 LOGIN
LOGIN“ลุกขึ้น”
เพิ่งจะซบไหล่ฮานไม่ถึงสามนาทีท่อนแขนฉันก็ถูกจับรั้งค่อนข้างแรง
“เรซ… โอ๊ยนี่!”
ฉันครางเสียงฉุน สะบัดท่อนแขนออกจากมือหมอนั่นอย่างไม่พอใจ
“ทำอะไรของเธอ กลับได้แล้ว”
“กลับ?”
ฉันมองสบสายตาขวางๆ ของเรซ ยังไม่หายเคืองกับเรื่องก่อนหน้า แต่พอเหลือบมองรอบๆ ก็เห็นว่าแขกสองคนของพวกเขากำลังลุกขึ้นเตรียมจะกลับทำให้ฉันหยุดความคิดที่จะเถียงเอาไว้
ฉันคว้ากระเป๋าขึ้นคล้องไหล่ อดทนรอเรซกับฮานเคลียร์บิลเหล้าจนเสร็จ แล้วเดิมตามหลังพวกเขาออกมาจากหาด ระหว่างทางมีฝรั่งเดินชนฉัน แต่แกล้งชนแล้วเนียนคุย จะชวนฉันกลับด้วย จะบ้าตาย ฉันรีบปฏิเสธแล้วสาวเท้ายาวๆ ออกมา
ด้วยความที่ฉันเดินทิ้งระยะห่างจากเรซและฮานพอสมควร เลยดูเหมือนฉันมาคนเดียว ไม่ใช่ว่าฉันอ้อยอิ่งหรืออยากอ่อยผู้ชายนะแต่เรซกับฮานดันเดินเร็ว ฉันตามไม่ทัน อาจเพราะง่วงกอปรกับเมานิดๆ ด้วยทำให้ฉันสูญเสียความคล่องตัวไป แค่เดินยังไม่ตรง
“ชักช้า”
พอมาถึงรถก็ถูกเรซมองแรงใส่ทันที อะไรวะ แทนที่จะมาว่าฉัน ถามฉันสักคำมั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง
ช่างเถอะ ขี้เกียจเถียง
ฉันเดินอ้อมมาเปิดประตูขึ้นรถโดยไม่พูดอะไรสักคำ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่บ่งบอกให้รู้ว่าฉันหงุดหงิดเรซขนาดไหน
“อื้ออ”
ฉันรู้สึกตัวเพราะความเสียวแปลบที่ยอดอก ปรือตาขึ้นมอง เห็นเพดานห้องของโรงแรมกับแสงไฟเหลืองนวลจางๆ ก่อนหลุบตาลงมองกลุ่มผมสีดำที่ซุกอยู่บนอก
หัวใจฉันกระตุกวูบ พอมองชัดๆ ก็รู้ว่าเป็นศีรษะคน และคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “อ๊ะ นี่… เรซ”
เรียวปากร้อนชื้นตวัดปลายลิ้นไล้เลียวนรอบยอดอกก่อนกดดูดเป็นจังหวะหนักหน่วง ฉันผวาคว้าศีรษะที่กำลังก้มๆ เงยๆ ของเรซเอาไว้ทันที ขยุ้มเส้นผมของเขาแน่น ลมหายใจหอบกระเส่า ร่างกายเย็นวาบทุกสัดส่วน ตอนนั้นฉันถึงรู้ตัวว่าไม่ได้สวมเสื้อผ้าสักชิ้น
“กรี๊ดหยุดนะ!”
ฉันพรวดพราดลุกขึ้น ผวาถอยห่างจนหลังชิดหัวเตียง จ้องมองผู้ชายที่สวมแค่กางเกงยีนตรงหน้าอย่างสับสน รีบดึงผ้าขึ้นมาคลุมร่างเปลือยของตัวเองหัวใจสั่น
“นายทำบ้าอะไรเรซ!” ฉันตะโกนออกไปอย่างเกรี้ยวกราด ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามาอยู่บนเตียงนี่ได้ยังไง ครั้งสุดท้ายที่ฉันจำได้คือขึ้นรถกลับจากพาราไดซ์บรีท
นี่… อย่าบอกนะว่าฉันเผลอหลับไป แล้ว…
ฉันจ้องหน้าเรซนิ่งหลังจากที่เดาเรื่องราวออก เวลาเมาหนักๆ ฉันมักจะวูบหลับแบบไม่รู้ตัวอันนี้ฉันรู้ตัวเองดี แต่ครั้งนี้ฉันไม่ได้เมาหัวราน้ำขนาดนั้นแต่ที่น็อกอาจจะเป็นเพราะร่างกายอ่อนเพลียจากการเดินทางไกลด้วย แต่ถึงฉันจะไม่ได้สติ เรซก็ไม่ควรจับฉันถอดเสื้อผ้าแบบนี้
“จ้องแบบนั้นหมายความว่ายังไง หรือเธอมีปัญหา”
“ก็ต้องมีอยู่แล้วสิ!” ฉันแหวกลับไปเสียงแหลม ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที
“ทำไม ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาตรงไหน”
สายตาเรซมองต่ำลงมาที่หน้าตักฉันราวกับจะส่องให้ทะลุผ้าห่ม ใบหน้าฉันร้อนวูบขึ้นมาทันที
“นี่มองอะไรของนาย”
“ก็น้องสาวเธอ ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาตรงไหน หนำซ้ำยังขมิบเก่งแม้กระทั่งตอนหลับ” เรซยกยิ้มมุมปาก คำพูดของเขาทำฉันกรี๊ดลั่นห้อง รู้สึกเจ็บตรงนั้นขึ้นมาทันที
“นะนายทำอะไร นาย…”
“แค่ใช้นิ้ว ไม่ต้องห่วงยังไม่ได้ใส่จริง รอเธอตื่นมันเร้าใจกว่า”
ร่างสูงโถมกายเข้ามาคร่อมทับฉันเอาไว้อย่างรวดเร็ว ฉันจะพลิกหลบแต่ถูกเรซคว้าท่อนแขนรั้งลงไปใต้ร่างของเขา
“นี่ปล่อยนะ ฉันไม่อยากทำแบบนี้กับนาย ออกไป!”
“แน่ใจ?”
“ออกไป บอกให้ออกไปไง” ฉันตะโกนไล่เขาอย่างไม่นึกเสียดาย ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธที่อยากจะไล่เขาไปไกลๆ เรซคว้าข้อมือฉันที่ยกขึ้นทุบตีเขาเอาไว้แน่น โน้มใบหน้าคมๆ ลงมาใกล้ ฉันยังขัดขืนไม่หยุด
“ทำไม หรืออยากได้ไอ้ฮานมากกว่า”
“ว่าไงนะ” ฉันนิ่งอึ้ง เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดน่ารังเกียจแบบนั้นจากปากของเรซ
“ฮานมันมีลูกมีเมียแล้ว เธอเลิกฝันซะ”
“ฉันเปล่านะ ใครว่าฉันสนใจฮาน ฉันน่ะมีแฟน...”
“ขอเตือน! อย่าคิดจะอ่อยคนในทีมฉัน ไม่งั้นฉันเอาเธอตาย”
ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบเรซก็สวนขึ้นมาทันควัน หัวใจฉันกระตุกวูบ สายตาของเรซน่ากลัวจับขั้วหัวใจ ฉันเคยได้ยินเรื่องราวความร้ายกาจของริกกี้มาจากคะนิ้งแต่ไม่เคยนึกภาพออกจนกระทั่งได้เผชิญหน้ากับเรซในตอนนี้
“ฉันไปอ่อยคนในทีมนายตอนไหนเรซ คนที่ยุ่งกับฉันก่อนก็คือนาย นายนั่นแหละ!”
ฉันขึ้นเสียงใส่เรซอย่างเหลืออด เดือดจนไม่รู้จะเดือดยังไง
“เธอยังกล้าถามอีกเหรอว่าตอนไหน ต้องให้ฉันสาธยายถึงความร่านของเธอมั้ย”
“ร่านเหรอ กรี๊ด!”
ฉันคว้าหมอนขึ้นมาฟาดหน้าเรซอย่างหมดความอดทน
พลั่ก!
“เฮ้!”
เรซปัดหมอนออก ฉันไม่สน เหวี่ยงกลับไปฟาดหน้าเขาอีกรอบคราวนี้หมอนั่นแย่งหมอนไปจากมือฉันแล้วเหวี่ยงทิ้งทันที
“ทำไม พูดเรื่องจริงแล้วรับไม่ได้งั้นเหรอ”
“เรื่องจริงบ้าอะไร ปล่อยฉัน” ฉันดิ้นพล่าน เมื่อถูกเขากดข้อมือเอาไว้ทั้งสองข้าง
“ไม่ปล่อยจะทำไม”
“ไอ้บ้า อื้อ… หยุด ฉันไม่อยากทำ ปล่อย! บอกให้ปล่อยไง”
ฉันดิ้นพรวดพราดอยู่ใต้ร่างเรซ ริมฝีปากที่ก้มลงซุกไซ้ซอกคอกับลมหายใจร้อนระอุนั่นทำฉันขยะแขยงจนแทบคลั่ง ความรู้สึกหนักอึ้งในหัวจากการดื่มเหล้ายังไม่หายไปกอปรกับความอ่อนเพลียจากการพักผ่อนน้อยทำให้ฉันต้านทานแรงรุกของเรซไม่ไหว
แม้ความรู้สึกจะขัดขืน แต่ว่าร่างกายที่โดนปลุกปั่นจากสัมผัสอันร้ายกาจของเขาทำเอาฉันอ่อนพับไปทันที เลิกดิ้นหนี ปล่อยเรือนร่างให้ขยับไปตามการลูบไล้ของคนด้านบน
“หึ…” เรซหัวเราะเยาะในลำคอ ฉันหลับตาแน่น ไม่อยากรับรู้อะไรอีก จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา
ร่างสูงขยับลงไปนั่งคุกเข่าจับเรียวขาฉันแยกออกอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ความรู้สึกแข็งขืนเบียดดันเข้ามาแผดไอร้อนผ่าวกระจายไปทั่วร่าง แรงขยับทำฉันสั่นสะท้าน ลมหายใจติดขัดอย่างไม่อาจควบคุม และสุดท้ายริมฝีปากที่เม้มแน่นในตอนแรกก็เผยอออก ร้องครวญครางเรียกชื่อเรซอย่างลืมตัว

ความรู้สึกหนักอึ้งที่เคลือบทาเปลือกตาให้ความรู้สึกทรมานไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ฉันค่อยๆ ปรือตาขึ้นมองเพดานขาวโพลน ในคอแสบปร่า มือควานหาโทรศัพท์มาดูเวลา บ่ายโมง... ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ยฉันดันร่างลุกขึ้นนั่งหย่อนขาลงข้างเตียง นั่งมึนอยู่อย่างนั้นไม่รู้จะเริ่มทำอะไรจากตรงไหนก่อน รู้อยู่อย่างเดียวคือร่างกายกำลังแย่เพราะถูกพิษไข้เล่นงาน ระหว่างที่กำลังกล้ำกลืนความเจ็บป่วยลงไปประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาเรซ...ฉันจ้องเขาอย่างแปลกใจ อยากถามว่ามีอะไรแต่เพราะเจ็บคอเลยไม่อยากพูด ได้แต่รอให้เรซบอกออกมาเอง เมื่อคืนหมอนี่เกือบจะต่อยฉันด้วยซ้ำ นี่นึกแล้วยังหลอนไม่หายเลย“ตื่นได้แล้วเหรอ”เสียงเย็นชามาพร้อมกับสายตาทิ่มแทง ซึ่งฉันเจอจนชิน ตอนนี้แทบไม่รู้สึกอะไรกับมันแล้ว“ฉันไม่สบายน่ะ นายกินอะไรหรือยัง ถ้ายังจะได้ไปทำให้ ส่วนเรื่องความสะอาดฉันขอเลื่อนแค่กๆ ไปเป็นวันอื่นได้มั้ย” ฉันไม่อยากถูกหาเรื่องว่าอู้งาน สภาพฉันตอนนี้ทำงานหนักๆ ไม่น่าไหวแต่แค่เตรียมอาหารคิดว่ายังพอทำได้เรซชักสีหน้าใส่ฉันเหมือนคนไม่รู้จักเจียมตัว ก่อนที่น้ำเสียงรำคาญกึ่งๆ โมโหจะดังขึ้น “แฮคมันซื้อยามาให้อยู่ข้างล่าง”“แฮค...”ฉันรีบ
เฮียโม้สรรพคุณที่พักตัวเองพลางขยิบตาส่งให้ยัยนั่นอย่างมีเลศนัย กลายเป็นศึกยื้อแย่งตัวยัยนั่นระหว่างเฮียกับไอ้แฮคขึ้นมากะทันหัน “เลิกเล่นกันได้มั้ย” ริกกี้หมดความอดทน พูดสวนขึ้นมาอย่างเหนื่อยหน่าย มันส่งสายตาเขียวขุ่นให้เฮียกับแฮคคนละทีก่อนเล็งสายตาคมกริบไปที่เทียน “เราไม่ต้องการแม่บ้านประจำ ที่นี่มีแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกอาทิตย์อยู่แล้ว” “จริง” ผมสำทับเสียงนิ่ง เทียนตวัดสายตาเขียวปัดมาทางผมคล้ายจะด่าว่าให้อยู่เงียบๆ ก่อนพูดกับริกกี้ด้วยใบหน้าที่น่าสงสาร “ขอร้องล่ะริกกี้เห็นใจฉันเถอะนะ ฉัน... เพิ่งเลิกกับแฟนแล้วเงินที่มีก็ไม่พอจะไปเช่าห้องใหม่ด้วย ฉันทำงานบ้านเก่ง ทำอาหารอร่อยด้วย ถ้าทุกคนให้ฉันอยู่ที่นี่ฉันสัญญาจะตั้งใจทำงานและไม่สร้างปัญหาให้เด็ดขาด นะ... ขอร้องล่ะ ฉันไหว้ก็ได้หรือจะให้กราบก็ยินดี” “เฮ้ยๆ เทียน” แฮคกับเฮียหมูรีบถลาเข้าไปรั้งยัยนั่นที่ทำท่าจะลงไปนั่งคุกเข่าแล้วประนมมือกราบทุกคนจริงๆ “ขอร้องล่ะ ฉันไม่มีที่ให้ไปแล้วจริงๆ” นัยน์ตากลมสวยแดงรื้น ริมฝีปากอิ่มสั่นระริกกัดเม้มแน่น
ผมนั่งรอแฮคที่โซฟาในห้องโถงไม่ถึงห้านาทีมันก็ลงมา แฮคหยุดยืนอยู่ข้างโซฟา มันกับผมประสานสายตากันนิ่งอยู่เกือบหนึ่งนาที ไอ้แฮคก็ยักไหล่ เดินไปฉวยรีโมตเปิดทีวีแล้วหย่อนก้นลงนั่งโซฟายาวตัวเดียวกัน เว้นระยะห่างเอาไว้พอประมาณเสียงรายการทีวีช่วยผ่อนบรรยากาศลงเล็กน้อย ระหว่างผมกับมันเหมือนถูกความคิดของตัวเองกลืนกิน ไอ้แฮคก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน“มึงทำงี้ได้ไงวะ”น้ำเสียงมันปะปนไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตกใจ โกรธ หรือแม้แต่เสียดาย ดวงตาคมกริบของแฮคเหมือนสว่านที่ต้องการจะเจาะเข้ามาในหัวผม “สัส กูเกลียดมึงจริงๆ เรซ”แล้วมันก็ถีบโต๊ะตรงหน้าไปทีหนึ่ง ไม่แรงมาก แต่ก็เพียงพอจะทำให้เกิดเสียงกระทบของที่เขี่ยบุหรี่เซรามิกโมเดลรถแข่งที่วางอยู่บนโต๊ะผมรู้ว่าแฮคมันอยากโวยวายเรื่องอะไร ผมไม่คิดแก้ตัว และไม่เห็นความจำเป็นต้องอธิบายเรื่องผมกับเทียนให้มันฟัง ต่อให้มันอยากรู้จนแทบคลั่งแล้วก็เถอะ“มึงไปตกลงอะไรกับยัยนั่น” ผมถามในสิ่งที่ตัวเองสนใจ ควานบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงออกมาจุดสูบ ก่อนหน้านี้ผมก็สูบไปตั้งเท่าไหร่แต่รู้สึกว่าสมองยังไม่ค่อยโล่งเลย ผมประเมินยัยนั่นต่ำไป ไม่คิดว่าการพามาที่นี่เพียงครั้งเดียว
หลังจากนั้น แฮคพาฉันขึ้นมาชั้นสอง เปิดประตูห้องที่อยู่ติดกับห้องที่มีชุดชั้นในของคะนิ้ง จูงกระเป๋าเดินทางฉันเข้าไปข้างใน“คืนนี้ก็ใช้ห้องนี้ไปก่อน” “คืนนี้? ...แล้วพรุ่งนี้ล่ะ” ฉันเหลือบมองไปทั่วห้องก่อนดึงสายตากลับมาจ้องแฮคด้วยสายตาหวาดๆ แฮคผ่อนลมหายใจยาว ท่าทางกลัดกลุ้มไม่แพ้กัน “ฉันไม่มีสิทธิ์ตัดสินเรื่องนี้ จะว่าไงดี เรื่องนี้ฉันตัดสินใจเองไม่ได้” “งั้น... ทำยังไงฉันถึงจะอยู่ที่นี่ได้” “ถ้าเป็นผู้หญิงของใครสักคนในกลุ่มก็ไม่มีปัญหาหรอก” “เข้าใจแล้ว” ฉันบอกอย่างรู้สึกหดหู่ แฮคพยักหน้า ท่าทางโล่งใจเปลาะหนึ่ง เขาคงคิดว่าฉันยอมแพ้ที่จะอยู่ที่นี่แล้ว หมอนั่นพูดอะไรอีกสองสามประโยคเกี่ยวกับของกินในครัวและห้องน้ำ แต่ฉันฟังไม่รู้เรื่อง ในหัวเอาแต่คิดว่าต้องทำยังไงถึงจะอยู่ที่นี่ได้ ร่างสูงกำลังจะออกจากห้อง ฉันรู้สึกว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว “แฮคเดี๋ยว...” ฉันคว้ามือหนาเอาไว้อย่างร้อนใจ แฮคชะงัก ก้มลงมองมือที่ถูกจับก่อนเหลือบตาขึ้นมองหน้าฉันด้วยสายตาเป็นคำถาม
ปังๆ “ไอ้เรซ เปิดประตู!” แฮคเคาะประตูอย่างบ้าคลั่ง ฉันยืนกระสับกระส่ายอยู่ด้านหลัง แค่ฉันบอกว่าจะมาขออยู่ที่นี่สักพักแต่เรซปิดประตูไม่ยอมให้ฉันเข้าไปตั้งแต่เช้า แฮคก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แทบจะพุ่งถีบประตูอย่างที่เห็น “ไอ้เรซมึงเปิด...” ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก เรซยืนกอดอก สีหน้ารำคาญกึ่งโมโหที่เห็นแล้วชวนหงุดหงิด แต่ยังไม่ทันที่เรซจะพูดอะไรกับแฮค เขาก็ถูกคนเลือดร้อนกว่าผลักอกเข้าไปข้างในอย่างเอาเรื่อง เรซเซถอยหลังไปสองก้าวแต่แฮคเหมือนยังไม่พอใจ ตามเข้าไปกระชากคอเสื้อเรซแล้วเหวี่ยงแรงๆ จนร่างสูงถลาไปชนกับโซฟาดังพลั่ก“มึงเป็นเหี้ยอะไรวะแฮค!” เรซหันกลับมาตะคอกเสียงขุ่น ดวงตาคมฉายแววร้อนระอุตวัดมองฉันที่อยู่ด้านหลังแฮค ฉันสะดุ้งเฮือก ก้มหน้าหลบสายตาคมปลาบเลิ่กลั่ก “เฮ้ย! มึงมองเทียนแบบนั้นมึงคิดจะทำอะไร” เสียงกรรโชกของแฮคทำฉันเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนฉันถึงขนาดนี้“แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไร”“มึงทำเหี้ยอะไรเอาไว้ล่ะ!” แฮคสวนกลับอย่างร้อนแรง สองคนนั้นจ้องตากันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ก่อนท
ราวกับโดนสาดหน้าด้วยน้ำเย็นแล้วราดน้ำเดือดตาม ฉันเย็นวาบไปทั้งตัวก่อนจะรู้สึกเห่อร้อนในทุกอณูผิวหนัง มองใบหน้าด้านชาของเรซอย่างหายใจไม่ออก คิดว่าต้องพูดอะไรสักอย่างกลับไปเอาให้เขาเจ็บแสบบ้าง แต่ว่าในหัวฉันตอนนี้มันตื้อไปหมด ทั้งเพลียทั้งง่วง แถมยังมวนท้องเหมือนลมจะตีตื้นขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา สายตาที่มองเรซพร่ามัวชั่วขณะ แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ฉันอ้วกออกมา พุ่งใส่ท้องเรซเต็มๆ “เชี่ย!”เรซอุทานหยาบคายออกมาคำหนึ่ง รีบดันร่างฉันออกห่างแต่ไม่ทันแล้ว อ้วกสองสายราดอยู่บนเสื้อราดลงไปถึงกางเกงและรองเท้าแตะที่เขาสวมอยู่“นี่เธอ...” เรซโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ฉันได้แต่มองไม่มีแรงจะตอบโต้แล้วภาพตรงหน้าก็ดับวูบ!ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงหนานุ่ม กลิ่นหอมอ่อนจางจากผ้าห่มและปลอกหมอนให้ความรู้สึกผ่อนคลายจนไม่อยากลืมตาตื่น หากแต่เสียงเปิดประตูห้องฉุดสติฉันที่กำลังสะลึมสะลือให้แจ่มชัด เป็นเรซเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียง ใบหน้าหล่อเหลายังคงบึ้งตึงเหมือนโดนใครเหยียบเท้าตลอดเวลา สายตาเรซราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ฉันยันตัวลุกขึ้น กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอย่างงวยงง“ฉันมาอยู่ที่น








