เซี่ยซูมี่ลืมตาขึ้นมาในสถานที่ไม่คุ้นเคย เพราะมันทั้งเหม็นอับ และสกปรก เธอเป็นคนสะอาดเกลียดที่สุดกับความสกปรก แต่ตอนนี้ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นั้นนับว่ายิ่งกว่าคำว่าสกปรก
“เสี่ยวมี่ เสี่ยวมี่ ตื่นหรือยังลูก อีกหน่อยจะถึงฤกษ์ส่งตัวลูกแล้วนะ” เซี่ยซูมี่ได้ยินคนมาเคาะห้อง
“ใครกัน” เซี่ยซูมี่ได้แต่นั่งและทบทวนกับตนเอง ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกดึงกระชากมาที่ไหน คงต้องบอกว่ากระชากเพราะหลังจากที่คำขอเสร็จสิ้น ก็เหมือนมีแรงโน้มถ่วงกระชากให้เข้ามายังที่แห่งนี้
“เสี่ยวมี่ แม่เข้าไปได้หรือไม่” ผู้ที่เรียกแทนตัวเองว่าแม่เอ่ยขึ้น
เซี่ยซูมี่เดินไปเปิดประตูให้กับคนข้างนอก จากนั้นก็ตาโตขึ้นมาทันที เพราะผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็คือแม่แท้ ๆ ที่ทิ้งไปตั้งแต่อายุ 14 นั่นเอง นี่เหตุการณ์มันจะเดจาวูอีกแล้วหรือนี่ แล้วคำขอนั้นเล่าทำไมถึงไม่เป็นผล
“ลูกตื่นแล้วหรือ ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาเถอะ จวนจะได้เวลาส่งตัวเจ้าสาวแล้วล่ะ” คนบ้านป่าไม่จำเป็นต้องมีพิธีมากมาย เพียงแค่มีสินสอดเล็ก ๆ น้อยพอเป็นน้ำใจ กราบไหว้ฟ้าดินรับรู้ว่าเป็นสามีภรรยากันก็เท่านั้น
“แต่งงาน” เซี่ยซูมี่ไม่ได้ล่วงรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับตนเองนับจากนี้ เมื่อมองไปภายในห้องก็พบกับห่อผ้าห่อหนึ่ง และมีถ้วยยาอยู่บนโต๊ะ ซึ่งตนเองก็ฟื้นขึ้นมาจากโต๊ะตัวนั้นเช่นเดียวกัน
“เสี่ยวมี่ ลูกอย่าได้โกรธเคืองท่านพ่อกับแม่เลย หมู่บ้านเรานับถือสัจจะเป็นสำคัญ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อีกอย่างสัญญานี้ท่านพ่อเจ้ากับแม่ก็มิได้เป็นคนตั้งมันขึ้นมา หากแต่เป็นท่านปู่กับท่านย่าของลูกที่เป็นหนี้บุญคุณตระกูลนั้น ลูกจะทำเพื่อตระกูลของเราได้หรือไม่”
เซี่ยซูมี่ยืนฟังคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ พูดพร่ำเรื่องบุญคุณ จากนั้นความจำต่าง ๆ ของร่างนี้ก็ค่อยๆ เข้ามาในหัว ซึ่งเจ้าของร่างเดิมนี้ชื่อ เซี่ยซูมี่ อายุ 15 ปี เป็นลูกคนที่สองของเซี่ยลู่หาน และนางไฉไห่เม่ย ซึ่งทั้งสองสามีภรรยาเป็นชาวนาในหมู่บ้านป่าตีนเขา มีลูกด้วยกันทั้งหมด 2 คน นั่นก็คือเซี่ยซือมั่น อายุ 17 ปี และอีกคนก็คือเซี่ยซูมี่ อายุ 15 ปี
เดิมทีคนที่จะต้องแต่งงานตามสัญญาจะต้องเป็น เซี่ยซือมั่น แต่เพราะหญิงสาวอาสาที่จะไปเป็นทาสให้กับเรือนเศรษฐี นางยอมไปเป็นทาสดีกว่าแต่งงานกับพรานป่าจนๆ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยม ไม่เช่นนั้นก็คงจะอยู่ตีนเขาล่าสัตว์ป่าดุร้ายเป็นอาชีพไม่ได้ ความโชคร้ายนี้จึงตกไปเป็นของ เซี่ยซูมี่ เพราะเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้าน
“หากข้าแต่งออกไปแล้ว ก็จะกลายเป็นสมบัติของชายผู้นั้น และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบ้านหลังนี้อีกใช่หรือไม่เจ้าคะ” เซี่ยซูมี่พูดขึ้น เพราะไม่อยากจะอยู่ร่วมชายคากับคนจิตใจอำมหิตนี้เช่นกัน แม้จะเป็นคนละชาติภพกัน แต่เชื่อว่าจิตใจก็ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่
“ลูกเข้าใจถูกต้องแล้วล่ะจ้ะ ผู้หญิงเราหากแต่งออกเรือนไปแล้วย่อมเป็นสมบัติของสามี จะคิดหวนกลับคืนมาบ้านเดิมไม่ได้เด็ดขาด แม่ไม่ได้อยากจะทิ้งขว้างลูก แต่มันเป็นธรรมเนียมที่นับถือติดต่อกันมา แม่ไม่สามารถที่จะปล่อยปละละเลยได้”
นางเซี่ยบอกกับลูกสาวคนเล็ก ตั้งแต่เล็กจนโตลูกสาวคนเล็กของนางก็มักจะเจ็บป่วยออดแอดๆ เงินทองที่หามาได้ก็หมดไปกับค่ารักษาจนหมด ดีแค่ไหนแล้วที่หาคนมารับช่วงต่อไปได้ ต่อไปนี้ก็นั่งรอเบี้ยหวัดที่ลูกสาวคนโตส่งมาให้ แม้ว่าจะเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่หากใช้จ่ายอย่างประหยัดก็พอจะประทังชีวิตไปได้อย่างสบายๆ
“ถ้าเช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะได้ไม่กลับมาที่นี่อีก หวังว่าคงจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญูหรอกนะเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่พูดย้ำขึ้น
เพราะเคยถูกตราหน้าว่าเป็นคนอกตัญญูมาแล้ว เนื่องจากว่าในวันเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ จู่ ๆ พ่อแม่ที่ห่างหายไปจากชีวิตเกือบ 10 ปี กลับโผล่มาร้องห่มร้องไห้ว่าตามหาเธอเจอแล้ว แต่พอไม่ยอมรับกลับตราหน้าว่าเป็นลูกอกตัญญู ทิ้งพ่อแม่ได้ลงคอ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนตนเป็นคนถูกทิ้งเสียด้วยซ้ำ
“ไม่หรอกจ้ะ ท่านพ่อกับแม่ไม่มีวันกล่าวหาลูกเช่นนั้นเด็ดขาด” นางเซี่ยรีบปัดมือเป็นพัลวัน ขอเพียงอย่ามาเบียดเบียนนางที่บ้านก็เป็นพอแล้ว
“รีบไปเถอะสายกว่านี้จะร้อน” นายเซี่ยตะโกนมาจากทางหน้าบ้าน เพราะเขารีบไปหาของป่ามาขาย ที่บอกว่าร้อนคือเขาหมายความว่าขึ้นเขาสายอากาศจะร้อนต่างหาก ไม่ได้กลัวว่าไปส่งลูกสาวแล้วจะร้อน
“รีบไปกันเถอะจ้ะ เดี๋ยวท่านพ่อของลูกจะโมโหเอาได้” นางเซี่ยรีบกระชากแขนลูกสาวให้เดินตามมาเร็วๆ เพราะต้องการให้เรื่องนี้จบโดยเร็วที่สุด
“ชักช้าลีลาอยู่ได้ อายุปูนนี้แล้วก็ต้องออกเรือนกันทั้งนั้น จะคิดมากไปไย แต่งงานไปแล้วก็ไปอยู่กับสามีให้มันหาเลี้ยง ไม่ใช่ซมซานกลับมาบ้าน แต่งออกไปแล้วก็เหมือนเป็นคนอื่น ไม่ใช่คนตระกูลนี้อีกเข้าใจหรือไม่?” นายเซี่ยถามลูกสาว เขาต้องการตกลงกับลูกสาวให้ชัดเจน เพราะตนเองก็เบื่ออาการเจ็บป่วยของลูกสาวเช่นกัน หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็ต้องเอาไปลงกับหม้อต้มยามาตลอด ไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากกับเขาเสียที ต่อไปนี้ตนและภรรยาจะได้ลืมตาอ้าปากเหมือนกับคนอื่นเขาบ้างก็เท่านั้น
เซี่ยซูมี่ไม่ได้พูดอะไรเมื่อเห็นหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ เพราะชายที่บ่นในตอนนี้ก็คือพ่อเมื่อชาติที่แล้วเช่นเดียวกัน มันช่างเป็นบุพเพสันนิวาสที่เล่นตลกกับความรู้สึกเสียจริง แม้จะบอกตัวเองว่าควรชินได้แล้ว แต่ใจเจ้ากรรมกลับรู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี ที่ถูกผลักไสให้ไปไกลๆ
ใช้เวลาเดินเท้าเพียงไม่นานก็มาถึงกระท่อมหลังหนึ่ง ที่ตกแต่งด้วยผ้าแดงที่บ่งบอกว่ามีงานมงคล ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อแซ่ของคนที่จะต้องแต่งงานด้วย อีกทั้งตัวเซี่ยซูมี่เองก็ไม่เคยมีความรัก วันๆ เอาแต่ทำงานจึงไม่รู้ว่าการใช้ชีวิตคู่นั้นเริ่มต้นอย่างไร หากไปไม่รอดก็คงต้องขอหย่า เพราะตนเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว
“มากันแล้วหรือ เชิญเข้ามาด้านในก่อน” แม่สื่อรีบเดินมาต้อนรับ เนื่องจากว่าชายหนุ่มไม่มีญาติที่ไหนเลย หลังจากที่คุณปู่ของเขาเสียชีวิต โชคดีที่พ่อเฒ่าซ่งฝากฝังเรื่องไว้กับแม่สื่อคนนี้ที่เป็นเพื่อนกันมาช้านาน
“ต้องขอโทษด้วยที่ให้รอนาน พอดีเจ้าสาวของเราตื่นเต้นไปหน่อยน่ะเจ้าค่ะ” นางเซี่ยพูดแก้ต่างให้
“ไม่เป็นไรๆ รีบเข้ามาทำพิธีกันเถอะ จะได้มาดูสินสอดด้วย” แม่สื่อโบกไม้โบกมือ เพราะทางฝ่ายเจ้าสาวไม่ได้มาช้า แต่ทว่ามาก่อนฤกษ์เสียด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องๆ แค่รับเสี่ยวมี่ของเราไปดูแลก็ดีมากแล้ว ลูกสาวคนเล็กของข้าคนนี้ไม่ค่อยแข็งแรง หวังว่าพ่อซ่งเวยหลงจะรักและดูแลนางให้ดีเหมือนที่ข้าดูแลก็พอใจแล้ว” นางเซี่ยพูดขึ้น ลำพังบ้านยังเป็นเพียงบ้านไม้ไผ่เท่านั้นแล้วจะมีปัญญาที่ไหนหาสินสอดมาให้ตนได้ อย่างมากก็คงจะไม่กี่อีแปะอย่างแน่นอน รับมาก็เป็นขี้ปากชาวบ้านเปล่าๆ
“อะเอ่อ เอาอย่างนั้นหรือ แหม..บ้านเซี่ยนี่ช่างใจกว้างดุจแม่น้ำเสียจริง ถ้าเช่นนั้นก็ยกเป็นสินเดิมแม่นางซูมี่ไปก็แล้วกันนะ” แม่สื่อพูดแก้สถานการณ์ อีกทั้งยังนึกเสียดายไม่น้อยที่สองผัวเมียไม่เอาเงินสินสอด นั่นมันเงินตั้ง 5 ตำลึงเงินเชียวนะ
“หมดธุระแล้ว พวกข้าคงต้องขอตัวก่อน ที่เหลือก็ฝากแม่สื่อด้วยก็แล้วกันนะเจ้าคะ” นางเซี่ยรีบจูงมือสามีออกไปจากบริเวณบ้านนั้นทันที เพราะนางเห็นหน้าตาของลูกเขยแล้วแทบจะเป็นลม หนวดเครายาวเฟื้อยไม่สมกับเป็นเจ้าบ่าวเลยสักนิด
“เฮ้อ...มาเถอะนังหนู ยายจะเป็นคนพาทำพิธีเอง” แม่สื่อส่ายหน้าเพราะพอจะเดาออกว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมคนถึงมองกันแค่ภายนอก ทั้ง ๆ ที่หลานชายของนางคนนี้นั้นเป็นคนดี เขาเตรียมงานด้วยตัวเอง มีอาหารจานเนื้อที่เขาเป็นคนล่าสัตว์ได้เสียมากมาย ดีกว่างานแต่งของเศรษฐีบางคนเสียอีก
“เจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่รับคำ นางเองก็พอจะรู้ว่าเหตุการณ์จะออกมาเช่นนี้ จึงไม่ได้รู้สึกตกใจหรือแปลกใจอะไร
ทั้งตัวเด็กสาวมีเพียงเสื้อผ้าติดมือมา 2 ชุดเท่านั้น ไม่ได้มีสินเดิมเหมือนเช่นควรจะเป็น นอกจากจะไม่ได้รับคำอวยพรจากพ่อแม่ในวันเข้าหอแล้ว ยังไม่มีญาติมาร่วมงานเลยสักคน ช่างเป็นงานแต่งงานที่น่าอนาถใจยิ่งนัก
แม่สื่อพาทั้งสองคนกราบไหว้ฟ้าดิน เพื่อเป็นสักขีพยานในการแต่งงานครั้งนี้ และได้ชื่อว่ามีสามีอย่างสมบูรณ์ แม้เพิ่งจะได้เห็นหน้าตาของเจ้าบ่าวหมาดๆ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะแย่ถึงเพียงนี้ เขามีรูปร่างสูงใหญ่ ผมยาวสลวยเหมือนถูกดูแลมาเป็นอย่างดี แต่ขัดใจตรงที่หนวดยาวรุงรัง คล้ายไม่ได้โกนมาเป็นสิบปี แล้วเขาทนอยู่ได้อย่างไรกัน นอกจากนั้นภายในบ้านก็สกปรกมาก เซี่ยซูมี่อยากจะร้องไห้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
“นี่เป็นสินสอดที่ทางพ่อเวยหลงเตรียมเอาไว้ให้ ในเมื่อพ่อกับแม่ของเจ้าไม่รับ ยายก็ขอยกมันให้เป็นสินเดิมของเจ้าก็แล้วกันนะ” แม่สื่อพูดขึ้นพร้อมทั้งยื่นถุงผ้าที่หนักอึ้งนั้นให้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่รับมาด้วยความเต็มใจ เพราะเธอไม่มีเงินติดตัวเลย อีกทั้งหากเดาไม่ผิดการพูดการจาเช่นนี้น่าจะเป็นยุคโบราณดึกดำบรรพ์อย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า ต่อให้มีเงินพันล้านหยวนก็ไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับยุคนี้
“หมดเรื่องแล้ว ยายขอตัวกลับก่อน ดูแลน้องให้ดีล่ะหลานเข้าใจหรือไม่” แม่สื่อหันไปหาเจ้าบ่าวที่นางเองก็รักและเอ็นดูเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง
“ขอรับ” ซ่งเวยหลงรับปากหนักแน่น พร้อมทั้งจ้องมองไปที่เจ้าสาวของเขา
หน้าตามอมแมมเช่นนี้น่ะหรือจะมาแต่งงาน เขาอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าเพื่อมาเตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงต้อนรับ แต่สิ่งที่ได้เห็นคือเจ้าสาวเนื้อตัวมอมแมมคนหนึ่ง ที่มีคราบน้ำตาติดอยู่ที่ใบหน้า อีกทั้งพ่อแม่ของนางก็ดูเหมือนอยากจะขับไล่ไสส่งลูกสาวเสียเต็มประดา แม้กระทั่งไม่อยู่รับน้ำชาจากพวกเขาเลยเสียด้วยซ้ำ
“ตามสบายเถอะ ข้าจะออกไปล่าสัตว์” ซ่งเวยหลงพูดขึ้น ในเมื่อไม่เต็มใจที่อยากจะแต่งก็ไม่จำเป็นที่จะต้องฝืนใจกัน เขาเองก็ไม่อยากจะแต่งอยู่แล้ว อยู่กันไปแบบนี้ก็แล้วกัน
“เจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่ขมวดคิ้วตั้งคำถาม คนพวกนี้เป็นอะไรกันไปหมด หากไม่เต็มใจแล้วจะแต่งงานกันตั้งแต่แรกทำไมกัน ทำไมถึงไม่ปฏิเสธไปเสียก็สิ้นเรื่อง เพราะเท่าที่ดูชายหนุ่มผู้นี้ก็คงไม่ได้พิศวาสตนสักเท่าไหร่
“สายแล้วข้าต้องออกไปล่าสัตว์ คืนนี้อาจจะไม่ได้กลับบ้าน เจ้านอนคนเดียวได้ใช่หรือไม่?” ซ่งเวยหลงพูดย้ำขึ้นอีกครั้ง
“ได้เจ้าคะ” คำถามปลายปิดเช่นนี้จะให้ตอบอย่างไรได้อีก ซึ่งความจริงแล้วนางก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ที่เป็นปัญหาในตอนนี้คือความสะอาดมากกว่า
หลังจากที่สามีในนามออกไปแล้ว เซี่ยซูมี่ก็เตรียมตัวทำความสะอาดบ้าน ถือวิสาสะในการเก็บกวาดบ้าน เพราะตัวเองก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เช่นกัน อาจจะเรียกมันว่ากระท่อมถึงจะถูก เซี่ยซูมี่ใช้เวลาทั้งวันในการทำความสะอาดให้ฝุ่นหายไป ซึ่งเมื่อทำความสะอาดแล้วมันก็ดูดีขึ้นมาพอสมควร
“ท่านพี่เจ้าคะ ข้าเจ็บท้องเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ปลุกสามีในช่วงกลางดึกของคืนฝนตกหนักคืนหนึ่ง วันนี้กลับไม่โชคดีเหมือนครั้งที่คลอดซ่งอี้เทียน เพราะยังไม่ถึงกำหนดคลอดทุกคนจึงยังไม่มีการเตรียมการใดๆ “เจ็บอย่างไร ทนได้หรือไม่” ซ่งเวยหลงรีบลุกขึ้นเพื่อดูอาการของภรรยา ไม่หลงเหลือความง่วงเลยสักนิด “ไม่ไหวเจ้าค่ะ ให้คนไปตามหมอตำแยให้น้องทีเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่เค้นเสียงออกมา แม้ว่าภายในใจจะไม่อยากพูดคุยอะไรไปมากกว่านี้เลยก็ตามทันทีที่ฟังภรรยาพูดจบ ซ่งเวยหลงก็ออกไปสั่งการสาวใช้ที่คอยรับใช้หน้าห้อง ให้ไปตามหมอตำแยมาโดยด่วน ฮูหยินซ่งกำลังจะคลอดลูกแล้ว สาวใช้ในเรือนรีบลุกเพื่อไปทำหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่มีอิดออด แม้จะสงสัยอยู่บ้างว่ายังไม่ครบกำหนดจะคลอดได้อย่างไร แต่ก็มีเสียงแตกหลายเสียง เนื่องจากว่าครรภ์ของฮูหยินนั้นใหญ่ผิดปกติหลังจากนั้นราวๆ 2 ชั่วยาม เซี่ยซูมี่ก็ได้ให้กำเนิดทายาทสกุลซ่ง แต่ที่น่ายินดีไปมากกว่านั้นคือเป็นแฝดชาย แม้ว่าจะคลอดก่อนกำหนด แต่แฝดทั้งสองก็สมบูรณ์แข็งแรงดี เมื่อแฝดทั้งสองคลอดฟ้าฝนกลับหยุดลง จากนั้นก็มีแสงใหม่ของอีกวันโผล่ขึ้น คล้ายจะบอกเป็น
3 ปีผ่านไป ซ่งอี้เทียนเริ่มโตขึ้นมาก อีกทั้งยังเป็นเด็กที่รู้มากอีกด้วย เซี่ยซูมี่สอนลูกชายอ่านเขียนตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยหวังว่าโตขึ้นไปในภายภาคหน้าเขาจะสามารถดูแลตัวเองได้ ส่วนกิจการของบ้านซ่งต้องบอกว่าขยายใหญ่โตมาก อีกทั้งยังสร้างโรงเตี๊ยมขึ้นมา เพื่อแข่งกับโรงเตี๊ยมเหอฟู่อีกด้วย โดยให้ชื่อโรงเตี๊ยมว่า หลงโถว เช่นเดียวกับร้านค้า ผู้คนในเมืองรวมไปถึงลูกค้าต่างเมือง ต่างรู้จักร้านหลงโถวนี้เป็นอย่างดีทางด้านคุณชายเหอได้ถูกทางการจับตัว เนื่องจากว่ามีคนมาร้องเรียนเรื่องที่ลูกสาวหายตัวไป หลังจากที่แต่งเข้าไปเป็นอนุ เมื่อมีคนมาร้องเรียนกับทางการ อีกหลายๆคนที่ได้ข่าวก็เริ่มมาร้องเรียนบ้าง เนื่องจากว่าเมื่อก่อนชาวบ้านต่างเกรงกลัวอำนาจและบารมีของสกุลเหอ อีกทั้งยังมีท่านเจ้าเมืองหนุนหลัง ทำให้ไม่มีใครแจ้งความเอาผิด แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อมีท่านรองแม่ทัพหยางเข้ามาประจำการในเมืองนี้ ทำให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงทางการได้ง่ายขึ้น“มีชาวบ้านเข้ามารองเรียนเรื่องคนหายไม่เว้นวัน” ท่านเจ้าเมืองถอนหายใจ ไม่คิดเลยว่าสหายที่เติบโตด้วยกันมาจะเป็นคนเช่นนี้ เดิมทีเหอฟู่ผู้นี้เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา
หลังจากที่ให้ลูกชายกินนม เซี่ยซูมี่จึงพาลูกชายออกมายังห้องโถง ซึ่งแม่บ้านเห่ยนำเตาขนาดเล็กมาวางไว้รอบๆ ห้อง เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับภายในบ้าน ทำให้บ้านไม่หนาวเย็นอย่างที่ควรจะเป็น “มาแล้วหรือหลานชายของป้า มาให้ป้าอุ้มให้หายคิดหน่อยหน่อยเถิด” เซี่ยซือมั่นเงยหน้าจากผ้าที่กำลังปักอยู่ จากนั้นก็ยื่นงานปักให้สาวใช้คนสนิททำต่อ ส่วนนางนั้นเอื้อมมือเพื่อที่จะไปอุ้มหลายชายเข้าสู่อ้อมกอดซ่งอี้เทียนเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความรักความเอ็นดูที่ท่านป้าหมาดๆของเขามีให้ ทารกน้อยอายุเพียง 1 เดือน จากตอนแรกที่อยู่ในอ้อมกอดมารดา จึงยอมให้ท่านป้าของเขาอุ้มเข้าไปกอดอย่างง่ายดายส่วนทางด้านท่านป้าที่เมื่อได้อุ้มหลานชายแล้วนั้น ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าหลานชายไม่ได้ผอมแห้งดังเช่นที่ตนนั้นกังวล แต่เขากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ทารกน้อยมีน้ำหนักหากจะพูดแล้วนั้น น่าจะหนักกว่าเด็กทั่วๆ ไปเสียด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าทารกที่กินเพียงน้ำนมของผู้เป็นแม่เพียงอย่างเดียวจะอุดมสมบูรณ์ได้ “เป็นไรไปหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่สังเกตเห็นสีหน้าฉงนของพี่สาวจึงอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้ “เสี่
1 เดือนผ่านไปเซี่ยซูมี่ออกจากการอยู่ไฟแล้วเรียบร้อย อีกทั้งวันนี้ยังมีแขกมาเยี่ยม ซ่งอี้เทียน นั่นก็คือท่านป้าและท่านลุงหยางหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือท่านรองแม่ทัพหยางนั่นเองกล่าวถึงเซี่ยซือมั่นเมื่อเข้าไปทำงานยังจวนของท่านรองแม่ทัพ ก็ได้มีโอกาสศึกษาดูใจกับรองแม่ทัพหนุ่มมากขึ้น ทำให้ทั้งสองคนมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน อีกทั้งหญิงสาวยังรับหน้าที่ในการทำอาหารขึ้นโต๊ะให้แก่เขาเองอีกด้วย คุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนั้นจะหนีจากฮูหยินใหญ่ของเขาไปได้อย่างไรกัน“หลานชายของป้า น่าตีท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้ายิ่งนัก หลานชายคลอดทั้งที กลับไม่ส่งข่าวคราวให้ป้าบ้างเลย” เซี่ยซือมั่นทำทีเป็นบ่นกับหลานชาย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพ่อกับแม่ของเจ้าก้อนกลมนั้นก็นั่งอยู่ด้วย “หิมะตกหนัก อีกทั้งข้าเองก็เพิ่งจะออกจากการอยู่ไฟ ป้าเห่ยไม่ยอมให้ข้าเห็นเดือนเห็นตะวันเลยล่ะเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่อดที่จะบ่นแม่บ้านของตัวเองไม่ได้ เพราะนางไม่ยอมให้ออกไปไหนเลยแม้ว่าจะอ้อนวอนมากเพียงใดก็ตาม เซี่ยซูมี่เป็นคนสะอาด จะยอมให้ผมตัวเองมันเยิ้มได้อย่างไรกัน นอกจากมันแล้วก็ยังรู้สึกคันหนังหัวแต่ไม่อยากสอดนิ้วมือเข้าไปเพราะหนังหัวช่
เซี่ยซูมี่ลืมตาตื่นในเช้าของอีกวัน คิดว่าตัวเองฝันไปหรือเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อใช้มือคลำสัมผัสที่หน้าท้องกลับพบว่ามันยุบลง ไม่ป่องเหมือนเมื่อวาน นอกจากนั้นแล้วในยามที่ขยับตัวก็รู้สึกเจ็บ อีกทั้งยังเหมือนได้ยินเสียงร้องงอแงของเด็กอีกด้วย “อือ” คุณแม่มือใหม่ส่งเสียงในลำคอ “ลูกพ่อ แม่ของลูกตื่นแล้ว” ซ่งเวยหลงตอนนี้กำลังอุ้มลูกชายอยู่สืบเนื่องจากเมื่อคืนที่ได้บอกกับหมอตำแยเอาไว้ว่าจะให้ลูกกินนมของภรรยาเป็นคนแรกนั้นต้องหยุดลง เนื่องจากว่าลูกชายร้องไห้งอแงในยามเช้าแต่ภรรยาเขากลับยังไม่ได้สติ ตนจึงจำเป็นต้องให้แม่นมที่เตรียมไว้สำหรับลูกชายทำหน้าที่แทนทารกน้อยราวกับว่ารับรู้และเข้าใจในสิ่งที่บิดาพูด ทันทีที่พูดถึงมารดาเขากลับเงียบเสียงลง คล้ายกำลังฟังเสียงการเคลื่อนไหวของมารดา แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเหมือนตอนที่อยู่ในท้อง เขากลับเริ่มเบะปากเตรียมที่จะร้องไห้อีกครั้ง “ท่านพี่ นะ น้ำเจ้าค่ะ น้องขอน้ำ” เซี่ยซูมี่รู้สึกลำคอแห้งผาก แม้ว่าอยากจะลุกขึ้นไปอุ้มลูกชายมากเพียงใด แต่ตอนนี้ตนต้องได้กินน้ำเพื่อให้ร่างกายมีแรงขึ้นมาก่อน “ฮูหยิน น้ำเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ไปส่งพี่สาวที่จวนของท่านรองแม่ทัพ เรียกได้ว่าหายห่วงไปได้มากทีเดียว เดิมทีเซี่ยซูมี่ตั้งใจจะพาพี่สาวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ให้สมกับตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ของจวนท่านรองแม่ทัพ แต่กลับถูกเจ้าของจวนขัดขึ้นเสียก่อน เนื่องจากว่าเขาได้ให้คนงานจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อไปถึงจวนก็ไปดูที่พักของพี่สาว คงต้องบอกว่าไม่เหมือนกับที่พักพิงของคนงานเลยสักนิด แม้จะบอกว่าไม่ได้ให้เข้าทำงานมาเป็นทาส หรือแม้กระทั่งยกตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ให้ ก็ยังดูไม่ใช่ที่พักของคนงานอยู่ดี แต่คล้ายว่าเป็นห้องนอนของแขกคนสำคัญมากกว่าเซี่ยซือมั่นได้แต่มองหน้าน้องสาวเพื่อขอความคิดเห็น แต่เซี่ยซูมี่กับเดินตัวติดกับสามี ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสายตาที่พี่สาวพยายามจะส่งมาให้ ได้เห็นการต้อนรับที่อบอุ่นเช่นนี้แล้วเซี่ยซูมี่เองก็เบาใจ “ท่านว่าพี่ชายของท่านจะจริงจังกับพี่สาวของข้ามากน้อยเพียงใดเจ้าคะ?” ระหว่างที่กลับบ้านป่า เซี่ยซูมี่ก็ชวนสามีพูดคุยเพื่อให้ไม่เหงาปากมากจนเกินไป “ชู่ว หยุดพูดจาส่งเดช มีคนตามมาส่งเราด้วย” ซ่งเวยหลงทำเสียงเป็นเชิงบอกให้ภรรยาหยุดพากพิงถึงบุคคลอื่น เนื่องจากว่าพี่ชายได้