(ภาค 1)
บทที่ 4
งานเลี้ยง
สิบวันต่อมาคือวันเฉลิมฉลองพิธีหมั้นระหว่างเจ้าชายอเล็กซีสกับนักบุญเรเซฟ
ซีเอลสำรวจตัวเองในกระจกหลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ชุดเครื่องแบบชนชั้นสูงสีขาวงาช้าง เย็บปักด้วยด้ายสีน้ำเงิน กระดุมและเครื่องประดับบนคอเสื้อทำจากอัญมณีสีฟ้า ผสมผสานระหว่างสีตาของซีเอลและสีผมของไคล์เดน
ซีเอลยิ้มให้กับตัวเองในกระจกด้วยความพึงพอใจก่อนจะเดินไปหาสามี ช่วยจัดคอเสื้อพร้อมตรวจดูความเรียบร้อย
ไคล์เดนหลุบตามองซีเอล ใบหน้าคมสันบึ้งตึงเล็กน้อย
“พวกเราฝึกดื่มตั้งขนาดนั้น ที่รักไม่ต้องกังวลนักก็ได้ อีกอย่าง เจ้ามีข้าอยู่ข้างๆ อะไรไม่ดีข้าก็จะคอยห้ามปรามเอง”
“แต่ข้า...”
ไคล์เดนพูดเพียงแค่นั้นก็ยกมือปิดปาก โหนกแก้มขึ้นสีเข้ม
ท่าทางเขินอายของสามีชวนให้ซีเอลหน้าร้อนผ่าวตามไปด้วย จังหวะนั้นเอง จู่ๆ ภาพที่ไคล์เดนเมาแล้วขึ้นมาทาบทับบนตัวซีเอลพลันวาบเข้ามาในหัว
ตั้งแต่ฝึกดื่มด้วยกัน ซีเอลเข้าใจแล้วว่าไคล์เดนกังวลเรื่องอะไรมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องสติหลุดแล้วทำร้ายคนอื่น แต่พอเมาขึ้นมา ไคล์เดนจะของขึ้นทันที
ซีเอลรีบสลัดภาพลามกออกจากหัว แกล้งกระแอมกระไอกลบเกลื่อนความเขิน ก่อนหันเหไปคุยเรื่องอื่น
“ไหน...คราวนี้ที่รักลองยิ้มให้ดูหน่อย”
ไคล์เดนนิ่งไปสักครู่ ต่อมา มุมปากบางยกขึ้นเล็กน้อย
ดวงตากลมโตสีฟ้าของซีเอลกะพริบตาปริบๆ เพียงครู่ก็หลุดขำ
ว่าตามตรง นี่ไม่ใช่รอยยิ้ม แต่เป็นการแสยะยิ้มมากกว่า!
เห็นอย่างนั้นมุมปากของไคล์เดนคว่ำลงทันที
“ไม่หัวเราะแล้วก็ได้ แต่ว่านะ ตอนที่เจ้าพยายามยิ้มก็น่ารักไปอีกแบบนะเนี่ย” ซีเอลพูดพลางปาดน้ำตาที่หางตา
“...”
หัวคิ้วคมเข้มขมวดคิ้วเข้าหากันน้อยๆ มือใหญ่รั้งเอวบางของคนตรงหน้าเข้ามาบดจูบเป็นการลงโทษที่ล้อเลียน
ขุนนางส่วนใหญ่แม้จะมีอาณาเขตปกครองเป็นของตัวเอง หากก็มีเรื่องที่ต้องเข้าเมืองหลวงบ่อยครั้ง โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะซื้อคฤหาสน์ไว้ในเมืองหลวงหลังหลัง ไคล์เดนเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
หลังได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งเคานต์ เดือนถัดมาไคล์เดนก็มีงานให้ต้องเข้าวังหลวงทันที ดยุกมาร์คัสผู้เป็นพ่อจึงมอบคฤหาสน์ในเมืองหลวงให้เป็นของขวัญหลังแต่งงาน
ระยะทางจากคฤหาสน์ของไคล์เคนกับวังหลวงใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีก็ถึง
ทันทีที่มหาดเล็กประกาศชื่อของพวกเขา สายตาทุกคู่ก็พุ่งเป้ามาทางซีเอลกับไคล์เดน
เจ้าชายอเล็กซีสกับนักบุญเรเซฟแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งถึงความอยากรู้อยากเห็น สอดส่องสายตามองไปทั่ว
ซีเอล : (= _ =;)
คนพวกนี้สนใจอยากรู้ว่าซีเอลจะถูกสามีทำร้ายหรือไม่ แต่ขอโทษทีเถอะ นิยายเรื่องนี้เปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่ที่ ‘เขา’ เข้ามาแทนที่ซีเอลคนเก่า แถมไคล์เดนยังรักเขามาก และไม่เคยมีอาการคลุ้มคลั่งทำร้ายทารุณใดๆ...เอ่อ ยกเว้นเรื่องบนเตียงละนะ นั่นคือความทรมานเพียงอย่างเดียวที่ซีเอลได้รับจากสามี
อะแฮ่ม!
เลิกคิดเรื่องนั้นดีกว่า
ซีเอลคล้องแขนของสามีขณะเดินเข้าไปในงาน
ไคล์เดนหันมาเลิกคิ้วมอง จากนั้นส่งสายตาหวานล้ำให้กับภรรยา
“ไหนว่าเคานต์ไคล์เดนนิยมความรุนแรง แต่จากท่าทางที่มีความสุขของภรรยาแล้วมันคนละเรื่องกันเลยไม่ใช่เหรอ”
“ก็หมายความว่าข่าวลือเชื่อถือไม่ได้ยังไงล่ะครับ ท่านไวเคานต์วิลโลว์”
“นั่นสินะ”
จากคำพูดซุบซิบ เหมือนว่าภาพลักษณ์ของไคล์เดนจะมีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น
ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ คนที่ไม่พอใจเห็นทีคงเป็นเจ้าชายอเล็กซีสกับนักบุญเรเซฟ
“ไม่เคยได้ยินคำว่าสร้างภาพกันเหรอ” เจ้าชายอเล็กซีสกล่าว
“เจ้าชายตรัสถูกต้อง ไม่มีใครอยากให้คนอื่นเห็นด้านแย่ๆ ของตัวเอง พวกเขาตั้งใจสร้างภาพให้ตัวเองดูดีเท่านั้นละพ่ะย่ะค่ะ” นักบุญเรเซฟเสริม
พวกเขาตั้งใจพูดให้ได้ยินขนาดนั้น ซีเอลกับไคล์เดนต้องได้ยินเต็มสองหูอยู่แล้ว แต่ทั้งสองกลับเลือกนิ่งเฉย
ท่ามกลางเสียงดนตรีอันไพเราะ ซีเอลพูดคุยพลางหัวเราะคิกคักกับสามี ราวกับโลกนี้มีเพียงพวกเขาเท่านั้น
เมื่อมีมาสคอตน่ารักอย่างซีเอลอยู่ข้างๆ ความน่ากลัวของไคล์เดนก็ลดน้อยลง ขุนนางบางคนจึงกล้าเข้ามาทักทาย แน่นอนว่า เวลาที่เหล่าบุรุษสนทนากันก็ต้องมีการชนแก้ว
งานเลี้ยงดำเนินมาถึงช่วงสำคัญ เจ้าชายกับคู่หมั้นคงเบื่อจะจับผิดซีเอลแล้วจึงตัดเข้าการประกาศการหมั้นอย่างเป็นทางการ
เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังกระหึ่มทั่วห้องโถงจัดเลี้ยง
เนื้อเรื่องในต้นฉบับ หลังจากเจ้าชายกับนักบุญเรเซฟประกาศหมั้นหมาย บทบาทตัวร้ายของซีเอล ลูกัสตาร์ก็จบลงแค่ตรงนี้ ชัดเจนว่าระหว่างซีเอลกับตัวละครหลักไม่มีอะไรให้ต้องข้องเกี่ยวกันอีก
เอาละ ปรบมือ!
พอคิดว่าเป็นอิสระจากบทตัวร้าย ซีเอลอดยิ้มเริงร่าไม่ได้
ชายหนุ่มเลิกคิ้วก่อนโน้มหน้าลงมากระซิบถาม
“ภรรยายิ้มอะไรอยู่เหรอ”
ซีเอลสั่นศีรษะแล้วตอบ “ไม่มีอะไรหรอกครับ...ในเมื่อเจ้าชายรัชทายาทประกาศการหมั้นอย่างเป็นทางการจบแล้ว พวกเรากลับคฤหาสน์กันเลยดีไหม”
ไคล์เดนพยักหน้าเห็นด้วย
ทั้งคู่อาศัยจังหวะที่เหล่าขุนนางหันนางห้อมล้อมประจบเจ้าชายเดินออกจากโถงจัดเลี้ยง สักครู่หนึ่ง รถม้าก็เคลื่อนมาจอดตรงหน้า
เมื่อขึ้นมานั่งบนรถม้า ไคล์เดนตบเบาๆ บนตักของตน ทันทีที่ซีเอลขึ้นมานั่งบนตัก สองมือใหญ่ก็ประคองบั้นท้ายของทันที ยามรถม้าเคลื่อนตัวส่ายโคลงเคลง ร่างกายของทั้งสองก็ยิ่งแนบชิดสนิทสนม
“เสียใจหรือเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
“เรื่องอะไรครับ” ซีเอลเอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยความสงสัย
“เจ้าชายประกาศหมั้นกับคนอื่น”
ซีเอลขำพรืดทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยมีใจให้กับเจ้าชาย แล้วทำไมต้องรู้สึกเสียใจด้วย”
“นั่นสิ”
น้ำเสียงของไคล์เดนอบอุ่นขึ้นมา
จังหวะนั้นล้อรถม้าเหยียบเข้ากับหินจึงทำให้ส่ายโคลงไปโคลงมา ซีเอลที่นั่งคร่อมตักทรงตัวไม่อยู่ ยกสองแขนขึ้นมาคล้องรอบลำคอชายหนุ่ม บั้นท้ายก็ยิ่งแนบชิดเสียดสี
ร่างสูงใหญ่กำยำเกร็งจนแข็งทื่อ
ตอนนี้เอง ซีเอลถึงรู้ว่าส่วนลับใต้กางเกงของสามีกำลังตื่นตัว
“ที่รัก...?”
“ข้าอยากกอดเจ้า” เสียงทุ้มดังติดริมหู หนำซ้ำลมหายใจอุุ่นร้อนยังเป่ารดแก้มนวล
ซีเอลหน้าร้อนผ่าว ตอนอยู่ในงานเลี้ยง ไคล์เดนคงเก็บอาการไว้สุดฤทธิ์เลยสินะ...น่ารัก!
“เจ้าชอบพูดว่าข้าน่ารัก แต่สำหรับข้า...เจ้าต่างหากที่น่ารัก มีหลายครั้งที่ความน่ารักของเจ้าทำให้ข้าห้ามใจไม่ไหว”
คนเมามักจะพูดมากแบบนี้ทุกคนเลยหรือเปล่านะ ซีเอลคิด
ไคล์เดนไม่เพียงพูดเปล่า มือใหญ่ที่โอบเอวขยับลงมายังบั้นท้าย นิ้วเรียวแกร่งลูบไล้ขึ้นๆ ลงๆ ตรงร่องกลางระหว่างลำตัวของซีเอลโดยที่ยังมีกางเกงขวางกั้น
“เมาแล้วเหรอครับเนี่ย”
ไคล์เดนตอบรับว่า “อืม” อย่างซื่อตรง
ซีเอลหัวเราะน้อยๆ
ลมหายใจหนักหน่วงผสมกลิ่นไวน์พ่นออกจากจมูกโด่งสัน ไคล์เดนยื่นหน้าเข้ามาคลอเคลียกับซอกคอหอมกรุ่น
ซีเอลรู้สึกจักจี้จนเผลอส่งเสียงครางเบาๆ แพขนตาหนาหรี่ปรือ
“หอมจัง” ไคล์เดนกระซิบขณะซุกไซ้
ตอนนั้นเองรถม้าไหวโคลงเคลงอีกหน ซีเอลพลันตระหนักได้ว่าพวกเขาอยู่ข้างนอก เขาปรับลมหายให้เป็นปกติ พยายามสงบสติอารมณ์ลง
“ที่รัก รอให้ถึงคฤหาสน์ก่อน”
“อืม”
(ภาค 2)บทที่ 74บทพิเศษ หลายปีต่อมา ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า ณ พระที่นั่งอันสูงส่ง จักรพรรดิผู้งดงามที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิอันเดอร์นิซ นั่งเท้าคางมองอัศวินหนุ่มผมเงินก้าวยาวๆ ตรงเข้ามายังบัลลังก์ แทนที่จะหยุดยืนเบื้องล่าง อัศวินหนุ่มผมเงินกลับก้าวขึ้นบันได วินาทีที่จักรพรรดิไม่ทันได้ตั้งตัว เขาคนนั้นใช้แขนแข็งแรงทั้งสองข้างเท้าลงบนที่เท้าแขนบัลลังก์ อัศวินหนุ่มโน้มตัวลงต่ำ นัยน์ตาสีฟ้าลึกล้ำจับจ้องมองดวงหน้าอันละเอียดลออของจักรพรรดิในระยะประชิด ทั้งๆ ที่อัศวินหนุ่มกล้าทำถึงขนาดนั้น กลับไม่มีองครักษ์คนใดเข้าไปขัดขวางเลยสักคน จักรพรรดิคนงามยังคงเท้าคางเช่นเดิม ขณะช้อนดวงตาคู่สวยขึ้นมองอัศวินหนุ่มผมเงิน น้ำเสียงนุ่มนวลชวนหลงใหลพลันดังออกจากริมฝีปากสีแดง “คิดจะทำอะไร?” อัศวินหนุ่มยิ้มมุมปาก ดวงตามองแพขนตาหนาขยับไหวเหมือนกับปีกผีเสื้อ ทั้งยังทำท่าสูดกลิ่นอายอันหอมหวานจากเรือนกายของจักรพรรดิ “กำลังขอรางวัลจากฝ่าบาทยังไงล่ะครับ” ว่าจบ ริมฝีปากของชายหนุ่มก็ประกบ
(ภาค 2)บทที่ 73บทส่งท้าย (2) ชายหนุ่มพูดพร้อมกลืนกินของเหลวลงท้องทั้งหมด นิ้วที่อยู่ข้างในเพิ่มมาเป็นสามนิ้ว “อ๊ะ อ๊า!” ความร้อนหวนกลับมาอีกครั้ง ร่างบางบิดอย่างร้อนเร่าในขณะที่คาร์ริสขยายช่องทางเร้นลับต่อไป แต่แล้ว จู่ๆ คาร์ริสก็ดึงนิ้วทั้งสามออก “ขอโทษนะครับฟาฟา ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้วครับ” ฟาร์เลียสแยกแย้มเรียวขา สองมือยื่นมาข้างหน้า “...เช่นนั้น...ก็เข้ามา” อึก! คาร์ริสกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ นัยน์ตาสีฟ้าลึกล้ำหลุบมองช่องทางยับย่นที่แดงและบวมเล็กน้อย (อย่างกับดอกกุหลาบเลย) ฟาร์เลียสงดงามยวนใจไปเสียทุกส่วน สิ่งเหล่านั้นกระตุ้นอารมณ์ของคาร์ริสจนอดทนไม่ไหว มือหนึ่งแหวกน่องขาของคนใต้ร่าง มือหนึ่งจับส่วนแข็งขึงจดจ่อกับช่องทางเร้นลับ “ฮึก ฮ้า...” ความโอฬารแทรกเข้ามาในช่องทางคับแคบทีละนิด ร่างบางสั่นเทิ้มด้วยความซ่านเสียว น้ำตาคลอรื้นตรงหางตา ทั้งน่ารักทั้งน่าสงสาร แต่ว่า แม้จะเป็นเช่นนั้น หากผนังเนื้อด้านในก
(ภาค 2)บทที่ 72บทส่งท้าย (1) เพราะเป็นครั้งแรกกับคนที่ชอบ คาร์ริสทั้งประหม่าและตื่นเต้น ถ้าเผลอรุนแรงเกินไปจนทำให้ฟาร์เลียสเจ็บจะทำยังไงดี แล้วหากว่าฟาร์เลียสไม่ชอบลีลาของคนที่เด็กกว่าล่ะ...ว่าตามจริงแล้ว คาร์ริสไม่เคยมีประสบการณ์ทั้งในโลกนี้และโลกก่อนเสียด้วย! ตอนนั้นเอง สองมือเรียวยื่นมาประคองใบหน้า คาร์ริสได้สติก่อนจะหลุบตามองเจ้าของมือเรียว “ไม่ต้องฝืนก็ได้” ไม่ได้ฝืนสักหน่อย แต่ว่า ฟาร์เลียสคงเข้าใจผิด คิดว่าเขากำลังฝืนตัวเองอยู่แน่ๆ เลยทำหน้าหม่นหมองแบบนั้น คาร์ริสรู้สึกไม่สบายใจที่ทำให้คนรักเข้าใจผิด จนอยากต่อว่าตัวเองแรงๆ สักหลายครั้ง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาลังเล ตัวเองเป็นคนร้องขอเองแท้ๆ ยังจะมาทำให้อีกฝ่ายกังวลใจอีก “ขอโทษนะครับ ข้าเหม่อเพราะตื่นเต้น ก็ฟาฟาน่ารักขนาดนี้” ไม่เพียงพูดเปล่า คาร์ริสก้มหน้าลงจูบฟาร์เลียสทันที ลิ้นร้อนรุกล้ำเข้าไปในโพลงปาก เลาะตามแนวฟัน ดูดรัดกับลิ้นอ่อนนุ่มแสนหอมหวาน ร่างกายที่โหยหาคู่แห่งโชคชะตามานานแสนนาน พอถูกกระตุ้นนิดหน่อย
(ภาค 2)บทที่ 71ลงเอย ระหว่างที่คาร์ริสกับเอลม่ารักษาตัวพร้อมกับวันหยุดยาว ภายในวังหลวงได้มีการไต่สวนลอร์ดเซเฟอร์โน่ พยานสำคัญชาวเมืองของเคานต์เออร์นอร์และนักเวทที่รอดชีวิตจากการระเบิดครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม คดีของลอร์ดเซเฟอร์ปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว โดยลอร์ดเซเฟอร์โน่สารภาพความผิดเพื่อแลกกับชีวิตของคนในตระกูล เหตุผลหลักของการก่อคดีครั้งนี้ นอกจากมีความโลภเป็นแรงจูงใจ ยังมีความคิดล้าสมัย อ้างว่าทนไม่ได้หากอำนาจของจักรวรรดิต้องตกอยู่ในมือของเจ้าชายฟาร์เลียสที่เป็นโอเมก้า เลยทำให้จักรวรรดิเกิดความวุ่นวาย แน่นอน ลอร์ดเซเฟอร์โน่ถูกตัดสินโทษประหาร เคานต์เออร์นอร์ได้รับการปลอบขวัญตามสมควร คาร์ริสกับเอลม่าได้รับรางวัลด้วยการเลื่อนยศ จากคดีของลอร์ดเซเฟอร์โน่ จักรพรรดิได้คิดทบทวนถึงความไม่ผิดพลาดของตนเอง หลังจากหาลือกับเหล่าขุนนางอยู่หลายวัน ในที่สุดก็มีประกาศแต่งตั้งฟาร์เลียสเป็นรัชทายาท และทันทีที่มีการประกาศออกไป บทบาทของเจ้าชายอเล็กซีสก็ถูกลดทอนลง ฤดูกาลเคลื่อนผ่านย่างเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง
(ภาค 2) บทที่ 70สารภาพ (2) ย้อนกลับไปตอนเกิดการระเบิดพลีชีพอันรุนแรง คาร์ริสได้กลิ่นคล้ายกำมะถัน บวกกับที่ตนได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักจากป้าเจซซี่ ประสาทสัมผัสจึงว่องไวเหมือนสัตว์ป่า คาร์ริสตะโกนเตือนทุกคนให้หนี แล้วคว้าเอลม่าพุ่งออกมา แต่ระเบิดนั้นไม่ได้เกิดจากเวทมนตร์เพียงอย่างเดียว ระเบิดรุนแรงพร้อมกับเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ ป่านอกเมืองหนึ่งในสามส่วนถูกเผาไหม้จนวอด แรงอัดของระเบิดทำให้ทุกคนบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่คาร์ริสพกน้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับรักษาบาดแผลและอาการป่วยที่ฟาร์เลียสเคยให้ไว้ ชายหนุ่มดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์รักษาตัวเอง ก่อนจะป้อนให้กับเอลม่าที่เจ็บหนักไม่ต่างกัน บาดแผลตามร่างกายแม้ไม่ได้หายสนิท หากน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ช่วยยื้อชีวิตไว้ได้ ยูเทซ บุตรชายของเคานต์เออร์นอร์รีบระดมทหารมาดับไฟ ทั้งยังเร่งหาแพทย์มาช่วยรักษาคนเจ็บ กระนั้นก็มีคนที่ช่วยไว้ไม่ทัน คาร์ริสกับเอลม่าพักรักษาตัวอยู่ที่คฤหาสน์เคานต์เออร์นอร์เพียงแค่สองวัน ก่อนจะออกเดินทางกลับเมืองหลวง ‘จะกลับทันทีเลยเหรอ พวกเจ้าควรอยู่ร
(ภาค 2) บทที่ 69สารภาพ (1) น่าจะราวๆ หนึ่งเดือน นับตั้งแต่คาร์ริสออกไปทำภารกิจสำคัญที่อาณาเขตของเคานต์เออร์นอร์ แม้ว่าหลังจากนั้น อุณหภูมิที่ลดต่ำผิดฤดูกาลจะสงบลงแล้ว แต่ยังไม่เห็นวี่แววของคาร์ริสและเอลม่า หนำซ้ำ ช่วงนี้ยังเหมือนว่าหน่วยอัศวินจะวุ่นวายกันน่าดู พอเป็นแบบนี้ ฟาร์เลียสรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา ก่อนหน้านี้เคยให้มหาดเล็กประจำวังไปสอบถามที่หน่วยอัศวินอินทรีสีทอง ได้ความจากราฟาเอลว่า คาร์ริสกำลังทำหน้าที่ดาบแห่งราชา ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง แต่ว่า หนึ่งเดือนแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่มีข่าวอะไรบ้างเลย ระหว่างคิดด้วยความกังวล มหาดเล็กประจำวังก็ได้เข้ามารายงานกับฟาร์เลียส “เจ้าชายพ่ะย่ะค่ะ ท่านเอลม่าแห่งหน่วยอัศวินราชสีห์สีเงินกลับมาแล้ว แต่ดูจากสภาพเหมือนว่าจะบาดเจ็บหนักพ่ะย่ะค่” มหาดเล็กกล่าวจบก็ส่ายหน้า ท่าทางเช่นนั้นทำให้ฟาร์เลียสไม่สบายใจเป็นอย่างมาก “คาร์ริสล่ะ” ฟาร์เลียสโพลงถาม คาร์ริสกับเอลม่าออกไปทำภารกิจลับด้วยกัน หากว่าเอลม่ากลับมา คาร์ริสก็ต้องกลับมา