หลังจากที่เกิดเรื่องในครั้งนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงพรานป่าซ่งในทางที่ไม่ดีอีกต่อไป มีแต่เสียงร่ำลือว่าเป็นรูปงามยิ่งนัก ทำเอาสาวๆ ในหมู่บ้านอยากจะยลโฉมสักครั้ง หลายต่อหลายครั้ง ที่มักจะมีสาวชาวบ้านเดินผ่านบริเวณบ้าน เพื่อเข้าไปในป่า จากที่ชาวบ้านเดินอ้อมไปอีกทางก็เริ่มที่จะสัญจรทางนี้กันมากขึ้น
“พี่ว่าจะเข้าไปในป่า ไม่ได้ไปใส่กับดักหลายวันแล้ว” ช่วงหลายวันที่ผ่านมาซ่งเวยหลงได้แต่อยู่ในบ้านเป็นเพื่อนภรรยา เพราะมีช่างที่เป็นชายอยู่บริเวณบ้านนับสิบคน เขาเองก็ไม่วางใจที่จะทิ้งภรรยาไว้เพียงลำพัง
“ถ้าเช่นนั้นข้าไปด้วยนะเจ้าคะ อยากจะไปหาดูของป่ามาทำอาหารอยู่พอดี” เซี่ยซูมี่เริ่มสนิทสนมกับสามีมากขึ้น จะเรียกว่าความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นมากก็ว่าได้ เพราะเวลานอนพวกเขาไม่ได้เว้นที่ตรงกลางไว้อีกต่อไปแล้ว ต่างคนต่างนอนในท่าที่สบาย ไม่จำเป็นต้องระแวดระวังกันเองอีกต่อไป
“อืม ไปแค่บริเวณรอบนอกก็พอ” ซ่งเวยหลงพยักหน้าอนุญาต เพราะตนเองก็ไม่สามารถทิ้งภรรยาไว้ที่บ้านเพียงลำพัง
ยามเหม่าสองสามีภรรยาขึ้นเขาเพื่อหาของป่า ส่วนซ่งเวยหลงเตรียมเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์นั่นก็คือ ธนูและหน้าไม้ ไม่ได้คิดว่าจะล่าสัตว์ใหญ่ เพราะมีภรรยาเข้าไปในป่าด้วย เซี่ยซูมี่เก็บผักป่าที่พอจะรู้จักบ้าง ผักป่านี้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติทำให้พวกมันมีรสชาติอร่อยยิ่งนัก
ตอนนี้เซี่ยซูมี่กำลังตื่นตาตื่นใจกับผักหนาม ซึ่งมันขึ้นเยอะมาก หากเป็นในยุคของนางเองคงหากินได้ยากมาก ตามร้านอาหารจานหนึ่งไม่ต่ำกว่า 200-300 หยวน ได้ยินว่าขายกันกิโลกรัมละ 500-1000 หยวนกันเลยทีเดียว อาจจะเพราะว่าเริ่มหากินยาก จึงทำให้มีราคาแพง
“เจ้าเก็บผักนี้ไปทำอันใดกันเสียมากมาย” ซ่งเวยหลงสงสัย เพราะตอนนี้ภรรยาของเขากำลังเก็บผักหนามอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ท่านไม่รู้อะไร ผักชนิดนี้ใช่ว่าจะหากินกันได้ง่ายๆ” เซี่ยซูมี่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร จึงตีมึนพูดไม่รู้เรื่องไปเลยก็แล้วกัน
ทางด้านซ่งเวยหลงได้แต่ยืนงงกับคำพูดของภรรยา ผักหนามนี่น่ะหรือที่บอกว่าหากินยาก มันจะไปหายากอะไร ในเมื่อมองไปทางไหนก็เจอ อีกทั้งยังมีมากจนคนไม่ค่อยกินกันเสียด้วยซ้ำ
“ท่านพี่ ท่านพี่เจ้าคะ” เซี่ยซูมี่เผลอกระโดดดีใจ เพราะจู่ๆ ก็พบเข้ากับต้นอะโวคาโด ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่ามันมาได้อย่างไร ใช่แน่ๆ จำไม่ผิดอย่างแน่นอน
“น้องหญิง มีอันใดหรือ?” ซ่งเวยหลงรีบวิ่งไปทางเสียงเรียกของหญิงสาว อีกทั้งเผลอเรียกว่าน้องหญิง ทั้งๆ ที่มันเป็นคำพูดธรรมดาๆ ที่คนเป็นสามีภรรยาใช้เรียกกัน แต่เขาเองก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลา และในตอนนี้คิดว่าคงถึงเวลาที่เหมาะสม และสมควรที่จะเรียกนางอย่างที่ควรเรียกได้แล้ว
แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าหญิงสาวกำลังกระโดด เพื่อเก็บเจ้าผลเขียวๆ นั่น ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคือผลอะไร ไม่รู้ว่าสามารถกินได้หรือไม่ เคยได้ยินว่ามีคนเอามันไปทำอาหารมาก่อน แต่กลับไม่มีรสชาติอะไรเลยนอกจากจืดและฝาดเป็นบางลูก
“ท่านพี่ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าอยากได้ผลของมัน” เซี่ยซูมี่อ้อนราวกับเด็กน้อยที่เจอของถูกใจ มันย่อมถูกใจอย่างแน่นอน เพราะในยุคที่จากมาหญิงสาวกินมันเป็นประจำทุกวัน เนื่องจากว่าเป็นผลไม้ชั้นเยี่ยม มีไขมันดีที่ดีต่อสุขภาพอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“เจ้าจะเอาผลนี้ไปทำอันใด ไม่มีผู้ใดเขากินมันหรอก” ซ่งเวยหลงบอกกับภรรยาเสียงอ่อนนุ่ม เพราะท่าทางของนางตอนนี้ช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก บางครั้งตนก็รู้สึกเป็นพ่อของนางมากกว่าเป็นสามี เนื่องจากว่านางดูไร้เดียงสา ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับป่าใหญ่ผืนนี้ แต่หากเป็นการเจรจากับผู้คนด้วยกัน นางกลับฉลาดหลักแหลมอย่างหาที่จับได้ยาก
“ไม่มีคนกินใช่ว่าจะกินไม่ได้นี่เจ้าคะ ข้าจะทำให้ท่านพี่กินเอง แต่ตอนนี้ท่านช่วยข้าเก็บก่อนเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ไม่ยอมแพ้ อยากจะปีนขึ้นไปเก็บบนต้น แต่ติดที่ชุดไม่ค่อยเอื้อสักเท่าไหร่ หากดันทุรังปีนขึ้นไปมีหวังเหยียบชายผ้าตกลงมาเป็นแน่
“เฮ้อ…ถ้าเช่นนั้นเจ้าหลบมารอพี่ตรงนี้ก่อน พี่จะเก็บให้เจ้าเอง” ซ่งเวยหลงถอนหายใจอย่างจนปัญญา เนื่องจากว่าหญิงสาวไม่ยอมฟังคำเตือนจากตนเลย
จากนั้นก็เอื้อมมือขึ้นไปเก็บผลเขียวๆ ให้กับภรรยา โดยที่นางคอยบอกลักษณะของผลที่จะต้องเก็บและผลที่จะต้องปล่อยให้มันโตเต็มที่เสียก่อน คงต้องพูดคุยอย่างจริงจัง เพราะหากเก็บไปแล้วมันมีพิษจะทำอย่างไร
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่มองเข้าไปในตะกร้าที่สะพายหลังมาด้วย พบว่ามีผลอะโวคาโดอยู่ครึ่งตะกร้า คงต้องพอแค่นี้ก่อน เพราะยังต้องใส่อย่างอื่นด้วย
“อืม” ซ่งเวยหลงรู้สึกใจฟูเมื่อเห็นสายตาดีใจจนปิดไม่มิดของภรรยา ทำให้เขาต้องกลืนคำพูดที่จะสั่งห้ามนางไม่ให้ขนกลับไปบ้านลงคอไป
“ท่านพี่ลองชิมดูสิเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่บีบดูว่ามีลูกไหนที่สุกบ้าง พบว่ามีอยู่ 3-4 ลูกจึงใช้มีดสั้นที่พกติดตัวมาด้วยผ่าครึ่ง จากนั้นก็ลอกเปลือกของมันออกแล้วยื่นให้กับสามี
ซ่งเวยหลงกลับส่ายหัวปฏิเสธ พร้อมทั้งกำลังจะใช้มือแย่งผลเขียวๆ นั้นมาจากมือภรรยา กลายเป็นว่านางกลับยื่นเจ้าผลเขียวๆ นั้นป้อนเข้าปากของตนเอง เพราะเซี่ยซูมี่เข้าใจผิดคิดว่าชายหนุ่มต้องการให้ตนป้อน เมื่อเจ้าเขียวๆ นั้นเข้าไปในปากซ่งเวยหลงจำเป็นต้องเคียวมันลงคอ ระหว่างนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว พร้อมทั้งหลับตากลั้นใจกลืนลงไป แต่เมื่อลิ้นได้สัมผัสและรับรสชาติของมันจริงๆ กลับไม่ได้แย่อย่างที่คิด แม้ว่าจะไม่มีรสชาติอะไรเขากลับพบว่าความหอมและมันนั้นทำให้รู้สึกดีไม่น้อย
“เป็นอย่างไรบ้างหรือเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่ลุ้นไปกับสามีด้วย แม้ว่าจะขำกับท่าทางกล้ำกลืนฝืนทนของเขาที่กินเข้าไปก็ตาม
“ไม่แย่อย่างที่คิด” ซ่งเวยหลงพูด เดิมทีคิดว่ารสชาติจะแย่จนไม่สามารถกลืนลงไปได้ แต่เมื่อได้ลองกินดูแล้วกลับพบว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น
“ข้าบอกท่านแล้วว่ากินได้ รอให้ถึงบ้านก่อนข้าจะทำให้ท่านพี่กินเจ้าค่ะ หากมีน้ำผึ้งคงจะดีไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่กัดอะโวคาโดที่เหลือเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ บ่งบอกว่าชอบมันมาก
“หากเจ้าชอบก็เก็บไปมากหน่อยก็แล้วกัน” ซ่งเวยหลงทำท่าที่จะปีนขึ้นไปเก็บลูกบนต้น แต่กลับถูกเซี่ยซูมี่ห้ามเอาไว้ก่อน
“เท่านี้ก่อนเจ้าค่ะ เอาไปมากหากข้ากินคนเดียวก็คงไม่หมด เสียดายของเปล่าๆ” เซี่ยซูมี่พูดขึ้นอย่างน่าสงสาร ทำเอาคนตัวโตที่ได้ฟังใจอ่อนยวบ
“ใครบอกว่าเจ้าจะได้กินคนเดียว พี่เองก็ชอบเจ้าลูกเขียวๆ นี้ไม่น้อย เจ้ารอพี่ด้านล่างนี้เถิด พี่ปีนขึ้นไปเก็บไม่นาน” พูดจบซ่งเวยหลงก็ปีนขึ้นไปยังต้นอะโวคาโดอย่างชำนาญ จากที่ตั้งใจว่าจะมาล่าสัตว์กลับกลายเป็นต้องมาปีนต้นไม้เพื่อเก็บผลไม้ให้ภรรยาเสียนี่
นอกจากอะโวคาโดแล้ว เซี่ยซูมี่ยังตัดหน่อไม้ไปอีก 3-4 หน่อ ตั้งใจว่าจะชวนสามีมาตัดหน่อไม้สำหรับดองเค็มเก็บเอาไว้กินช่วงฤดูหนาว ใครบอกว่าหน้าหนาวผู้คนมักจะอดตาย แต่เท่าที่มองดูความอุดมสมบูรณ์ของป่าผืนนี้นั้น ยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้เก็บเอาไปทำกินอีกมาก อยู่ที่ว่าจะขยันกันหรือไม่เท่านั้น แต่แล้วจู่ๆ สามีก็หยุดเดิน อีกทั้งยังทำมือให้เซี่ยซูมี่หยุดเดินตามเขาอีกด้วย
“มีอะไรหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่ขมวดคิ้วสงสัยแล้วถามออกไป
“ชู่ว…พี่ได้ยินเสียงหมูป่า” ซ่งเวยหลงพูดเสียงเครียด หากมีเพียงเขาคนเดียวคงไม่หวั่นใจสักเท่าไหร่ แต่นี่มีภรรยาตามมาด้วยเกรงว่านางจะไม่ปลอดภัย สายตาก็คอยสอดส่องหาที่ปลอดภัยให้กับหญิงสาว จากนั้นก็ตัดสินใจอุ้มร่างหญิงสาวขึ้นไปนั่งบนต้นไม้
“ว้าย” เซี่ยซูมี่ไม่คิดว่าสามีจะทำแบบนี้จึงร้องออกไปสุดเสียง
“อย่าลงมา รอพี่จัดการกับเจ้าหมูป่าพยศนี่ก่อน” ซ่งเวยหลงสั่งเสียงเข้ม จากนั้นเขาก็วิ่งหาที่หลบซ่อนจากหมูป่าบ้าพลัง มันคล้ายหมูป่าที่กินยากล่อมประสาท ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร เซี่ยซูมี่เหงื่อแตกอยู่บนต้นไม้ ตอนนี้มือไม้สั่นไปหมด ไม่เคยเจอเหตุการณ์เสี่ยงตายเช่นนี้มาก่อน
ที่ต้องบอกว่าเป็นเหตุการณ์เสี่ยงตาย เนื่องจากว่ามันมีขนาดตัวที่ใหญ่เป็นอย่างมาก ใหญ่กว่าตัวที่สามีเคยเอาไปขายกับสหายอย่างอาจื่อเสียอีก แล้วเขาจะสู้กับเจ้าหมูป่าบ้าพลังนั้นได้อย่างไรกัน แต่แล้วลูกดอกของหน้าไม้สามีก็พุ่งเข้าไปที่ต้นคอของหมูป่า ทำให้มันล้มลงไปตรงใต้เท้าของเซี่ยซูมี่ที่อยู่บนต้นไม้ ยังไม่วายมีลูกดอกพุ่งมาอีกอัน เพื่อทำให้มั่นใจแก่คนยิงว่าเจ้าหมูป่าตัวนั้นได้สิ้นใจไปแล้ว
หลังจากที่หมูป่าล้มลงไป ซ่งเวยหลงก็ออกจากที่ซ่อนตัว จากนั้นก็เดินไปสำรวจเพื่อให้มั่นใจว่าหมูป่าจะไม่ลุกขึ้นมาทำร้ายพวกเขาได้อีก เมื่อเข้าไปใกล้และเห็นว่าหมูป่าสิ้นลมหายใจแล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้นไปหาภรรยา ตอนนี้ดวงตาของนางแดงก่ำทำเอาใจของเขาหล่นวูบรีบคว้าตัวหญิงสาวลงมาด้านล่าง
“ฮึก” เซี่ยซูมี่คล้ายว่าจะตกใจจนสติแตก เพราะไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เกิดมา 23 ปียังไม่เคยต้องลุ้นอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ต้องหนีหมูป่าดุร้ายนั่นอีก ไหนจะเป็นห่วงความปลอดภัยของสามีอีก จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรกัน
“ปลอดภัยแล้ว” ซ่งเวยหลงคว้าหญิงสาวเข้ามากอด หัวใจเขากระตุกเมื่อรู้ว่าหญิงสาวในอ้อมกอดร้องไห้ แม้จะไม่ใช่การร้องไห้ฟูมฟายมีเพียงสะอื้นเท่านั้นที่ไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้ ชายหนุ่มถือวิสาสะลูบหลังเพื่อปลอบโยน ในตอนที่เขาเด็กๆ ท่านพ่อมักจะปลอบโยนเช่นนี้ในคราที่ตนตกใจกลัวสัตว์ดุร้าย
หลังจากที่ตั้งสติและได้รับไออุ่นจากอ้อมกอดของชายหนุ่ม เซี่ยซูมี่เองเริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม ตนแค่ไม่ทันตั้งตัวเท่านั้น ในคราแรกสามีบอกว่าได้ยินเสียงของหมูป่า ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเร็วจนทำให้ไม่ทันตั้งตัว เพราะกิ่งไม้ที่ตนอยู่ก็ใช่ว่าจะอยู่สูงจนหมูป่ามองไม่เห็น หรือหากมันเห็นแล้วจะทำอะไรไม่ได้
หากถามว่าทำไมถึงไม่ปีนขึ้นสูงๆ คงต้องบอกว่าในตอนนั้นก้าวขาไม่ออกแล้ว ทำได้เพียงบังคับตัวเองไม่ให้สั่นและส่งเสียงออกไป พยายามที่จะหายใจให้เบาที่สุด และเมื่อรู้สึกว่าปลอดภัยแล้วจึงได้ปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมา
“พี่ขอโทษที่พาเจ้ามาเสี่ยงอันตราย” ซ่งเวยหลงโทษตัวเอง หากเขาไม่พานางมาด้วยคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“หากไม่มีท่านพี่อยู่ด้วยสิเจ้าคะยิ่งน่ากลัว ต่อไปนี้ท่านไปไหนต้องพาข้าไปด้วยนะเจ้าคะ อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว” เซี่ยซูมี่งอแงเป็นเด็ก คิดแต่เพียงว่าไม่อยู่ห่างจากชายแข็งแกร่งคนนี้เด็ดขาด
“พี่สัญญา” ซ่งเวยหลงผละออกจากอ้อมกอด จากนั้นก็ประทับริมฝีปากที่หน้าผากมนเบาๆ ทั้งสองคนสบสายตากันอย่างลึกซึ้ง ทั้งคำพูดและแววตาไม่สามารถหลอกกันได้ โดยเฉพาะแววตาที่หนักแน่นคู่นั้น
เซี่ยซูมี่แม้ว่าจะตกใจ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือผลักไส อีกทั้งยังหลับตาเพื่อรับสัมผัสที่อ่อนโยนนี้ รู้สึกอบอุ่นใจมากขึ้นกว่าเดิมมากเมื่อได้รับสัมผัสจากชายหนุ่ม
“ท่านพี่เจ้าคะ ข้าเจ็บท้องเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ปลุกสามีในช่วงกลางดึกของคืนฝนตกหนักคืนหนึ่ง วันนี้กลับไม่โชคดีเหมือนครั้งที่คลอดซ่งอี้เทียน เพราะยังไม่ถึงกำหนดคลอดทุกคนจึงยังไม่มีการเตรียมการใดๆ “เจ็บอย่างไร ทนได้หรือไม่” ซ่งเวยหลงรีบลุกขึ้นเพื่อดูอาการของภรรยา ไม่หลงเหลือความง่วงเลยสักนิด “ไม่ไหวเจ้าค่ะ ให้คนไปตามหมอตำแยให้น้องทีเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่เค้นเสียงออกมา แม้ว่าภายในใจจะไม่อยากพูดคุยอะไรไปมากกว่านี้เลยก็ตามทันทีที่ฟังภรรยาพูดจบ ซ่งเวยหลงก็ออกไปสั่งการสาวใช้ที่คอยรับใช้หน้าห้อง ให้ไปตามหมอตำแยมาโดยด่วน ฮูหยินซ่งกำลังจะคลอดลูกแล้ว สาวใช้ในเรือนรีบลุกเพื่อไปทำหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่มีอิดออด แม้จะสงสัยอยู่บ้างว่ายังไม่ครบกำหนดจะคลอดได้อย่างไร แต่ก็มีเสียงแตกหลายเสียง เนื่องจากว่าครรภ์ของฮูหยินนั้นใหญ่ผิดปกติหลังจากนั้นราวๆ 2 ชั่วยาม เซี่ยซูมี่ก็ได้ให้กำเนิดทายาทสกุลซ่ง แต่ที่น่ายินดีไปมากกว่านั้นคือเป็นแฝดชาย แม้ว่าจะคลอดก่อนกำหนด แต่แฝดทั้งสองก็สมบูรณ์แข็งแรงดี เมื่อแฝดทั้งสองคลอดฟ้าฝนกลับหยุดลง จากนั้นก็มีแสงใหม่ของอีกวันโผล่ขึ้น คล้ายจะบอกเป็น
3 ปีผ่านไป ซ่งอี้เทียนเริ่มโตขึ้นมาก อีกทั้งยังเป็นเด็กที่รู้มากอีกด้วย เซี่ยซูมี่สอนลูกชายอ่านเขียนตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยหวังว่าโตขึ้นไปในภายภาคหน้าเขาจะสามารถดูแลตัวเองได้ ส่วนกิจการของบ้านซ่งต้องบอกว่าขยายใหญ่โตมาก อีกทั้งยังสร้างโรงเตี๊ยมขึ้นมา เพื่อแข่งกับโรงเตี๊ยมเหอฟู่อีกด้วย โดยให้ชื่อโรงเตี๊ยมว่า หลงโถว เช่นเดียวกับร้านค้า ผู้คนในเมืองรวมไปถึงลูกค้าต่างเมือง ต่างรู้จักร้านหลงโถวนี้เป็นอย่างดีทางด้านคุณชายเหอได้ถูกทางการจับตัว เนื่องจากว่ามีคนมาร้องเรียนเรื่องที่ลูกสาวหายตัวไป หลังจากที่แต่งเข้าไปเป็นอนุ เมื่อมีคนมาร้องเรียนกับทางการ อีกหลายๆคนที่ได้ข่าวก็เริ่มมาร้องเรียนบ้าง เนื่องจากว่าเมื่อก่อนชาวบ้านต่างเกรงกลัวอำนาจและบารมีของสกุลเหอ อีกทั้งยังมีท่านเจ้าเมืองหนุนหลัง ทำให้ไม่มีใครแจ้งความเอาผิด แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อมีท่านรองแม่ทัพหยางเข้ามาประจำการในเมืองนี้ ทำให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงทางการได้ง่ายขึ้น“มีชาวบ้านเข้ามารองเรียนเรื่องคนหายไม่เว้นวัน” ท่านเจ้าเมืองถอนหายใจ ไม่คิดเลยว่าสหายที่เติบโตด้วยกันมาจะเป็นคนเช่นนี้ เดิมทีเหอฟู่ผู้นี้เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา
หลังจากที่ให้ลูกชายกินนม เซี่ยซูมี่จึงพาลูกชายออกมายังห้องโถง ซึ่งแม่บ้านเห่ยนำเตาขนาดเล็กมาวางไว้รอบๆ ห้อง เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับภายในบ้าน ทำให้บ้านไม่หนาวเย็นอย่างที่ควรจะเป็น “มาแล้วหรือหลานชายของป้า มาให้ป้าอุ้มให้หายคิดหน่อยหน่อยเถิด” เซี่ยซือมั่นเงยหน้าจากผ้าที่กำลังปักอยู่ จากนั้นก็ยื่นงานปักให้สาวใช้คนสนิททำต่อ ส่วนนางนั้นเอื้อมมือเพื่อที่จะไปอุ้มหลายชายเข้าสู่อ้อมกอดซ่งอี้เทียนเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความรักความเอ็นดูที่ท่านป้าหมาดๆของเขามีให้ ทารกน้อยอายุเพียง 1 เดือน จากตอนแรกที่อยู่ในอ้อมกอดมารดา จึงยอมให้ท่านป้าของเขาอุ้มเข้าไปกอดอย่างง่ายดายส่วนทางด้านท่านป้าที่เมื่อได้อุ้มหลานชายแล้วนั้น ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าหลานชายไม่ได้ผอมแห้งดังเช่นที่ตนนั้นกังวล แต่เขากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ทารกน้อยมีน้ำหนักหากจะพูดแล้วนั้น น่าจะหนักกว่าเด็กทั่วๆ ไปเสียด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าทารกที่กินเพียงน้ำนมของผู้เป็นแม่เพียงอย่างเดียวจะอุดมสมบูรณ์ได้ “เป็นไรไปหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่สังเกตเห็นสีหน้าฉงนของพี่สาวจึงอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้ “เสี่
1 เดือนผ่านไปเซี่ยซูมี่ออกจากการอยู่ไฟแล้วเรียบร้อย อีกทั้งวันนี้ยังมีแขกมาเยี่ยม ซ่งอี้เทียน นั่นก็คือท่านป้าและท่านลุงหยางหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือท่านรองแม่ทัพหยางนั่นเองกล่าวถึงเซี่ยซือมั่นเมื่อเข้าไปทำงานยังจวนของท่านรองแม่ทัพ ก็ได้มีโอกาสศึกษาดูใจกับรองแม่ทัพหนุ่มมากขึ้น ทำให้ทั้งสองคนมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน อีกทั้งหญิงสาวยังรับหน้าที่ในการทำอาหารขึ้นโต๊ะให้แก่เขาเองอีกด้วย คุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนั้นจะหนีจากฮูหยินใหญ่ของเขาไปได้อย่างไรกัน“หลานชายของป้า น่าตีท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้ายิ่งนัก หลานชายคลอดทั้งที กลับไม่ส่งข่าวคราวให้ป้าบ้างเลย” เซี่ยซือมั่นทำทีเป็นบ่นกับหลานชาย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพ่อกับแม่ของเจ้าก้อนกลมนั้นก็นั่งอยู่ด้วย “หิมะตกหนัก อีกทั้งข้าเองก็เพิ่งจะออกจากการอยู่ไฟ ป้าเห่ยไม่ยอมให้ข้าเห็นเดือนเห็นตะวันเลยล่ะเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่อดที่จะบ่นแม่บ้านของตัวเองไม่ได้ เพราะนางไม่ยอมให้ออกไปไหนเลยแม้ว่าจะอ้อนวอนมากเพียงใดก็ตาม เซี่ยซูมี่เป็นคนสะอาด จะยอมให้ผมตัวเองมันเยิ้มได้อย่างไรกัน นอกจากมันแล้วก็ยังรู้สึกคันหนังหัวแต่ไม่อยากสอดนิ้วมือเข้าไปเพราะหนังหัวช่
เซี่ยซูมี่ลืมตาตื่นในเช้าของอีกวัน คิดว่าตัวเองฝันไปหรือเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อใช้มือคลำสัมผัสที่หน้าท้องกลับพบว่ามันยุบลง ไม่ป่องเหมือนเมื่อวาน นอกจากนั้นแล้วในยามที่ขยับตัวก็รู้สึกเจ็บ อีกทั้งยังเหมือนได้ยินเสียงร้องงอแงของเด็กอีกด้วย “อือ” คุณแม่มือใหม่ส่งเสียงในลำคอ “ลูกพ่อ แม่ของลูกตื่นแล้ว” ซ่งเวยหลงตอนนี้กำลังอุ้มลูกชายอยู่สืบเนื่องจากเมื่อคืนที่ได้บอกกับหมอตำแยเอาไว้ว่าจะให้ลูกกินนมของภรรยาเป็นคนแรกนั้นต้องหยุดลง เนื่องจากว่าลูกชายร้องไห้งอแงในยามเช้าแต่ภรรยาเขากลับยังไม่ได้สติ ตนจึงจำเป็นต้องให้แม่นมที่เตรียมไว้สำหรับลูกชายทำหน้าที่แทนทารกน้อยราวกับว่ารับรู้และเข้าใจในสิ่งที่บิดาพูด ทันทีที่พูดถึงมารดาเขากลับเงียบเสียงลง คล้ายกำลังฟังเสียงการเคลื่อนไหวของมารดา แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเหมือนตอนที่อยู่ในท้อง เขากลับเริ่มเบะปากเตรียมที่จะร้องไห้อีกครั้ง “ท่านพี่ นะ น้ำเจ้าค่ะ น้องขอน้ำ” เซี่ยซูมี่รู้สึกลำคอแห้งผาก แม้ว่าอยากจะลุกขึ้นไปอุ้มลูกชายมากเพียงใด แต่ตอนนี้ตนต้องได้กินน้ำเพื่อให้ร่างกายมีแรงขึ้นมาก่อน “ฮูหยิน น้ำเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ไปส่งพี่สาวที่จวนของท่านรองแม่ทัพ เรียกได้ว่าหายห่วงไปได้มากทีเดียว เดิมทีเซี่ยซูมี่ตั้งใจจะพาพี่สาวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ให้สมกับตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ของจวนท่านรองแม่ทัพ แต่กลับถูกเจ้าของจวนขัดขึ้นเสียก่อน เนื่องจากว่าเขาได้ให้คนงานจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อไปถึงจวนก็ไปดูที่พักของพี่สาว คงต้องบอกว่าไม่เหมือนกับที่พักพิงของคนงานเลยสักนิด แม้จะบอกว่าไม่ได้ให้เข้าทำงานมาเป็นทาส หรือแม้กระทั่งยกตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ให้ ก็ยังดูไม่ใช่ที่พักของคนงานอยู่ดี แต่คล้ายว่าเป็นห้องนอนของแขกคนสำคัญมากกว่าเซี่ยซือมั่นได้แต่มองหน้าน้องสาวเพื่อขอความคิดเห็น แต่เซี่ยซูมี่กับเดินตัวติดกับสามี ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสายตาที่พี่สาวพยายามจะส่งมาให้ ได้เห็นการต้อนรับที่อบอุ่นเช่นนี้แล้วเซี่ยซูมี่เองก็เบาใจ “ท่านว่าพี่ชายของท่านจะจริงจังกับพี่สาวของข้ามากน้อยเพียงใดเจ้าคะ?” ระหว่างที่กลับบ้านป่า เซี่ยซูมี่ก็ชวนสามีพูดคุยเพื่อให้ไม่เหงาปากมากจนเกินไป “ชู่ว หยุดพูดจาส่งเดช มีคนตามมาส่งเราด้วย” ซ่งเวยหลงทำเสียงเป็นเชิงบอกให้ภรรยาหยุดพากพิงถึงบุคคลอื่น เนื่องจากว่าพี่ชายได้
“คารวะท่ารองแม่ทัพเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่และพี่สาวทำความเคารพรองแม่ทัพหนุ่มอีกครั้ง “ตามสบายเถิดน้องสะใภ้ ไม่ต้องมากพิธี” รองแม่ทัพกล่าวทักทายภรรยาของสหายอย่างเป็นกันเอง ทั้งๆที่ความเป็นจริงคือเขาเป็นคนที่ค่อนข้างระวังตัว ด้วยมีหน้าที่ที่ต้องถวายอารักขาความปลอดภัยให้แก่องค์ชายห้ามาตั้งแต่เด็กๆ “ท่านมาก็ดีแล้วขอรับ ข้าขอขอบคุณสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ด้วย” ซ่งเวยหลงเอ่ยขึ้น ช่วงที่ไปล่าสัตว์ด้วยกันเขาได้เรียนรู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับวิชาป้องกันตัว รองแม่ทัพหนุ่มเองก็ได้เรียนรู้วิชาเอาตัวรอดเมื่ออยู่ในป่าเช่นกัน ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันมาก “ไม่เป็นไร เรื่องของเจ้าก็เหมือนเรื่องขอข้า ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อจะมาทำเรื่องที่พูดเอาไว้ให้สำเร็จลุล่วง ซ่งเวยหลง เจ้าต้องการที่จะเป็นพี่น้องสาบานร่วมกับข้าหรือไม่?” รองแม่ทัพเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งจ้องมองหน้าสหายที่ตนเอ็นดูเหมือนน้องชายแท้ๆ “ไมตรีที่ท่านมอบให้ ข้าซ่งเวยหลงไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ อีกทั้งยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นพี่น้องกับท่าน” ซ่งเวยหลงไม่คิดปฏิเสธ เพราะเขาเองก็รับรู้ได้ถึงความเมตตาที่รองแม่
ทุกคนถูกจับตัวไปที่ศาลของท่านเจ้าเมืองเพื่อช่วยตัดสิน โดยท่านลุงไท่ร้องทุกข์แก่ท่านเจ้าเมืองทันทีที่ไปถึง รวมไปถึงเซี่ยซูมี่และซ่งเวยหลงเองก็ถูกควบคุมตัวมาในที่นี้ด้วย “จับตัวข้ามาด้วยเรื่องอันใดกัน ข้าจะกลับหมู่บ้านป่า” นางเซี่ยโวยวายในขณะที่ถูกจับกุมตัวมีเพียงซ่งเวยหลงและภรรยาเท่านั้นที่ไม่ถูกควบคุมตัวโดยทหาร หากจะบอกว่าทหารเหล่านั้นเกรงกลัวสายตาของซ่งเวยหลงที่จ้องมองในตอนที่กำลังจะไปคุมตัวคนท้องก็คงจะไปผิด ทหารผู้น้อยจึงทำได้เพียงผายมือเชิญทั้งสองคนไปยังศาล ซึ่งเซี่ยซูมี่ก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด “หุบปาก ต่อหน้าท่านเจ้าเมืองห้ามเสียมารยาท” ลูกน้องคนสนิทของท่านเจ้าเมืองเอ่ยขึ้นน้ำเสียงน่าเกรงขาม ทำให้ชาวบ้านที่ตามมาดูคำตัดสินต่างเงียบไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดออกมา หลังจากที่ท่านเจ้าเมืองเข้ามานั่งประจำตำแหน่งก็เริ่มทำการสอบสวน ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ร้องทุกข์นั่นก็คือท่านลุงไท่เป็นคนพูดก่อน “เซี่ยซือมั่น สิ่งที่ไท่หานพูดเป็นความจริงหรือไม่” ท่านเจ้าเมืองเริ่มทำการสอบสวน “ข้าน้อยเซี่ยซือมั่นคารวะท่านเจ้าเมือง สิ่งที่ท่านลุงไท่พูดเป็นความจริ
เซี่ยซือมั่นถูกบิดาจับข้อมือเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่มารดาตะโกนออกมาจนสุดเสียง ท่านลุงไท่เองก็ตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกกล่าวหาว่าคดโกง สมัยนี้เรื่องโกงต่างๆ ไม่ค่อยมีเกิดขึ้น ทุกคนอยู่ด้วยกันด้วยความซื่อสัตย์ รักเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองเป็นอย่างมาก “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ท่านลุงไท่มองตาเขียวรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก คนในเมืองรู้จักตนอยู่ไม่น้อย เพราะมีอาชีพรับของป่าจากหมู่บ้านต่างๆ มาขาย หากเรื่องนี้ถูกผู้คนเข้าใจผิด แล้วตนจะทำงานต่อไปอย่างไร “หมายความว่าที่ผ่านมาเจ้าคดโกงข้า วันนี้หากข้าไม่มารับเงินกับลูกสาวด้วยมือของข้าเอง ก็หารู้ไม่ว่าเจ้าโกงเงินข้าทุกเดือน เร่เข้ามา… มาดูคนหน้าด้านโกงได้แม้กระทั่งเงินอีแปะ” นางเซี่ยแผดเสียงออกไปเพื่อต้องการให้ทุกคนมามุงและสนใจ “นี่เจ้า….” ท่านลุงไท่ชี้หน้านางเซี่ยด้วยความโมโห จากนั้นก็หันไปสบตากับเซี่ยซือมั่น เพื่อต้องการให้นางพูดและอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ตนไม่เคยคิดที่จะเปิดดูถุงผ้านั้นว่ามีเงินอยู่จำนวนเท่าใด เพราะความสงสารหญิงสาวที่จากบ้านมาทำงานไกลถึงในเมือง อยู่กินตัวคนเดียวเป็นสาวเป