บทที่ 1
ปีคริสต์ศักราช 20XX ภายในห้องชุดคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง เสื้อผ้ากระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น หญิงสาวรูปร่างเพรียวส่วนสูงราวกับนางแบบ ใบหน้าสวยหวาน ดวงตาสีดำกลมโต ริมฝีปากอิ่มเข้ากับรูปหน้า กำลังฮัมเพลงอย่างมีความสุขขณะที่เลือกหยิบเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก รอยยิ้มหวานปรากฏออกมาครั้นนึกถึงคำพูดของแฟนหนุ่มเมื่อสามวันก่อนที่ดังก้องในหัว ‘ที่รัก...เราแต่งงานกันนะ’ มิราวดีหยิบเสื้อผ้าขึ้นทาบตัวครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ยังไม่พอใจ วันนี้แฟนหนุ่มกำชับให้แต่งตัวสวยที่สุดด้วยแล้วยิ่งทำให้มั่นใจว่าจะต้องมีอะไรมาเซอร์ไพรส์อีกแน่นอน ดวงตากลมหันมองเสื้อผ้าหลายสิบชุดที่กองรวมอยู่บนเตียง หยิบยกขึ้นมาดูหลายทีโดยที่ยังตัดสินใจไม่ได้ พอได้ยินเสียงสั่นข้อความเข้าจึงเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นเปิดอ่าน รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าอย่างมีความสุข มองตัวอักษรบนจออย่างเขินอาย มิราวดีวางโทรศัพท์ก่อนหันไปเลือกชุดต่อเมื่อรู้ว่าเสียเวลาไปนานพอสมควร มือหยิบชุดขึ้นทาบมองตัวเองสะท้อนจากหน้ากระจก ก่อนตัดสินใจเลือกชุดเดรสสั้นเหนือเข่าเข้ากับสีผิวและสีผม เมื่อเลือกเสื้อผ้าที่จะสวมไปทานมื้อค่ำได้แล้ว หญิงสาวจึงรีบอาบน้ำออกมาแต่งหน้าทำผมใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงกว่า มิราวดีส่องมองตัวเองหน้ากระจกอีกครั้งด้วยความมั่นใจ หยิบกระเป๋าและสวมรองเท้าที่เข้ากับชุดเดินออกจากห้องไป ประตูห้องเปิดปิดอัตโนมัติผ่านลายนิ้วมือ เพราะยุคสมัยเปลี่ยนเทคโนโลยีความปลอดภัยจึงถูกปรับให้สะดวกสบายมากขึ้น มนุษย์แทบไม่ต้องทำอะไรเอง แม้จะเคยได้ยินคำบอกเล่าของย่าสมัยเด็กว่า เมื่อก่อนไม่ได้สะดวกสบายแบบนี้ “รอนานไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาหาแฟนหนุ่ม ณัฏฐ์ แฟนหนุ่มของมิราวดีละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมองพลางส่งยิ้มให้ เธอสังเกตสีหน้าของแฟนหนุ่มดูไม่ดีนักจึงถามขึ้นว่า “มีอะไรไม่สบายใจไหมคะ” “มะ...ไม่มีหรอก” ชายหนุ่มยิ้มกลบเกลื่อน พลางลุกขึ้นจากโซฟา “วันนี้คุณสวยมาก” หญิงสาวยิ้มเขิน เมื่อได้รับคำชมจากอีกฝ่าย “วันนี้มีอะไรเหรอ ทำไมถึงให้ฉันแต่งตัวสวย ๆ” “ก็ดินเนอร์น่ะ” ณัฏฐ์ตอบพลางยิ้มเจื่อน ๆ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ในใจก็วิตกจนแทบทำอะไรไม่ถูก ถึงกระนั้นก็ยังยิ้มสู้แล้วพูดเสียงหวานให้แฟนสาว “เราไปกันเถอะ เดี๋ยวจะหิวเอานะ” “ค่ะ” มิราวดีพยักหน้าเดินออกไปกับแฟนหนุ่ม เธอมีความสุขและไว้ใจเขามากที่สุด ณัฏฐ์คือคนเดียวที่คอยอยู่เคียงข้างเธอมาตลอดตั้งแต่พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน เปรียบเสมือนคนในครอบครัว ยิ่งมารู้ว่าเขาขอแต่งงานและพร้อมที่จะสร้างชีวิตเคียงคู่แล้ว ยิ่งทำให้มีความสุขราวกับว่าสวรรค์ไม่ได้ทอดทิ้งไปไหน เสียงดนตรีขับบรรเลงในยามค่ำคืนของร้านอาหารบนดาดฟ้าโรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางเมือง มิราวดีมองด้วยความตกใจและตื่นเต้นทันทีที่เดินเข้ามา ทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่มองจากตึกสูง แสงไฟบนถนน ดอกไม้ และเสียงเพลง รวมถึงกลิ่นหอมจากเทียนอ่อน ๆ ชวนผ่อนคลาย ณัฏฐ์เดินเข้ามาสวมกอดหญิงสาวจากทางด้านหลัง กระชับวงแขนแน่นพลางจุมพิตที่ไหล่มน “ชอบไหม” “ชอบค่ะ ชอบมาก” หญิงสาวปริ่มยิ้มอย่างสุขใจ ทุกครั้งที่เขาบอกว่าอยากให้เธอมีความสุข ก็ไม่เคยที่จะผิดหวัง ทั้งยังได้อยู่ในอ้อมกอดด้วยกันแบบนี้ก็ไม่มีสิ่งใดมาเทียบได้อีก “ฉันรักคุณนะคะ” เป็นคำพูดที่ไม่ต้องใช้เวลาไตร่ตรองให้นาน เธอพูดออกมาด้วยความรู้สึกยินดี “คุณหิวแล้ว เรามากินข้าวกันเถอะ” ณัฏฐ์เอ่ยพลางยกมือบอกให้บริกรเสิร์ฟอาหารที่สั่งไว้ เขาพาเธอมานั่งรับประทานอาหารมื้อค่ำที่จัดเตรียมไว้พิเศษ ทั้งเมนูโปรด เสียงเพลงและความเป็นส่วนตัว เธอตักอาหารเข้าปากพลางเหลือบมอง ก่อนวางช้อนส้อมลงเอื้อมมือ หยิบน้ำดื่ม “ขอบคุณมากนะคะ ความจริงแล้วให้ฉันทำอาหารกินด้วยกันก็ได้ค่ะ แค่ได้อยู่กับคุณก็พอ” “แต่วันนี้เป็นวันพิเศษนะ วันที่เราพบกันครั้งแรกไง ผมอยากให้คุณเซอร์ไพรส์” “ขอบคุณค่ะ เอ่อ...แล้วเรื่องงานแต่ง...” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลเพราะเกรงว่าการเตรียมจัดงานแต่งจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานที่กำลังก้าวหน้าของเขา ณัฏฐ์นิ่งเงียบไปสักพักแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เรื่องงานแต่งคุณไม่ต้องห่วง” “ค่ะ ฉันกลัวว่าคุณจะไม่มีเวลาก็เลย...” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกุมมือของหญิงสาวและเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ที่รัก ผมมีเวลาให้เสมอนะ ไม่ว่างานจะเยอะแค่ไหน ผมก็อยากให้วันแต่งงานของเราสองคนเป็นวันที่ดีที่สุด” พอได้ยินแฟนหนุ่มพูดยิ่งทำให้หัวใจของมิราวดีเต้นเร็วขึ้นไม่เป็นจังหวะ แก้มสองข้างร้อนผ่าว จนซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิด “ขอบคุณนะคะที่อยู่เคียงข้างฉันมาตลอด” “ผมยินดีและเต็มใจครับ” ชายหนุ่มพูดพลางตักอาหารเข้าปากเหลือบมองหญิงสาวที่ยิ้มเขิน ๆ ก่อนจะยกมือทำสัญญาณบอกให้บริกรนำช่อดอกไม้ใหญ่ที่จัดเตรียมไว้มา เมื่อดอกไม้ที่สั่งมาถึงแล้วเขาจึงลุกขึ้นรับดอกไม้แล้วเดินเข้ามาหาแฟนสาว ก่อนคุกเข่าลงข้างที่นั่งของเธอ มิราวดีตกใจรีบขยับตัวลุกออกทันที “ทำอะไรคะ ลุกขึ้นมาก่อนก็ได้ค่ะ” “ไม่ครับ” เขาก้มหน้าลงพลางสูดลมหายใจเข้าแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงสาว “ผมอยากมอบช่อดอกไม้นี้ให้คุณ ด้วยความจริงใจ ความรักที่ผม มีให้คุณ ไม่ใช่เรื่องโกหกหลอกลวง...” “คุณกำลังพูดเรื่องอะไรคะ ?” หญิงสาวงุนงง “ผมอยากขอโทษในสิ่งที่ผมทำผิดกับคุณ” ณัฏฐ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า “ผมอยากให้คุณอภัยให้...” “เดี๋ยวนะคะ คือฉันไม่เข้าใจค่ะ” เธอมองเขาพลางครุ่นคิด ในใจมีคำถามมากมายเกิดขึ้น ทำไมอยู่ ๆ แฟนหนุ่มจึงพูดออกมาแบบนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้จะมีปากเสียงหรือไม่พอใจกันบ้างแต่ไม่เคยทะเลาะให้เป็นเรื่องใหญ่โตเลย อีกทั้งมีแต่เธอที่จะโดนเขาดุด้วยซ้ำไป “คุณขอโทษทำไมคะ” “ผมก็แค่...” ชายหนุ่มลุกขึ้น “อยากให้เราลืมเรื่องที่เคยโกรธกัน และอยากให้คุณรู้ว่าไม่ว่าผมจะทำอะไรผิดพลาดไปในอนาคต แต่ผมก็ยังรักคุณเสมอไม่เคยเปลี่ยน ผมรักคุณ” คำพูดที่ออกมาจากใจ จากความรู้สึกที่ตัดสินใจยากนั้นทำให้ณัฏฐ์ต้องฝืนยิ้มมันออกมา เขาลังเลที่จะพูดความจริงแต่ก็ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว “ฉันให้อภัยเสมอ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรผิดร้ายแรงแค่ไหน” มิราวดีพูดด้วยความจริงใจ ยิ่งเห็นเขาทำแบบนี้แล้วกลับเป็นเธอที่รู้สึกผิดเข้าไปอีก “ฉันรักคุณมากค่ะ” ณัฏฐ์เดินเข้ามาหายื่นช่อดอกไม้ให้ “ดอกไม้แด่คนที่ผมรักครับ” “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอื้อมมือรับขณะที่เขาก้าวเข้ามาแล้วดึงเธอมากอด ใบหน้าสวยซุกเขินอายปนดีใจอยู่ที่อกแกร่ง คำบอกรักและคำขอโทษของเขาทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้หากสวรรค์จะเล่นตลกอะไรอีก ขอมีเพียงผู้ชายคนนี้อยู่เคียงข้างก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้ว มิราวดีหันไปมองแฟนหนุ่มเมื่อรถหยุดที่ข้างทาง ดวงตากลมมองด้วยความสงสัยและแปลกใจ เส้นทางที่ไม่คุ้นเคยไม่ใช่ทางที่เคยไปส่งกลับคอนโด ประจำ ทั้งยังดูเปลี่ยวและน่ากลัว ทว่าความไว้ใจที่มีต่อเขานั้นยังไม่ลดลง “ทำไมอยู่ ๆ ถึงมาที่นี่เหรอ” แม้ใจจะรู้สึกหวาดหวั่นตามสัญชาตญาณ แต่เธอก็พยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ ณัฏฐ์นิ่งแล้วหันมายิ้มให้เธอ “มีที่ที่อยากให้ดูน่ะ” หญิงสาวขมวดคิ้วมองด้วยความแปลกใจ เพราะวันนี้แฟนหนุ่มจะเซอร์ไพรส์เยอะมากเกินผิดวิสัย แต่ถึงกระนั้นความหวาดระแวงในใจก็ไม่ได้มีเพิ่มขึ้น “ที่ไหนเหรอคะ” ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบผ้าหนึ่งผืนขึ้นมา แล้วขยับตัวโน้มไปหาเพื่อปิดตา เขาไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนจนเธอยอมแต่โดยดี “ปิดเลยลงมาที่จมูกแล้วนะคะ” มิราวดีทักท้วงเมื่อผ้าที่ปิดตานั้น เกือบปิดทั้งใบหน้าจนหายใจไม่ออก ยิ่งพยายามใช้มือดันออกกลับยิ่งถูกดันปิดมาที่จมูกมากเท่านั้นราวกับว่าแฟนหนุ่มจงใจ แรงที่น้อยกว่าต้านทานไว้ไม่ได้ ซ้ำร่างกายกลับรู้สึกไม่มีแรงขึ้นมา มิราวดีรู้สึกหวาดกลัวแต่ก็ต่อต้านอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้ชายหนุ่มทำตามที่อยากทำจนกระทั่งสติของเธอเริ่มเบลอหายไปเช้าวันทำงานเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่มิราวดีรีบอาบน้ำตื่นแต่เช้าเพราะว่ามีประชุมที่สำนักงานใหญ่ของลูกค้า สองมือหยิบกระเป๋า รองเท้าเเละรีบเดินออกจากห้องด้วยความรีบเร่งกลัวว่าจะไปสายหลังจากนั่งประชุมสัมมนาไปเกือบครึ่งวัน ก็ต่างแยกย้ายกัน มิราวดีเลือกที่จะไปทักทายลูกค้าและแนะนำร้านอาหารเลี้ยงช่วงมื้อกลางวันก่อนกลับเข้ามาที่ออฟฟิศช่วงเย็น เพื่อสรุปรายงานที่ลูกค้าอีกร้านต้องการรวมถึงเซ็นเอกสารอนุมัติบางอย่างเเทนเจ้านายตามอำนาจที่ได้รับมอบหมาย“พี่คะ เจ้านายเรียกเข้าไปพบค่ะ” ศิตราพูดขณะวางเอกสารให้ “เอกสารนี้ส่งอีเมลให้แล้วนะคะ แต่ลูกค้าต้องการแฟ้มกระดาษที่มีลายเซ็นเจ้านายค่ะ ถ้าพี่ไปหาเจ้านายฝากไปด้วยนะคะ ลูกค้าขอวันพรุ่งนี้ค่ะ เดี๋ยวมินจะเข้าไปช่วงบ่ายไปพบเเละนำไปให้เลยทีเดียว”มิราวดีพยักหน้ารับพลางหยิบเอกสารเเละขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนหันไปพูดกับมิตรา“งาน XC0 - 024 สินค้าเข้าจากเมืองนอกแล้วใช่ไหม”“ยังค่ะ เห็นแจ้งว่าสินค้าจะถึงโกดังเราบ่ายวันพรุ่งนี้ค่ะ”“ถ้ามาถึงแล้วรีบจัดการส่งของให้ลูกค้าเลยน
มิราวดีพาชายหนุ่มมาเลี้ยงขอบคุณที่ร้านอาหารโปรดริมทาง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดฯ ที่เคยอาศัยอยู่ก่อนหน้า เธอชอบมากินหลังเลิกงานเป็นประจำ บรรยากาศร้านไม่อาจเทียบกับร้านหรู ๆ ราคาแพงได้ แต่รสชาติของอาหารนั้นอร่อยไม่แพ้กันเลย ผู้คนและพนักงานเงินเดือนก็นิยมมากินที่นี่หลังเลิกงานหรือซื้อกลับบ้านกันทั้งนั้น“อาหารที่สั่งได้แล้วจ้า”“ขอบคุณค่ะป้า”“แม่หนูเปลี่ยนแฟนใหม่แล้วเหรอ คนนี้หล่อนะเนี่ย”มิราวดีรีบส่ายหน้าและกำลังอ้าปากพูดปฏิเสธแต่ว่า...“ครับ ผมกับเธอเราเพิ่งจะคบกันน่ะครับ”“พ่อหนุ่มดูเป็นคนดี งั้นเดี๋ยวป้าแถมข้าวให้เยอะ ๆ เลยนะ”รชตยิ้มรับและไม่นานอาหารจานใหญ่ก็วางอยู่ตรงหน้า เขามีท่าทางทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยออกมารับประทานอาหารข้างทางเลยสักครั้ง“เป็นอะไรไปคะ?” มิราวดีเอ่ยถามพลางอมยิ้มกับท่าทางของเขา ดูท่าแล้วคงจะไม่เคยมากินอาหารร้านข้างทาง “คุณให้ฉันเป็นเจ้ามือเองนะคะ”ชายหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจ มือเอื้อมหยิบช้อนและส้อมวางที่จาน พลางจานอาหารตรงหน้า&ldq
ช่วงตอนบ่ายของวัน มิราวดีออกพบลูกค้าตอนบ่ายพร้อมกับลูกน้องที่รับผิดชอบดูแลลูกค้ากลุ่มนี้ เพื่อประชุมขอบเขตงานที่เป็นโครงการใหญ่และเงินทุนสูง แต่ทว่าก็ไม่ง่ายมากนักเพราะมีบริษัทคู่แข่งหลายที่พยายามจะแย่งงานนี้ให้ได้เหมือนกัน นอกจากความไว้วางใจที่ลูกค้ามีให้แก่ผลิตภัณฑ์แล้วยังต้องมีบริการหลังการขายที่ตอบโจทย์ความต้องการด้วยมันยากและน่าลำบากใจกับเงื่อนไข ทว่ายอดเงินที่ได้มานั้นเรียกว่าปิดยอดควอเตอร์หน้าได้อย่างสวยงาม กระทั่งการประชุมสิ้นสุดลงทุกคนก็ต่างทยอยเดินออกไป หญิงสาวมีแค่เพียงความหวังเล็กน้อยเพราะดูท่าแล้วคู่แข่งหลายบริษัทก็ต้องตัดราคาให้ได้งานนี้แน่นอน“พี่ไม่เข้าออฟฟิศแล้วนะ” มิราวดีหันมาบอกลูกน้อง“ให้มินไปส่งที่คอนโดฯ ไหมคะ”หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ต้องจ้ะ แยกกันตรงนี้เลยดีกว่า”“ค่ะ ถ้างั้นเดินทางดี ๆ นะคะ”“จ้ะ” มิราวดีขานรับก่อนจะแยกออกมารออยู่ที่ป้ายรอรถไฟฟ้าในยุคปัจจุบันเทคโนโลยีกำลังเฟื่องฟู สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ยังไม่มีรถไฟฟ้าบนดินที่ขับเคลื่อนตามเส้นทางแทนป้ายรถเมล์ทุกป้าย สะด
หลังจากที่ย้ายมา มิราวดีต้องตื่นเช้าไปทำงานเร็วกว่าปกติ เพราะระยะทางจากคอนโดฯ ที่นี่ห่างจากบริษัทมากพอตัว อีกทั้งเส้นทางจราจรที่ไปก็มีรถติดจนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทันทีที่นั่งลงที่เก้าอี้ทำงานก็หยิบแท่งสี่เหลี่ยมขนาดพอดีมือวางต่อกับไฟ ไม่ถึงหนึ่งนาทีภาพทุกอย่างก็ปรากฏขึ้นส่องเป็นแสงและภาพสะท้อนในสายตา เธอเข้าอ่านอีเมลที่ยังไม่ได้ตอบกลับหลายฉบับหญิงสาวที่เร่งตอบอีเมลฉบับอื่นจนเสร็จ เมื่อเห็นเมลใหม่จึงเปิดอ่าน ดวงตากลมกลอกมองและหันมองเวลาก่อนอ่านอีเมลอีกรอบ“เปลี่ยนผู้บริหารใหม่งั้นเหรอ”การที่ผู้บริหารใหม่ที่จะเข้ามาดูแลแผนกขาย แสดงว่าเรื่องที่พยามปิดบังไว้ได้ถึงหูของซีอีโอแล้ว“ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมานั่งระแวงว่าจะถูกลวนลามตอนไหน”มิราวดีถอนหายใจออกมา นับว่าเป็นโชคที่เธอทำผลงานได้ดีจึงไม่มีข้ออ้างมาให้ตาแก่หัวงูนั่นลวนลาม หรือแสดงท่าทีน่ารังเกียจใส่ แต่ทว่าพนักงานหญิงคนอื่นคงจะไม่ใช่ แน่นอนว่าคราวนี้ก็ต้องรอดูว่าผู้บริหารใหม่จะเป็นใคร แต่จะเป็นใครก็ช่างเพราะเธอแค่ทำงานให้ตามเป้าหมายก็พอเวลาล่วงเลยผ่านไปนานพอสมควร หญิงสาวที่นั่ง
มิราวดีทิ้งตัวนั่งลงที่ปลายเตียง คราวนี้เป็นอีกครั้งที่รอดมาได้เพราะเขาช่วยไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า แต่นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตาอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าก็ไม่ซะทีเดียวเพราะคำพูดของชายหนุ่มยังคงดังก้องอยู่ในหัวตลอดเวลา“แค่ช่วยเรา ทำไมต้องขอแต่งงานด้วย” นี่เป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจตั้งแต่กลับมาถึงห้อง เขามีพร้อมทุกอย่าง เงินและหน้าที่การงาน แล้วทำไมจึงต้องขอผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันเพียงสองครั้งแต่งงาน เธอไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกนี้จะมีรักแรกพบแล้วเป็นคู่แท้กันจริง ๆมิราวดีมีคิดไปไกลแต่สุดท้ายก็สลัดทุกอย่างออกจากหัวสมอง เธอเชื่อว่าวันข้างหน้าต้องพบเจอกันอีก และถึงตอนนั้นอาจมีเรื่องที่จะตอบแทนเขาได้แน่นอน ทว่าตอนนี้สิ่งที่ต้องใส่ใจมากที่สุดคือพวกนั้นยังคงตามล่าเธอและไม่หยุดเพียงเท่านี้ จะต้องทำอย่างไรคนเลว ๆ จึงจะออกไปจากชีวิตของเธอได้ความรู้สึกเสียใจจากการกระทำของแฟนหนุ่มหรือความผูกพันนั้นได้ลดจางลงไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงแต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจากคนเลว มิราวดีไม่เจ็บปวดไม่รู้สึกอาวรณ์อะไรมากมาย หรือเป็นเพราะไม่มีเวลาสนใจ เพราะต้องหาทางออกให้ชีวิตที่แทบไม่
กลิ่นหอมคล้ายเครื่องสมุนไพรในสปาลอยคุ้งไปทั่ว หญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงเริ่มรู้สึกตัวขยับตอบสนอง ความผ่อนคลายและสบายใจจนไม่อยากจะลุกลืมตาตื่นขึ้นมา กระทั่งสติดึงให้กลับเข้ามาสู่ความจริงจึงลืมตาโพล่งขึ้นด้วยความตื่นตระหนก แม้จะรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้างแต่ก็พยุงร่างกายให้ลุกขึ้นนั่ง มองภายในห้องและที่เตียงใหญ่ซึ่งเธอนั่งอยู่“ถ้าวันนี้คุณไม่ตื่นผมคงต้องส่งคุณที่โรงพยาบาลแล้วละ”เสียงของชายหนุ่มที่นั่งอยู่บริเวณโซฟาริมระเบียงเอ่ยขึ้นทำให้มิราวดีรีบหันไปมองด้วยความตกใจ“คุณเข้าห้องฉันมาได้ยังไงคะ”รชตปิดหนังสือแล้วเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวด้วยสายตาเรียบนิ่ง“ห้องคุณ”“ก็...ใช่ ไม่ใช่หรือคะ” เธอตอบเสียงแผ่วอย่างไม่มั่นใจมากนักแม้ภายในจะไม่ต่างกันแต่ก็มีความรู้สึกว่าอาจไม่ใช่ห้องที่เธอจองไว้ และในใจก็มีคำถามเกิดขึ้นว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ จำได้ว่าตอนนั้นถูกจับตัวไปแล้ว หรือว่า... “คุณช่วยฉันไว้ใช่ไหมคะ”“คุณควรพูดขอบคุณผมก่อนนะ”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางขยับตัวลุกขึ้นเดินเข