เสิ่นกงกงกงขอบคุณตนเองในใจที่ไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย ไม่เช่นนั้นต่อให้คิดจนหัวแทบแตกก็ไม่รู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไรกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น กระอักกระอ่วนใจเหลือคณานับ
อวี่เทียนเหมยชาไปทั่วทั้งตัว ความรู้สึกมากมายก่อเกิดในทุกขณะที่ได้ยิน เด่นชัดกว่าความรู้สึกใด คือความอับอาย
หากนางได้ยิน มีหรือคนอื่นจะไม่ได้ยิน กาไหนไม่เดือด คนย่อมหยิบกานั้น[1]ชั่วชีวิตของนางอยู่ภายใต้กระแสลมปากแหลมคม[2]มาโดยตลอด ถูกวิจารณ์เพิ่มเติมอีกสักเรื่องแม้จะเลวร้าย น่าอับอายอย่างไร แต่ก้นตัดสินหัว ขอเพียงตำแหน่งไท่จื่อเฟยนี้เป็นของนาง
เท้าก้าวขึ้นบันไดหยก[3]ไปแล้ว เขื่อนยาวพันลี้จะพังลงเพราะรังมดไม่ได้![4]
อวี่เทียนเหมยคิดได้ดังนั้น ใบหน้างามจึงเชิดขึ้นดังเดิม ค่ำคืนยาวนาน ความฝันยังอีกยาวไกล จะดีหรือร้ายอย่างไร มีเพียงก้าวต่อไป เพราะไม่อาจถอยกลับ เดินทางร้อยลี้ นับครึ่งที่เก้าสิบ [5]ยามนี้ทุกสิ่งที่อดทนพากเพียรมา กระพริบตาเพียงหนึ่งครั้งก็ผันผ่าน คนงามจึงหมายมาดในใจ ทุกวาจาที่ได้ยิน จดจำ และทำให้ดีขึ้น
.
“เจ้ากล่าวเช่นนี้ ไม่ใช่หมายความว่า ข้าต้องขึ้นสวรรค์ไปสู่ขอเทพธิดามาจากเง็กเซียนฮ่องเต้ให้เจ้าหรือ”โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ตรัสประชดพระโอรสของพระองค์เอง
อวี่เทียนเหมยดีถึงปานนี้ มีสิ่งใดกันให้ต้าอวี่คิดปฏิเสธ เหมยเหมยดีพร้อมทุกด้าน ตรงข้ามกับโม่เทียนอวี่ ต่อให้เป็นพระบิดา พระองค์ก็ทรงไร้คำใดจะอธิบายถึงพระโอรส ข้อดีมีมาก กระนั้นคำเรียกขานที่เขาว่ากันว่า พญามัจจุราชแห่งต้าเฉวียน ไม่ใช่ว่าชวนให้ผู้คนครั่นคร้ามหรอกหรือ
สวรรค์ลิขิตมาแล้ว โอรสสวรรค์จึงต้องสานต่อ ด้ายแดงผูกชะตาวาสนา หนุ่มสาวครองคู่ แปดในสิบส่วน โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ตั้งพระทัยเอาไว้ แม้จะทรงไม่ใช่ผู้เฒ่าจันทรา เยว่เซี่ยเหล่าเหริน [6]แต่ก็ถือพระองค์ว่าทรงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ก่อเกิดขึ้นได้
จะให้ล้มเลิกด้วยวาจาเดียวหาได้ไม่ แผนการนี้ถูกตั้งใจให้บ่มเพาะมานานนับสิบปี ทรงห่วงใยดรุณีน้อยนอกประตูมากกว่าพระโอรสที่อยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วยกัน อย่างไรโม่เทียนอวี่ไม่เสียหาย แต่เหมยเหมยเล่า...เด็กน้อยทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อการนี้ จะให้เสียเปล่าไม่ได้
“อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่ง” รับสั่งเป็นคำประกาศิต
“ฝ่าบาท หากกระหม่อมจะกราบทูลขอถอนหมั้น ทรงคิดเห็นเช่นไร” ถ้อยคำที่โต้ตอบกลับมาหาได้นำพากับรับสั่งอันเด็ดขาด
โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้พระพักตร์แดงก่ำ “หาได้อยากบังคับใจเจ้า เพียงแต่ว่าเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้ทำเช่นนั้น ไม่ได้…” ถอนหมั้นหรือ พระราชโองการประกาศออกไปได้สิบเจ็ดปี รับรู้ทั้งสวรรค์และนรกแล้ว
โม่เทียนอวี่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เห็นพระพักตร์ของเสด็จพ่อแล้วเขาก็ยินยอมไม่ขอสู้ต่อ กราบทูลไปว่า “แล้วกระหม่อมจะทำสิ่งใดได้”
ฮ่องเต้ต้าเฉวียนแย้มพระโอษฐ์ คิดว่าจะยาก แต่กลับยอมง่ายกว่าที่คิด เกือบจะสรวลด้วยความพอพระทัยอยู่แล้ว หากไม่ใช่ว่าประโยคที่ตามมาของเด็กดื้อน่าตายสายเลือดของพระองค์จะทำให้ทรงต้องนิ่งอึ้งอีกครั้ง “เพียงแต่ไม่ใช่ไท่จื่อเฟย”
พระพักตร์ดำคล้ำยิ่งกว่าเดิม “ไม่ใช่ไม่ได้” พระสุรเสียงหนักแน่น ข้อนี้อย่างไรก็ทรงไม่ยอมถอย
“เช่นนั้น กระหม่อมขอตัว” ไม่ชอบต่อความตามนิสัย เมื่อเจรจาไม่ได้ดั่งใจ โม่เทียนอวี่ก็ไม่คิดจะสนทนาต่อ
“โม่เทียนอวี่” พระสุรเสียงตวาดดังลั่น คู่สนทนาชะงักท่าที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพระองค์ เห็นแววตาของต้าอวี่แล้ว โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ก็ระงับโทสะได้เล็กน้อย ตรัสถามออกไปว่า “เหตุผล...คืออะไร ขอถามได้หรือไม่ เพราะเหตุใด”
“ไม่คู่ควร ไม่เหมาะสม” สองคำกับใบหน้าราบเรียบตอบกลับมา
ผู้เป็นใหญ่กว่าใครในแผ่นดินพระโอษฐ์อ้า คล้ายจะตรัสสิ่งใดออกมา ทว่าไร้เสียง ในที่สุดก็ทรงตรัสว่า “ตาของเจ้างอกทะลุขึ้นไปบนหัว[7]แล้วหรืออย่างไร” โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ตรัสแล้วก็ทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ต้าอวี่” ตรัสด้วยท่าทีลดความโกรธเคืองลงไปไม่น้อย มีพระประสงค์เกลี้ยกล่อมเป็นด่านแรก โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ตรัสต่อว่า “อวี่เทียนเหมย นางดีแท้ข้อนี้ไม่มีผู้ใดบังอาจสงสัย นับแต่นางถูกข้าหมั้นหมายให้เจ้า นางยังไม่ทันได้อยู่ในครรภ์มารดาเสียด้วยซ้ำ ความดีไม่ต้องพูดถึง ความงามอย่าบังอาจแตะต้อง สิ่งใดสตรีควรมี ใต้หล้านี้ หาได้ดีเทียบเท่านาง แล้วเจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร”
มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัย ใช่ว่าปรารถนาให้พวกเขาเคียงคู่กันรักมั่นดั่งนกยวนยาง ขอเพียงหงส์เคียงคู่มังกรอย่างสงบสุข ขอความเมตตาเล็กน้อยจากโม่เทียนอวี่ให้แก่อวี่เทียนเหมย
มันยากมากนักหรือ!
“แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร” พระองค์ไม่ตรัส โม่เทียนอวี่ก็ไม่พูด หากทรงไม่ริเริ่มการสนทนาก็ไม่พ้นไม่ได้ความ
“แปดเก้าไม่ห่างสิบ”[8]
‘ห่างมากทีเดียวเด็กโง่!’ ทรงเข้าพระทัยในความหมายของถ้อยคำ แต่จะให้ทำตามไม่ได้เด็ดขาด ไท่จื่อเฟยก็คือไท่จื่อเฟย ใช่ว่าเป็นสตรีขององค์รัชทายาทแล้วจะมีฐานะเทียบเท่ากันทุกตำแหน่ง!
ความจริงทรงไม่จำเป็นต้องถามเหตุผลเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พระราชโองการเดียว โม่เทียนอวี่ก็ไม่อาจขัดขืน อยากบังคับเหลือเกิน แต่บังคับไม่ได้ เพราะพระโอรสของพระองค์ โม่เทียนอวี่เป็นผู้กล้าตัดข้อมือ [9]เด็ดขาดไม่เกรงกลัว ตัดสินใจแล้วไม่พิจารณาซ้ำสอง
เอาเถิด…
มรรคาสามพัน สวรรค์ไม่ตัดหนทางมนุษย์ [10]โอกาสใช่ว่ามีหนเดียว อย่างไรเสีย...ก็ไม่มีคำปฏิเสธว่าจะไม่แต่ง ไม่ย่อท้อ ไม่หมดหวัง จึงจะสมหวัง
“เช่นนั้น หากข้าบังคับเจ้า...ประกาศพระราชโองการออกไป แจ้งคนทั้งต้าเฉวียนให้รู้ถึงกำหนดการงานแต่งงาน จะทำเช่นไร” รู้แจ้งแก่พระทัย กระนั้นยังทรงมีพระประสงค์ถามไถ่ โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้สรวลทันทีเมื่อได้รับคำตอบ
“กระหม่อมย่อมต้องยินยอม เพียงแต่ไม่ยินดี” โม่เทียนอวี่รับคำสั่งจากโอรสสวรรค์ พระบิดาของเขา สุดแท้แต่เสด็จพ่อจะบัญชา
[1] ทำในเรื่องไม่สมควรทำ พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด
[2] ถูกนินทา เป็นเป้าสายตา
[3] ก้าวเท้าสู่ราชสำนัก
[4] เรื่องใหญ่จะพังลงเพราะเรื่องเล็กไม่ได้
[5] อดทนมาจนใกล้ถึงเป้าหมายแล้ว ต้องอดทนและมีสติให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นจะเกิดความผิดพลาดไม่ประสบความสำเร็จตามความตั้งใจ
[6] 'ผู้เฒ่าจันทรา' ภาษาจีนเรียกว่า 'เย่ว์เซี่ยเหล่าเหริน' หรือเรียกสั้นๆ ว่า 'เย่ว์เหล่า' (月老) ว่ากันว่าเทพพ่อสื่อองค์นี้เป็นชายชรา ถือเชือกวิเศษสีแดงกับสมุดบันทึกเป็นของประจำตัว .
[7] หยิ่งยโส ถือดีจนมองไม่เห็นหัวของคนอื่น
[8] ใกล้เคียงกันมาก แทบไม่แตกต่าง
[9] ตัดสินใจเด็ดขาด
[10] สวรรค์ไม่ใจร้าย มีทางออกให้กับปัญหาเสมอ
เสียงถวายพระพรแก่ไท่จื่อเป็นภาพน่าดู ศีรษะที่ก้มลงเพราะถูกบังคับ ไหนเลยจะเทียบเท่ากับศีรษะที่ก้มลงด้วยความเต็มใจ ฮ่องเต้สองแคว้นใหญ่ทั้งหยางและปิง มองพระพักตร์กันในทันใด คนที่ในภายภาคหน้าจะได้ครองบัลลังก์มังกรแห่งต้าเฉวียน แม้ชื่อเสียงคือพญามัจจุราช แต่กลับมองขาดเรื่องการซื้อใจคน น่านับถือ! รอจนเหตุการณ์ทุกอย่างปกติ ประชาชนทุกคนลุกขึ้น จับจ้องยืนมองอย่างเต็มที่ ตั้งแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องให้ใครสั่ง เฉินอวี้รีบวิ่งมาหาสหาย ยังไม่ทันพูดก็ได้รับคำถามก่อน “เมื่อครู่นางมองดูข้าหรือไม่” เฉินอวี้กระพริบตามองคนสับปลับตรงหน้า ที่ชอบกล่าววาจาค่อนแคะว่าเขาเสแสร้ง พูดเอาดีเข้าตัวว่าตนไม่ชอบแสดงละคร ดูเอาเถิด…หวังจะได้ทั้งใจประชาชนและหญิงคนรักในคราวเดียว โลภมากไปหน่อย แต่ก็ทำได้ดีจริง ๆ “ไม่มีที่ติ” ตอบไม่ตรงคำถาม แต่เหมือนจะตอบได้ตรงใจ โม่เทียนอวี่ยักไหล่ มองไปหาสหายอีกคน สือหม่าซีซวนกำลังจ้องเขาอยู่เช่นกัน สายตาของโม่เทียนอวี่สั่งให้สื่อหม่าซีซวนพาหยางลู่อิงฮวาไปให้ไกล ๆ สหายทำตามคำสั่งทันที ส่วนอีกฝั่งทางก็สะดวก เพราะเฉินอวี้รู้ทันว่าเข
ให้เขาคาดเดาความชั่วของฝั่งตรงข้ามผิดบ้างได้หรือไม่ ไร้ข้อสงสัยต้องเป็นมู่ฮองเฮาหรือผู้เฒ่ามากเล่ห์แซ่มู่ที่ส่งมา ครั้งนี้คงหมดสิ้นคำกล่าวอ้าง จะส่งคนแอบติดตามมาก็ไม่ได้ เขาไม่เคยให้ใครติดตามนอกจากเจี้ยนฉางและถางจี้ เสด็จปู่เล็ก หยางลู่ซูจิ้งฮ่องเต้ ก็มีองครักษ์อยู่มากมาย พวกนั้นจึงส่งคนมาซึ่งหน้า คงจะอ้างว่าคุ้มกัน ทหารมาใหม่ดันฝูงชนที่มุงดูผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย ดันออกไปให้ห่างไกลไม่ไว้หน้า เด็กน้อยหรือคนแก่ชรา แม่ค้าพ่อค้าประชาชน ถูกกีดกันเหมือนไม่ใช่คน สมควรแล้วหรือ… ท้ายที่สุดแล้วสมควรหรือไม่สมควร คนทั้งหมดทั้งมวล ล้วนมองเขาไม่ดี คุ้มครองโม่เทียนอวี่ไท่จื่อ ภายในอย่างไรไม่รู้ ภายนอกทหารคุ้มกันพวกนี้คือคนของโม่เทียนอวี่ไท่จื่อ คนตระกูลมู่ปราดเปรื่อง หนึ่งส่งคนมาตามติดได้ สองทำลายชื่อเสียง พญามัจจุราชไม่ใช่ความหมายที่ดีนัก ลงมือหนึ่งครั้งคับคั่งผลลัพธ์ ยิ่งทหารคุ้มกันโหดร้าย โม่เทียนอวี่ไท่จื่อก็ยิ่งโหดร้าย เสียงก่นด่าดุดันขู่เข็ญตะคอกบอกว่าจะควักลูกตา ประทุษร้ายร่างกาย ขี่ม้ามาเร็วไวไม่ทันให้ตั้งตัว แขกต่างแคว้นต่างแดนล้วนแต่เป็นฮ่องเต้ ทำเช่น
“เขา...” อวี่เทียนเหมยทวนคำ เขาที่ตรัสนี้คือใครชวนให้สงสัย ใครจะพาอันฉินไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทถึงห้องบรรทมได้ มีไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาต “ก็ว่าที่สามีเจ้านั่นไง” ข้อสงสัยยังไม่กระจ่างแจ้ง หน้าต่างฝั่งทางนางก็ถูกเคาะเป็นจังหวะ อวี่เทียนเหมยไม่ได้เปิดม่าน รู้ว่าคนที่เคาะคืออวี่หลางซาน นางเอียงศีรษะตั้งท่ารอฟัง เสียงจากน้องชายดังเข้าหูบอกกล่าว “ไท่จื่อเสด็จมา พี่รองจะลงจากราชรถหรือไม่” ไท่จื่อ อีกแล้วหรือ.... องค์หญิงหยางลู่อิงฮวาครั้งนี้ก่อนกลับแคว้นหยาง ฮ่องเต้แคว้นหยางพระบิดาของนางเสด็จมารับกลับถึงที่ ต้าเฉวียนกับแคว้นหยางอย่าเอ่ยอ้างความสัมพันธ์ แนบแฟ้นแม่นมั่น เป็นที่รู้กันว่าองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของแคว้น เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง หยางลู่อิงฮวาคิดอย่างไรไม่รู้ บังคับขู่เข็ญเอาพระบิดามาอ้าง หาเรื่องเที่ยวชมเมือง มีแขกก็ต้องมีเจ้าบ้าน จะมีใครเหมาะสมมากกว่าโม่เทียนอวี่ ผ้าพันแผลยังไม่ถูกแกะ แต่องค์รัชทายาทเดินเหินไปทั่ว แน่นอนว่าถ้าโม่เทียนอวี่มา เฉินอวี้ขอลาไม่ได้ ต้องถูกบังคับมากกว่าใครคือสือหม่าซีซวน องค์หญิงแคว้นหยางเดินไม่ห่างแม่ทัพน้อยตระ
สาวน้อยน่ารักส่งยิ้มให้จนตาหยี อันฉินฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์ตามในทันใด สาวน้อยตอบว่า“อวี่ไฉฟงเพคะ” “มีพันธะใดหรือไม่” ตรัสถามพี่สาวของสาวน้อยก่อนจะทำสิ่งใดต่อไป ทอดพระเนตรเห็นอวี่เทียนเหมยส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม อันฉินฮ่องเต้ลิงโลดในพระทัยเหลือประมาณ อวี่เทียนเหมยเคยชินแล้วกับการเกี้ยวพาไม่เลือกหน้าของฝ่าบาทแคว้นปิง นางไม่ทัดทาน หาใช่เพราะไม่คัดค้าน ปล่อยให้อันฉินฮ่องเต้รู้ฤทธิ์ของน้องสาวนางเองดีกว่า ได้ยินอวี่ไฉฟงตอบคำถามของอันฉินฮ่องเต้แล้ว อวี่เทียนเหมยก็กลั้นยิ้ม “ไม่มีเพคะ” สาวน้อยเสียงใส พระทัยของฮ่องเต้แคว้นปิงสั่นไหว ตรัสถามด้วยความรีบร้อน “สนใจไปเที่ยวแคว้นปิงหรือไม่” “ฝ่าบาท...สามวันก่อนเกี้ยวพี่สาวหม่อมฉัน วันนี้มาเกี้ยวหม่อมฉัน ความจริงก็ค่อนข้าง...” อวี่ไฉฟงรอยยิ้มไม่คลายไปจากใบหน้า นางพูดต่อไปว่า “กล้าหาญจนน่าทึ่ง” ‘ว่าแล้วอย่างไรเล่า!’ คำชื่นชมที่แฝงเจตนาด่าทอว่าหน้าไม่อายนี้แยบยลแบบให้รู้ว่าด่า แต่เอาผิดไม่ได้ พี่สาวน้องสาวไม่ต่างกันจริง ๆ อันฉินฮ่องเต้สรวลดังลั่น ไม่ได้นึกโกรธเคืองแต่อย่างไร จริงใจต่อกันไว้จึงจะดี “ขึ้นมาเถิด” ภา
วันนี้หนาวมากกว่าทุกวัน หนาวจนต้องสวมเสื้อคลุมทับสองชั้น หิมะที่คาดการณ์ว่าจะตกเริ่มปรากฏเค้าลาง บริเวณโดยรอบมีบรรยากาศมืดมน เหลียวมองไปทางใดล้วนแต่น่าหดหู่ อย่างไรก็ตาม…นัดเอาไว้แล้ว ก็ต้องไป ผิวหนังช่วงอากาศเย็นไม่ว่าใครก็เป็น ค่อนข้างแห้งไร้ความชุ่มชื้น บำรุงดีเพียงใด ก็ยังทำให้หงุดหงิดใจยามจ้องมอง อวี่เทียนเหมยชโลมผิวด้วยน้ำมันจากดอกไม้ จนกลิ่นหอมลอยออกมานอกเสื้อคลุม มือทั้งสองข้างปลายนิ้วเย็นเฉียบ เย็นทั้งมือและเท้า เจียถิงยื่นมือมาจับคลำสำรวจอยู่ชั่วครู่ ก่อนสาวใช้จะรีบไปเอาถุงมือกับถุงเท้ามาใส่ให้ อวี่เทียนเหมยจึงค่อยรู้สึกอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย มีเพียงเจียถิงและซูผิงรู้เรื่องราวทั้งหมด ว่าอวี่เทียนเหมยไปทำอะไรมา สาวใช้ทั้งสองน้ำตาเอ่อคลอ ในวันที่นางเดินออกจากตำหนักบูรพาพร้อมด้วยเลือดเต็มหน้า อวี่เทียนเหมยสั่งกำชับเข้ม ห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้ ก้าวเท้าเข้าตำหนักบูรพา ปากกล่าววาจาล่วงเกินเจ้าของตำหนัก ไม่แตกต่างจากการรนหาที่ตาย เป็นเรื่องใหญ่ซึ่งรู้ถึงหูผู้ใด ต้องถูกตำหนิอย่างไม่มีข้อยกเว้น ทำลงไปแล้วมาคิดทบทวนย้อนหลัง อวี่เทียนเหมยพบว่าเรื่องราวทั้งหลายไม
เรียบร้อยเสร็จสิ้น ม้วนกระดาษไม่รอให้หมึกแห้งถูกส่งคืน ราวกับว่าคนเขียนไม่อยากให้อยู่ในสายตา เฉินอวี้รับม้วนกระดาษมามองสำรวจรอบแรก หน้าที่ต่อไปเป็นของตนเอง คนแซ่เฉินยิ้มอย่างน่าชัง เมื่อเห็นว่าตำแหน่งฮองเฮายังไม่เปลี่ยนแปลง ว่าจะไม่พูดแล้วแต่อดไม่ได้ เยาะเย้ยถากถางเล็กน้อยเพื่อความสะใจส่วนตัว “ถามนางแล้วหรือไม่ เหมือนจะได้ยินมาว่ายินยอมแต่ไม่ยินดี” โม่เทียนอวี่ใบหน้าเรียบตึง ได้ยินแล้วถามไปเพื่ออะไร หากไม่ใช่เพราะหมายว่าจะกวนโทสะ ‘ช่างหัวเฉินอวี้เถิด’ สนใจเพียงแค่สิ่งที่ควรจะสนใจก็พอ สาบานว่าต่อให้เหมยเอ๋อร์จะปฏิเสธเขาอีกกี่พันครั้ง เขาก็ไม่พร้อมรับฟัง! “นั่งฟังมาตั้งนาน ขอถามได้หรือไม่” ทุกคนในห้องต่างพากันหันไปมองสือหม่าซีซวนที่ยกมือขึ้นมาตั้งท่าถาม “นางที่ว่านี้คือใคร” เหมือนจะรู้เรื่องแต่แท้จริงแล้วไม่รู้เรื่อง เฉินอวี้ธุระตนเสร็จเรียบร้อย เขาปัดเสื้อผ้าหันหน้าออกทางประตู ไม่มีคำพูดใด เดินผ่านสือหม่าซีซวนไปโดยไม่หันมองเสียเลยด้วยซ้ำ พูดคุยมาตั้งนาน นั่งฟังไม่ส่งเสียง สวรรค์โหดร้าย ให้ความสามารถแก่สหายของเขามามากมาย แต่กลับลืมให้สมอง…สือหม่าซีซวนไม่เข้าใจตั