่บริสุทธิ์และไร้การปรุงแต่ง หลังจากที่ทุกคนได้เล่นน้ำทะเลใสและพักผ่อนทานของว่างกันจนเพลิดเพลิน พราวตะวันก็อดไม่ได้ที่จะทอดสายตามองไปยังโขดหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่อีกฟากของชายหาด ความงามของมันท้าทายให้เธออยากเข้าไปสัมผัสและเก็บภาพความทรงจำไว้ใกล้ๆ “ฉันอยากจะลองปีนขึ้นไปตรงนั้นดูค่ะ น่าจะถ่ายรูปสวยมาก” เธอหันไปบอกอคิณที่กำลังยืนมองเธออยู่ “จะดีเหรอลูก มันดูสูงนะ” คุณหญิงอรุณีเอ่ยทักขึ้นด้วยความเอ็นดูระคนเป็นห่วง แววตาของอคิณฉายแววกังวลขึ้นมาทันที “นั่นสิครับพราวตรงนั้นอาจจะลื่นได้” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณแม่ ไม่เป็นไรหรอกคุณ” เธอยิ้มให้กับทุกคนอย่างมั่นใจ “พราวจะระวังตัวอย่างดีเลยค่ะ” พราวตะวันเริ่มปีนขึ้นไปบนโขดหินอย่างช้าๆ เลือกเหยียบเฉพาะส่วนที่แห้งและมั่นคง โดยมืออคิณคอยปีนตามประกบอยู่ด้านหลังอย่างไม่ลดละ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่างบางทุกลมหายใจ ไม่มีความสนุก มีเพียงความรับผิดชอบที่พร้อมจะปกป้องเธอทุกวินาที เมื่อขึ้นมาถึงชะง่อนหินที่ยื่นออกไปเห็นวิวทะเลได้งดงามที่สุด พราวตะวันก็สูดหายใจเข้าเต็มปอดด้วยความสดชื่น เธอกำลังจะหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาเพื่อถ่ายรูป จังหวะนั้นเองที่เท้าข้างหนึ่งของเธอเผลอเหยียบลงไปบนแอ่งหินเล็กๆ ที่มีน้ำขังและปกคลุมไปด้วยตะไคร่ที่มองไม่เห็น “ว้าย!!!” เสียงอุทานดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องด้วยความตกใจของทุกคนที่อยู่บนชายหาด “พี่พราว!!!” พราวฟ้ากรีดร้องออกมาเสียงหลง “ลูก!!!” อรัญญาร้องเสียงสั่น หัวใจแทบหยุดเต้น โลกทั้งใบของเธอเอียงวูบ ร่างของเธอก็เอนวูบ กำลังจะร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างที่มีแต่หินแหลมคมรออยู่ เสี้ยววินาทีนั้น เวลาคล้ายกับจะหยุดนิ่ง แต่ร่างกายของอคิณกลับเคลื่อนไหวเร็วกว่าความคิด เขาพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล สองแขนที่แข็งแกร่งตวัดคว้าเอวคอดของพราวตะวันไว้ได้ทันเวลาพอดี เขาออกแรงกระชากร่างของเธอกลับเข้ามาปะทะกับแผงอกของเขาอย่างแรงจนทั้งสองคนเสียหลักล้มลงไปบนพื้นหินพร้อมกัน โครม!!! เสียงเนื้อครูดไปกับหินที่แหลมคมดังขึ้น แต่อคิณยังคงใช้ร่างกายของตัวเองเป็นเบาะรองรับร่างกายของพราวตะวันไว้ทั้งหมด ปกป้องเธอจากแรงกระแทกและความคมของหินอย่างสมบูรณ์แบบ “พี่คินน์ พี่พราวเป็นอะไรไหมคะ” พราวฟ้าพยายามจะวิ่งเข้าไปหาพี่สาวแต่ถูกอคินัยรั้งแขนไว้ “ใจเย็นๆ ก่อนพราวฟ้า ให้พี่คินน์จัดการก่อน ตรงนั้นมันอันตราย” อคินัยตะโกนบอกเสียงดัง ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะบนโขดหิน มีเพียงเสียงหัวใจของคนสองคนที่เต้นระรัว พราวตะวันยังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองคนที่กอดเธอไว้แน่น แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับไม่ใช่สายตาที่ปลอบโยน “ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ระวัง” น้ำเสียงของอคิณสั่นเทาแต่แฝงไปด้วยความดุดันจนน่ากลัว ดวงตาสีเข้มของเขาวาวโรจน์ด้วยความกลัวสุดขีด “ถ้าผมคว้าคุณไว้ไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้นรู้ไหมพราว!” พราวตะวันตัวแข็งทื่อ เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ความเกรี้ยวกราดนี้ไม่ได้มาจากความไม่พอใจ แต่มันคือความกลัวที่จะสูญเสียเธอไปอย่างชัดเจน และนั่นมันทรงพลังยิ่งกว่าคำบอกรักใดๆ ที่เธอเคยได้ยินมาทั้งชีวิต ทันใดนั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นรอยแผลถลอกเป็นทางยาวบนแขนของเขา “แขนคุณ...เลือด!” เธออุทานเสียงแผ่ว “เลือดออกใหญ่เลยค่ะ” ความโกรธเกรี้ยวของเขาไม่ได้มาจากความไม่พอใจ...แต่มาจากหัวใจที่รักและห่วงใยเธออย่างแท้จริง ความดุดันในแววตาของอคิณจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเธอ เขาถูกแทนที่ด้วยความโล่งใจอย่างท่วมท้น เขากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกครั้งราวกับกลัวว่าเธอจะสลายหายไป แขนของเขาสั่นเทาเล็กน้อย “อย่าทำให้ผมกลัวแบบนี้อีกนะ...” เขากระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหูของเธอ น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนล้าและเปราะบาง “โชคดีจริงๆ ที่ตาคินน์อยู่ตรงนั้น” สุริยะพึมพำออกมาอย่างโล่งอก ขณะที่นายแพทย์ธีระตะโกนขึ้นไป “ค่อยๆ พากันลงมานะลูก ไม่ต้องรีบ!” ความรู้สึกกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่มลายหายไปจากใจของพราวตะวันจนหมดสิ้น ในอ้อมแขนที่แข็งแกร่งของเขา เธอรู้สึกถึงความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แบบ ความรู้สึกที่ไม่เคยได้สัมผัสจากใครมาก่อน เธอเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าผู้ชายคนนี้รักเธอมากแค่ไหน และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ พราวตะวันค่อยๆ ยกแขนขึ้นกอดตอบเขาแน่น เธอซบใบหน้าลงกับแผงอกกว้าง สูดกลิ่นกายที่คุ้นเคยของเขาเข้าไปเต็มปอด เธอรับรู้ได้ถึงจังหวะหัวใจของเขาที่ยังคงเต้นแรงอยู่ใต้ฝ่ามือของเธอ “ค่ะ ฉันขอโทษ” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ทั้งสองคนกอดกันนิ่งอยู่บนโขดหิน ท่ามกลางเสียงคลื่นและสายลม โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ ในครอบครัวที่เริ่มก้าวเข้ามาหาอย่างระมัดระวัง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ถูกผนึกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นด้วยคำสัญญาที่ไร้เสียงว่าจะดูแลและปกป้องเธอตอนที่28ความห่วงใยที่ไม่ถูกมองเห็น--- Part ของอคิณ ---เสียงปิดประตูรถของพราวตะวันยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของอคิณ เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน มองบ้านหลังใหญ่ที่บัดนี้เงียบสงัดและอ้างว้างลงไปถนัดตา กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ของเธอยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศแต่เจ้าของกลิ่นได้จากไปแล้วเขาเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงขึ้นไปยังห้องนอน ภาพโซฟาที่ว่างเปล่าตอกย้ำความจริงที่ว่าเขาถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังอีกครั้ง อคิณทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงกว้าง ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเทียบไม่ได้เลยกับความเหนื่อยล้าในหัวใจของเขาในตอนนี้‘ผมทำอะไรผิด...หรือการที่ผมเปิดใจให้คุณเร็วเกินไป...’เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมทุกอย่างถึงพังทลายลงได้ง่ายดายขนาดนี้ เพียงแค่การปรากฏตัวของผู้หญิงคนเดียวที่เขาพยายามจะลบออกจากชีวิตมาตลอดวันต่อมาที่โรงพยาบาล อคิณจมตัวเองอยู่กับงานอย่างหนัก เขาประชุม สั่งงาน และตรวจคนไข้ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยและน่าเกรงขามกว่าเดิม จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ แต่ชวินมองปราดเดียวก็รู้ว่าเพื่อนรักของเขากำลังแตกสลายจากข้างใน“มึงโอเคนะไอ้คินน์” ชวินเอ่ยถามขึ้นเมื่ออยู่กันตามลำพังในห้องทำงานอคิณถอนหายใจยาว
ตอนที่27ใต้ชายคาที่อึดอัด พราวตะวันลืมตาขึ้นบนโซฟา ความปวดร้าวที่แล่นไปทั่วแผ่นหลังเทียบไม่ได้กับความรู้สึกอึดอัดที่บีบรัดอยู่ในหัวใจ เธอตื่นก่อนแสงแรกของวันจะมาถึง จัดการเก็บผ้าห่มและหมอนเข้าที่อย่างเงียบเชียบ แล้วก้าวออกจากห้องนอนโดยไม่หันกลับไปมองเตียงกว้าง เมื่ออคิณตื่นขึ้น เขาพบเพียงความว่างเปล่าข้างกายและโซฟาที่ถูกจัดเรียบร้อยราวกับว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้าหนักอึ้งจนน่าอึดอัด เสียงช้อนส้อมกระทบจานเป็นเพียงเสียงเดียวที่ทำลายความเงียบงัน พราวตะวันเอาแต่ก้มหน้าทานข้าวราวกับว่าอาหารในจานคือสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในโลก “อรุณสวัสดิ์ครับ” อคิณเอ่ยขึ้นเบาๆ “เมื่อคืนนอนไม่สบายใช่ไหม” “ก็ดีค่ะ” เธอตอบโดยไม่สบตา คำตอบสั้นๆ ที่ไร้เยื่อใยนั้นเหมือนกำแพงที่มองไม่เห็น “วันนี้ผมไม่มีประชุมช่วงบ่าย เราไปหาอะไรทำกันข้างนอกไหม เผื่อคุณจะรู้สึกดีขึ้น” เขาพยายามอีกครั้ง ความหวังริบหรี่ฉายอยู่ในแววตา “ไม่ดีกว่าค่ะ” พราวตะวันวางช้อนลงทันที “พอดีฉันมีธุระต้องทำ” เธอลุกขึ้นยืน เป็นการจบการสนทนาอย่างสิ้นเชิง แล้วเดินจากไป ทิ้งให้อค
ตอนที่26คืนที่เงียบงัน บรรยากาศภายในรถยนต์คันหรูเงียบสนิท แสงสีของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนที่วิ่งผ่านกระจกไปอย่างรวดเร็ว ความสุขและความโรแมนติกเมื่อชั่วโมงก่อนได้เลือนหายไปจนหมดสิ้น เหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบที่หนักอึ้งและน่าอึดอัด อคิณกำพวงมาลัยแน่นขึ้นเล็กน้อย เขาเหลือบมองร่างบางที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นระยะ พราวตะวันเอาแต่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย แสงไฟนีออนสาดกระทบใบหน้าสวยของเธอ เผยให้เห็นแววตาที่ว่างเปล่าและเย็นชา ในหัวของเธอ มีแต่เสียงของนิชาที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา คำพูดเหล่านั้นเหมือนยาพิษที่ค่อยๆ ซึมลึกเข้าไปในหัวใจที่เพิ่งจะเริ่มแข็งแรงของเธอ ความเชื่อใจที่เพิ่งก่อตัวขึ้นอย่างสวยงาม บัดนี้กลับถูกความสงสัยเข้ากัดกินหัวใจของเธอ เดทที่ควรจะพิเศษที่สุด กลายเป็นเพียงการตอกย้ำว่าเธอเป็นเพียงเงาของใครอีกคน เป็นเพียงตัวแทนในสถานที่แห่งความทรงจำของเขา “พราว...” อคิณลองเรียกชื่อเธอเบาๆ ทำลายความเงียบที่น่าทรมาน เธอไม่ได้หันมามอง เพียงแต่ขานรับในลำคอด้วยน้ำเสียงที่ห่างเหิน “คะ” ความเย็นชาในน้ำเสียงนั้นทำให้อคิณรู้สึกจุกในอก แต่เข
ตอนที่25แขกที่ไม่ได้รับเชิญ ค่ำคืนนั้นงดงามราวกับความฝัน... บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพ อคิณและพราวตะวันกำลังนั่งทานอาหารค่ำด้วยกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนโรแมนติก แสงเทียนบนโต๊ะสะท้อนแววตาที่มีความสุขของคนทั้งสอง ขณะที่เบื้องหลังคือทะเลดาวที่ส่องระยิบระยับ “ไม่ยักรู้นะคะว่าท่านประธานจะมีมุมโรแมนติกแบบนี้กับเขาด้วย” พราวตะวันแกล้งแซว ขณะจิบไวน์รสเลิศ อคิณหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เขาเอื้อมมือข้ามโต๊ะมากุมมือของเธอไว้ “กับคุณ ผมมีทุกมุมที่คุณยังไม่เคยเห็นอีกเยอะครับ” บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรกัและความเข้าใจที่สมบูรณ์แบบ ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของพราวตะวันที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นขึ้นมาเบาๆ หน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมาปรากฎชื่อที่เธอเคยจดจำขึ้นใจ “ P’ Film ” รอยยิ้มบนใบหน้าของพราวตะวันชะงักไปชั่วครู่ หัวใจของเธอกระตุกวูบด้วยสัญชาตญาณ แต่มันเป็นเพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น เธอเหลือบมองใบหน้าของอคิณที่นั่งอยู่ตรงหน้า ผู้ชายที่มอบความสุขและความปลอดภัยให้เธอในตอนนี้ เขาสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอและมองไปยังโทรศัพท์ที่ยังคงสั่นไม่หยุด
ตอนที่24เดทแรก เย็นวันหนึ่งหลังจากอคิณกลับมาจากที่ทำงาน เขาบอกกับพราวตะวันด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัยว่า “คืนนี้แต่งตัวสวยๆ นะครับ” พราวตะวันที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ แววตาฉายแววสงสัยระคนตื่นเต้น “ทำไมคะ” เขาเดินเข้ามาใกล้โซฟาที่เธอนั่งอยู่ ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แล้วคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ก็เพราะว่าคืนนี้ เป็นคืนพิเศษของเราไงครับ” พราวตะวันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ “พิเศษยังไงเหรอคะ” “ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิครับ” เขาขยิบตาให้เธออย่างมีเลศนัย “แต่รับรองว่า คุณจะต้องชอบแน่นอน” ความขี้เล่นของเขาทำให้เธออดที่จะยิ้มตามไม่ได้ “ก็ได้ค่ะ ไม่บอกก็ไม่บอก” เธอยอมแพ้ “แล้วต้องสวยขนาดไหนคะ มีธีมสีหรือเปล่า” อคิณส่ายหน้าช้าๆ สายตาของเขาจ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง “ไม่ต้องมีธีมหรอกครับ” เขายกมือขึ้นเกลี่ยปอยผมที่ข้างแก้มของเธอเบาๆ “แค่เป็นตัวคุณเองก็สวยที่สุดแล้ว” อคิณเอ่ยจบก็มองหน้าของพราวตะวันด้วยสายตที่ทำให้เธอเขินจนแทบไปไม่เป็นแต่คำพูดของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขจนแก้มร้อนผ่าว เธ
ตอนที่23เริ่มต้นบทบาทสามีภรรยา ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนั้น อคิณขมวดคิ้วแน่นขณะจ้องมองตัวเลขบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ การประชุมที่เคร่งเครียดลากยาวมาตั้งแต่เช้าทำให้เขารู้สึกอ่อนล้าและเริ่มปวดหัว เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ผู้บริหารแล้วนวดขมับเบาๆ ก๊อกๆ... เสียงเคาะประตูที่ไม่ได้นัดหมายไว้ดังขึ้น “ผมบอกแล้วไงว่ายังไม่” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ต้องชะงักคำพูดไว้เมื่อบานประตูเปิดออก พราวตะวันไม่ได้เดินเข้ามาทันที เธอค่อยๆ แง้มประตูโผล่หน้าสวยๆ เข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มทะเล้น “ท่านประธานจะรับอาหารกลางวันตอนนี้เลยไหมคะ”รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอคิณในทันที ความเหนื่อยล้าทั้งหมดมลายหายไปสิ้นราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน“คุณมาได้ยังไงครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันที“ก็ห่วงคนแถวนี้ กลัวจะทำงานหนักจนลืมทานข้าวน่ะสิคะ” เธอเดินเข้ามาในห้อง ในมือของเธอหิ้วปิ่นโตเถาเล็กๆ สีพาสเทลมาด้วย การปรากฏตัวของเธอราวกับสายลมเย็นที่พัดเข้ามาในห้องทำงานที่ร้อนระอุของเขา“พักทานข้าวก่อนนะคะ” เธอเดินเข้ามาแล้ววางปิ่นโตลงบนโต๊ะทำงานของเขา“เห็นคุณประชุมไม่หยุด