/ รักโบราณ / หงส์เหนือพันธการ / บทที่ ๒/๑ ไร้ประโยชน์

공유

บทที่ ๒/๑ ไร้ประโยชน์

작가: KUNNUK
last update 최신 업데이트: 2025-05-10 08:13:20

     อวี่คือแซ่ อักษรเหมยท้ายชื่อมาจากวันที่นางเกิดนั้นมีดอกเหมยบานสะพรั่งทั่วแผ่นดิน อักษรตัวสำคัญคือคำว่าเทียน ไหนเลยจะมาจากผู้อื่น เป็นเขาผู้นั้น องค์รัชทายาทโม่เทียนอวี่ อักษรเทียนนี้ ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่นาง พร้อมพระราชโองการระบุสัญญาหมั้นหมายที่มาเยือนถึงหน้าจวนตระกูลอวี่

     สัญญาหมั้นหมายแตกต่างอย่างไรกับการผูกมัด ใคร ๆ ก็ว่าเป็นเรื่องมงคลยิ่ง มงคลอย่างไรกัน...แตกต่างจากพันธการอย่างไรหรือ อักษรเทียนกลางชื่อของอวี่เทียนเหมย ก็เป็นดังรับสั่งจากสวรรค์ ให้นางยึดเขาเป็นศูนย์กลางของชีวิต

     โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ ‘ชีวิตของหม่อมฉันไม่เคยได้ใช้เพื่อตนเอง ล้วนแต่เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น’ ไม่ชอบไม่ว่า ไม่เคยปรารถนาให้รัก...แต่มาหยามเกียรตินางต่อหน้าผู้คนมากมาย ไม่ละอายใจบ้างหรือ ตัวเป็นบุรุษกลับรังแกสตรีด้วยวาจา เขาอายุนับปีนี้ได้ยี่สิบสองปี มากกว่านางถึงห้าปี

     เด็กน้อยอายุห้าปี...อ่านตำรารู้ภาษาคนแล้ว ตรงข้ามกับนางซึ่งยังเป็นทารกน้อยนอนอยู่ในห่อผ้า

     หากไม่ยินดี เหตุใดจึงไม่ปฏิเสธด้วยตนเองตั้งแต่ยามนั้น ปล่อยเวลาล่วงเลยผันผ่าน จนถอยหลังกลับไม่ได้เพื่อสิ่งใด!

     องค์รัชทายาทโม่เทียนอวี่ พญามัจจุราชแห่งต้าเฉวียน สมยานามนี้ได้มาเพราะความโหดเหี้ยม กล่าวกันว่า...เขาฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา เขาไปอยู่สนามรบตั้งแต่อายุหกขวบท่ามกลางสมรภูมิเดือด กลับวังหลวงครั้งแรกเมื่อเจ็ดวันที่แล้ว

     แม้จะถูกเรียกขานว่าเป็นพญามัจจุราช เขากลับเป็นที่รักของประชาชนคนในแคว้นต้าเฉวียน เพราะทุกหัวที่เขาตัด....ล้วนเป็นหัวของข้าศึกศัตรู

     สิบหกปีที่เขาอยู่สนามรบ อวี่เทียนเหมยแม้จะเป็นสตรี แต่นางเข้าใจดียิ่ง สนามรบหาใช่วังหลวงหรือสรวงสวรรค์ ไม่น่าอภิรมย์เลยแม้แต่น้อย

     เพราะเข้าใจ จึงไม่ได้คาดหวัง ในหนึ่งวันเขาอยู่กับดาบมากกว่าคน พบหน้าคนยามมีศึก ฝ่ายเดียวกันละเว้น ฝ่ายตรงข้ามเข่นฆ่า ไม่ได้ปรารถนาให้เขาต้องใจในตัวนางแต่ยามแรกพบเจอ

     ทว่า…ไม่คิดเลย จะกล่าววาจาทำร้ายใจกันรุนแรงได้ถึงเพียงนี้

     อวี่เทียนเหมยคิดว่าตนเองเข้าใจไม่ผิด ทั้งเขาและฝ่าบาท มีหรือจะไม่รับรู้ว่านางยืนอยู่ด้านนอกประตูกับเสิ่นกงกง

     ฝ่าบาทอวี่เทียนเหมยคาดเดาพระทัยได้ ทรงอยากให้นางได้ยินทุกคำของเขา เขาคิดเห็นเช่นไร นางจะได้รับรู้ หากเขาชื่นชม ทรงตรัสบอกนางได้ แต่หากเขาไม่ชอบใจ...จะให้ผู้เป็นใหญ่แสร้งทำเสมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ไม่ได้ ไม่บอกก็ไม่ได้ บอกก็ไม่ได้

     ส่วนเขา เจตนาแจ่มแจ้งอยากให้นางรู้สำนึกตน

     ไม่เหมาะสม ไม่คู่ควร เขาจึงยินยอม ทว่าไม่ขอยินดี  

     เคยเห็นหน้าเขาเพียงแค่ในภาพวาด ไม่คาดหวังให้เขารักนางมากมาย รู้ว่าคุณสมบัติของเขาทำให้สตรีทั้งหลายหมายปอง เขาจึงลำพองตนเช่นนี้เขาเก่งรอบด้าน ไร้เทียมทานเหนือใครเทียบเคียง บู๊หรือบุ๊นล้วนมีผลงานประจักษ์ชัดเป็นพยาน เรื่องราวของเขาถูกบอกเล่ากล่อมเกลาเป็นคำสั่ง ให้รับรู้ว่าต้องประพฤติตนดีพร้อมเพื่อคู่ควรจะเคียงคู่

     เรียกได้ว่าทั้งชีวิตของนาง อวี่เทียนเหมยใช้เพื่อเขา...เพื่อเขาเท่านั้นหาใช่คนอื่น...พันธะซึ่งผูกกันไว้ ต่างก็ควรเห็นใจกันไม่ใช่หรือ ใต้หล้านี้มีผู้ใดไม่รับรู้บ้าง นางเป็นและต้องเป็นของเขาเพียงผู้เดียว

     แบกอักษรคำว่าเทียนในชื่อ มากกว่าแบกชื่อเสียงของตระกูลเสียอีก !

     ขุนเขาไม่เปลี่ยนตามนาง นางจึงต้องเปลี่ยนตามขุนเขา ไม่ตามใจตนแต่ตามใจเขา คาดไม่ถึงว่าเขาจะขว้างแผ่นเหล็กมาให้นางเตะถูกเสียได้[1]

     หากไม่ชื่นชอบนาง ถึงขั้นเกลียดชังรังเกียจ แล้วเหตุใดจึงไม่ปฏิเสธ เขาย่อมรู้...ต้องรู้อยู่แล้วว่านางคือคู่หมั้น ฝ่าบาททรงรักใคร่เขามากเพียงใด ใต้หล้ารับรู้ หากเขาไม่ปรารถนา มีหรือฝ่าบาทจะกล้าขัดใจ

     สิบเจ็ดปียาวนานเสียจนอวี่เทียนเหมยล่วงเลยพลาดผ่านการแต่งงานครั้งแรกตามช่วงอายุ หากเขาไม่มีความตั้งใจว่าจะแต่งกับนาง พูดออกมาเลยเสียดีกว่า ไม่ใช่พูดก่อนพบหน้าไม่ถึงสองเค่อ[2]

     อวี่เทียนเหมยเข้าใจ รักหามีได้ในวังหลวง เพราะรักคือจุดอ่อน!

     ต้องผูกผมร่วมกันอย่างไม่มีข้อยกเว้น ยามฮ่องเต้ตรัสถามว่านางจะตามเขามาหรือกลับจวน ผิวเผินเป็นเพียงคำถาม แท้จริงแล้วเป็นรับสั่งให้ทำตาม

     ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง ปฏิเสธครึ่ง ๆ กลาง ๆ ให้นางคลางใจในตนเอง ไม่ใช่เรื่องดีเลย นางถอยไม่ได้แล้ว หรือต่อให้ถอยได้ ชีวิตต่อไปในภายภาคหน้านางจะทำอย่างไร บุรุษใดจะกล้ามาสู่ขอนางต่อจากเขา คงไม่พ้นต้องไปบวชชีเข้าอารามเป็นแน่! เห็นทีคนจะได้ขำกันทั่วใต้หล้า อีกร้อยปีก็ไม่กล้าสู้หน้าผู้คน

     ทั้งหมดนี้ที่ทำ ทุกความพยายาม ถามว่านางรักเขาหรือก็ไม่ใช่ จะรักได้อย่างไร แม้แต่หน้าก็ไม่เคยเห็น!

     ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ทำตามก็ไม่ได้ ผู้น้อยอย่างนาง มีหรือจะกล้าขวางทางมังกร มีแต่ต้องเดินตามคำสั่ง หัวไปทางไหน หางไปทางนั้น !

     จำเป็นต้องเป็นไท่จื่อเฟยหรือไม่ จำเป็นอย่างยิ่ง! หากไม่ใช่ไท่จื่อเฟย แล้วนางจะอดทนเพื่อสิ่งใดกันเล่า หากนางไร้วาสนา แล้วโชคชะตาให้ความหวังแก่นางกับครอบครัวเพื่อสิ่งใด!

     รับรู้ทั่วกันทั้งต้าเฉวียน บุตรีคนรองของจวนตระกูลอวี่ คือว่าที่ไท่จื่อเฟย ตัดผลกระทบของนางออกไป ผลกระทบต่อคนในครอบครัวก็ยังเหลืออยู่ หน้าที่การงานของน้องชาย คู่ชีวิตของน้องสาว บ่าวรับใช้ในจวน ชีวิตพวกเขาจะดีหรือร้าย ล้วนอยู่กับนาง บิดามารดานับวันแก่เฒ่า ซ้ำยังไร้ตระกูลหนุนหลัง ขึ้นหลังเสือแล้ว รู้ดีว่าหากทรงตัวไม่ได้จนตกลงไปจะมีบาดแผลใหญ่เจ็บเจียนตาย คำครหามากมายพุ่งเป้าหมายเข้ามาถาโถมใส่ เจ็บที่สุดไม่ใช่ใครแต่เป็นตัวของนาง...

     พี่ชายของนาง อวี่เหวิน พี่ใหญ่เขาแต่งเข้าวังหลวงเป็นราชบุตรเขย นับแต่วันแต่งงานของเขา ทุกคนในจวนตระกูลอวี่ กระทำสิ่งใดก็ตาม ห้าในสิบส่วน ต้องไว้หน้าเขา พี่ใหญ่เปลี่ยนไปตามที่อยู่อาศัย จวนตระกูลอวี่เลี้ยงเขามา แต่ห้ามทำให้เขาอับอาย พี่ใหญ่ไม่ใช่คนตระกูลอวี่แต่แรก เป็นลูกบุญธรรมของท่านพ่อท่านแม่ เลี้ยงตัวได้แต่เลี้ยงใจไม่ได้ อวี่เหวินผู้ควรจะเป็นที่พึ่งให้น้อง ๆ ไม่มีแล้ว

     วันหน้าบิดาลาจาก ใครจะเป็นที่พึ่งให้ทุกคน หากไม่ใช่นาง...ตำแหน่งไท่จื่อเฟยจะช่วยให้จวนตระกูลอวี่ดำรงคงอยู่ได้ อวี่เทียนเหมยนึกถึงหน้าบิดามารดายามนางเดินตามพญามัจจุราช นางเหนื่อยหอบ หายใจรัวเร็ว รู้สึกร้อนทั้งที่ฝนยังตกลงมาไม่ขาดสาย เป้าหมายของนางยิ่งนางเดินช้า เขายิ่งเดินห่าง เขาเดินก้าวเดียวเทียบเท่านางเดินสามก้าว

     ใครเห็นเข้าคงได้หัวร่อ ขบขันว่านางวิ่งตามบุรุษไม่อายฟ้าดิน!

     ทางเดินทอดยาวออกไปไกลเหมือนไร้จุดสิ้นสุด ไท่จื่อนั้นราวกับว่าเขาเหาะได้ แม้มองจากที่ไกล ๆ อวี่เทียนเหมยยังต้องนึกชื่นชมในใจ เขาดูสง่างาม

     เขาสวมใส่อาภรณ์สีดำสนิททั่วทั้งตัว ดูจากเสื้อผ้าก็บ่งบอกแล้วว่าเขาเป็นนรกหรือสวรรค์ นางและเขากระทั่งเครื่องแต่งกายยังเลือกสวนทางกัน เขาเกล้าผมขึ้นสูงรวบตึง ไม่ปล่อยให้ผมหลุดรุ่ยไม่ถูกมัดแม้เพียงหนึ่งเส้น เครื่องประดับเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือกวานไท่จื่อบนศีรษะ ไอดำแผ่เย็นยามเขาเดินผ่าน ทำให้ต้องขนลุกทั้งสรรพางค์กาย เขาดูเย็นชา เรียบง่าย สง่างามราวกับไม่อาจเอื้อม

     ใบหน้าของเขา…อวี่เทียนเหมยหยุดชะงักฝีเท้า แก้มสองข้างร้อนผ่าว รู้สึกมวนที่บริเวณท้องเล็กน้อย เมื่อนึกไปถึงแผลเป็นบริเวณใต้ตาด้านซ้ายของไท่จื่อ ใบหน้าที่มีตำหนิน่าดูนั่น ผนวกรวมเข้ากับแววตาคมเข้มดุดันสีดำสนิท ไม่ว่าใครก็ไม่ลืม

     อธิบายโดยง่าย ไท่จื่อเป็นบุรุษรูปงาม ผิวขาว รูปร่างสูงโปร่ง มีความทรงพลังอันแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันตรายที่เย้ายวนใจ มากด้วยอิทธิฤทธิ์ในการปั่นหัวสตรีทั้งใต้หล้าให้ชวนฝัน เสน่ห์ลึกลับน่ากลัวคงจะทำให้หัวหมุนโดยง่าย ยินยอมเต็มใจอยู่ในห้วงความฝันต่อไป แม้ว่าจะเป็นฝันร้าย

     เห็นเขาแค่ชั่วกระพริบตา นางยังติดตราตรึงใจ พญามัจจุราช สมแล้วที่เป็นฉายา มองไปทางใดก็ไร้ความขาวสว่าง เห็นเพียงความดำมืดที่ขับเน้นให้เห็นว่าเขาหล่อเหลา กับบุรุษเขาฆ่าตัดหัว แต่กับนางเขาฆ่าโดยใช้วาจาให้ตัดใจ

     รู้ว่าอันตราย แต่ยังวิ่งตามอยู่ได้ คนงามกระพริบตาเรียกสติ นางต้องตามเขามาเพราะหน้าที่ไม่ใช่เพราะใบหน้าของเขา!

     พูดคุยกับเขาให้ได้ถือเป็นหน้าที่ หากสมหวังดังตั้งใจค่อยนับเป็นกำไร อวี่เทียนเหมยสูดลมหายใจเข้าลึก แรกเริ่มเดินก้าวเท้าเร็ว ๆ รักษาท่าทีบัดนี้เปลี่ยนเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่งแทน ความพยายามเป็นผล หรืออาจจะเป็นเพราะว่านางละทิ้งสิ้นแล้วกับการเดิน เปลี่ยนมาวิ่งแทนอย่างไม่สนสายตาผู้ใด มองตามคราใด เขาก็ไกลออกไปเรื่อย ๆ

     “ไท่จื่อเพคะ”

     “ไท่จื่อ”

     “โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ”

     นางอยู่ใกล้จนมั่นใจว่าเขาได้ยิน เรียกแล้วเขาก็ไม่ยอมหัน ราวกับว่าในวังหลวงแห่งนี้มีไท่จื่ออยู่สิบคน ไม่ใช่เขาแล้วเป็นใคร ตำแหน่งไท่จื่อเป็นของแจกันตามทางเดินหรือ!

     เขาแสดงเจตนาว่าไม่อยากสนทนาอย่างโจ่งแจ้ง นางตะโกนออกไปอีกครั้งเสียงดังกว่าเดิมว่า “โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ!”

[1] ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย กลับถูกปฏิเสธและถูกตำหนิ

[2] ๑ เค่อ เท่ากับ ๑๕ นาที

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๓/๓ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

    อวี่เทียนเหมยสบตากับมารดา รู้สึกอุ่นใจขื้นมาอีกมาก ท่านแม่เข้าใจในเหตุผลของนาง อวี่เทียนเหมยคิดว่าตนเองยังสามารถทนได้ อยากจะลองพยายามดูอีกสักครั้ง ทนมาแล้วแต่แรก ทนอีกต่อไปก็ไม่เสียหาย รู้ดีว่าหากตนทนไม่ไหว ประเมินแล้วได้ข้อสรุปว่า ตั้งรับกับไท่จื่อไม่ได้ นางคงร้องไห้โฮกลับจวนแต่วันแรก ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านมานานถึงเจ็ดวัน แล้วจึงค่อยฟูมฟาย แม้จะโกรธเคืองพญามัจจุราชเพียงใด ก็ไม่มีความคิดจะยกเลิกมากเท่า ปรารถนาให้การหมั้นหมายยังคงอยู่ อวี่เสียนเห็นท่าทีของฮูหยินและบุตรสาว พลันเกิดความรู้สึกสับสนในใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะต้องเสียใจ หรือยินดีกับความเข้มแข็งทางจิตใจของเหล่าสตรีแซ่อวี่ ที่มีมากจนเกินความพอดีนี้ “แล้วเจ้ายินดีหรือ” บิดาถามไถ่บุตรสาว “แล้วข้ายกเลิกได้หรือเจ้าคะ” ส่งถามคำถามที่มีคำตอบตายตัวอยู่แล้วออกไป ไม่มีใครตอบนางในข้อนี้ได้สักคน ทุ่มเถียงกันอย่างไร มีเพียงคนตระกูลอวี่ก็ไม่อาจยกเลิกได้ อวี่เทียนเหมยยิ้มพร้อมน้ำตาก่อนจะพูดถึงเรื่องกังวลใจอีกหนึ่งเรื่องออกไป “พี่ใหญ่…” บุตรสาวพูดไม่ทันได้จบประโยค เพียงแค่กำลังจะเริ่มเท่านั้น อวี่ฮูหยินผู้เป็นมารด

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๓/๒ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

    ฟ้าฝนกำลังจะลาจาก ส่งท้ายฤดูกาลด้วยสายลมหนาว เป็นสัญญาณเตือนให้เตรียมพร้อมกับเหมันต์ฤดู อวี่เทียนเหมยสวมเสื้อคลุมอยู่แล้วยังคิดว่าหนาวอยู่ดี ต่อมาเมื่อเจียถิงเอาผ้าอีกผืนมาคลุมเพิ่มให้ จึงรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง คนงามเหลียวมองรอบห้องหาสาวใช้อีกคน แน่นอนว่าไม่มีเสียงพูดเจื้อยแจ้วเข้าหู แสดงว่าเจ้าตัวไม่อยู่ในบริเวณนี้ “ซูผิงเล่า” “นางไปเอายามาให้คุณหนูเจ้าค่ะ” เจียถิงตอบกลับมา รู้ว่าเจ้านายมองหาอะไร อวี่เทียนเหมยพยักหน้าว่ารับรู้ มองตามสาวใช้ คุ้นชินแล้วกับการหางานทำอย่างไม่หยุดหย่อนของเจียถิง แม้ไม่มีงานให้ทำ เจียถิงก็จะไปหาอะไรสักอย่างมาทำจนได้ ปากของเจียถิงนิ่งสงบ ลมไม่มีโอกาสเข้าปาก หากไม่มีคนถาม แต่มือของเจียถิงตรงข้ามกัน เคลื่อนไหวตลอดเวลา แตกต่างจากซูผิงที่ไม่มีทางอยู่นิ่ง ยิ่งกับการสนทนาหาข่าวที่ชอบอ้างว่าทำไปเพื่อเปิดหูตาให้กว้างไกล หรือเรียกอีกอย่างว่าการซุบซิบนินทานั้น ดูจะเป็นงานหลักมากกว่าการดูแลเจ้านายอย่างอวี่เทียนเหมย ซูผิงอยู่ไม่ติดที่ วิ่งไปมาทั้งวัน อยู่นอกจวนมากกว่าในจวน แต่ไม่มีผู้ใดตำหนิจริงจังเสียที เพราะซูผิงซุกซนเพียงแค่ในจวน เมื่อก้าวเท้า

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๒/๓ ไร้ประโยชน์

    พูดช้า ๆ เสียงหนักแน่น ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ เขาเคยชินกับการพูดโดยไม่จำเป็นต้องคอยสังเกตสีหน้าของใคร เมื่อพูดแล้วก็ลุกขึ้นยืน ฝนยังไม่หยุดตก สภาพนางเหมือนไก่ในน้ำแกง [1]เขาตัดสินใจทิ้งร่มในมือไว้ข้างตัวนาง เพียงแต่ปล่อยมือเร็วไปเล็กน้อย ร่มร่วงลงไปที่พื้น...ราวกับว่าเขาขว้างทิ้ง หาใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ โม่เทียนอวี่หันหลังกลับไปหาเจี้ยนฉางและถางจี้ ยื่นมือไปรับร่มอีกคันจากองครักษ์ สายฝนต้องถูกตัวไม่น้อย เขาร่างกายแข็งแรงยังรู้สึกเย็น แล้วกับสตรีนางหนึ่งเล่า... สลัดความรู้สึกผิดออกจากใจได้ไม่หมด ออกคำสั่งกับเจี้ยนฉางว่า “เรื่องวันนี้อย่าได้แพร่งพราย” เจี้ยนฉางรับคำ โม่เทียนอวี่วางใจ ไม่ต้องพูดให้มากมาย โดยปกติเขาสงวนถ้อยคำยิ่งกว่าทองคำ มีวันนี้พูดมากไปกว่าทุกวัน ชี้แจงมุมมองของตนเองตามคำถามแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง กลับกัน…. อวี่เทียนเหมยน้ำตาไหลพราก ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองตกต่ำมากถึงเพียงนี้ เขากล่าวว่านางไร้ประโยชน์! สามคำนี้เด่นชัดในหู สลักลึกยิ่งกว่าคำว่าไร้ศักดิ์ศรี! ไม่รู้ว่าเพราะตากฝนนาน หรือเพราะถ้อยคำที่ได้ยิน ส

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๓/๑ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

    อวี่เทียนเหมยนอนหงายอยู่บนเตียง เงยหน้ามองเพดาน สีหน้าบางครั้งซีดเซียวกว่าคนป่วยไข้ปกติธรรมดา บางคราก็แดงก่ำขึ้นมาโดยไม่รู้เหตุผล ผ้าห่มหลายผืนถูกคลุมไว้บนร่างกายซ้อนทับกันไว้ให้ความอบอุ่น คนงามปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัวเพราะพิษไข้ นับได้เจ็ดวันหลังจากวันนั้น นางไม่รอให้ฝนซารีบไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตำหนักฉือหนิง ฐานที่มั่นอันคุ้นเคยหนึ่งเดียวของอวี่เทียนเหมยในวังหลวง ไทเฮามีพระเมตตามากล้น พระราชทานเสื้อผ้าชุดใหม่ไหมล้ำค่าปลอบประโลมใจ คนงามมีใบหน้ายิ้มแย้มกลับจวน กลัวคนในครอบครัวเป็นกังวล ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามอาการทรุด ล้มป่วยจนได้ บิดามารดา เห็นสีหน้านางไม่ถามไถ่ อวี่เทียนเหมยไม่กล้าคาดเดา และไม่ได้บอกเล่าออกไปว่าเรื่องราวในวันนั้นเป็นอย่างไร ส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่ชอบโกหก หากถูกถามขึ้นมาไม่พ้นต้องบอกตามจริง ยิ่งคิดยิ่งอาย อยากย้อนเวลากลับไปได้ รู้สึกว่าตนเองขาดการไตร่ตรองไม่น้อย หากกลับจวน วันหน้าค่อยไปพบ บางทีคงดีกว่า ‘โง่เขลายิ่งนัก’ มีเพียงคำก่นด่า สมน้ำหน้าตนเอง เอาเถิด…หากไม่ทำก็ไม่หายข้องใจ อย่างไรก็ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้! ถอนหายใจอีกครั้ง หลับตาลงตั้

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๒/๒ ไร้ประโยชน์

    เมื่อนั้น… เรียกสามครั้งไม่หัน ครั้งที่สี่เขาจึงยอมหันหน้ากลับมามองนาง อวี่เทียนเหมยไม่สงวนท่าทีแล้ว วิ่งหน้าตั้งไปหาเขา ทว่าไหนเลยนางจะกล้าหอบหายใจต่อหน้า เหงื่อไหลพรากเพียงใด อวี่เทียนเหมยก็ไร้เสียง นางจ้องหน้าเขาไม่ยอมละสายตา กลัวว่าหากคลาดไปเพียงเสี้ยว เขาจะหายไปอีก เขาหยุดรออยู่ชั่วครู่ สตรีน่ารำคาญพยายามควบคุมลมหายใจ คงไม่อยากแสดงอาการเหนื่อยให้เห็น ยืนจ้องหน้าเขาด้วยท่าทีไม่น่าดู จะพูดก็ไม่พูดเช่นนี้ ไม่น่าเกลียดกว่าเดิมหรือ โม่เทียนอวี่ใช้โอกาสนี้กวาดสายตามองคนงามตั้งแต่หัวจรดเท้า ‘นึกว่าพวกจิตรกรวาดแต่งแต้มเสริมเติมแต่ง เห็นใบหน้าจึงรู้ว่าที่แท้งามกว่า’ โม่เทียนอวี่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจ ไม่ชอบใจที่นางงดงาม ! เหตุใดจะต้องมีเหตุผลให้หยุดคิดในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว! ไหนเลยจะชื่นชอบตัวเองยามนี้ รับรู้ถึงความรู้สึกแปลกไปอันรู้แก่ใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เพื่อให้ใจแน่วแน่ไม่แปรผัน โม่เทียนอวี่หันหลังกลับ เดินห่างออกไปทันที อวี่เทียนเหมยหายเหนื่อยทันควัน จะวิ่งก็ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว จึงก้าวเท้ายาวเดินตามเขาไปต่อ ไม่กล้าเรียกขานดังเช่นเมื่อครู่

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๒/๑ ไร้ประโยชน์

    อวี่คือแซ่ อักษรเหมยท้ายชื่อมาจากวันที่นางเกิดนั้นมีดอกเหมยบานสะพรั่งทั่วแผ่นดิน อักษรตัวสำคัญคือคำว่าเทียน ไหนเลยจะมาจากผู้อื่น เป็นเขาผู้นั้น องค์รัชทายาทโม่เทียนอวี่ อักษรเทียนนี้ ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่นาง พร้อมพระราชโองการระบุสัญญาหมั้นหมายที่มาเยือนถึงหน้าจวนตระกูลอวี่ สัญญาหมั้นหมายแตกต่างอย่างไรกับการผูกมัด ใคร ๆ ก็ว่าเป็นเรื่องมงคลยิ่ง มงคลอย่างไรกัน...แตกต่างจากพันธการอย่างไรหรือ อักษรเทียนกลางชื่อของอวี่เทียนเหมย ก็เป็นดังรับสั่งจากสวรรค์ ให้นางยึดเขาเป็นศูนย์กลางของชีวิต โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ ‘ชีวิตของหม่อมฉันไม่เคยได้ใช้เพื่อตนเอง ล้วนแต่เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น’ ไม่ชอบไม่ว่า ไม่เคยปรารถนาให้รัก...แต่มาหยามเกียรตินางต่อหน้าผู้คนมากมาย ไม่ละอายใจบ้างหรือ ตัวเป็นบุรุษกลับรังแกสตรีด้วยวาจา เขาอายุนับปีนี้ได้ยี่สิบสองปี มากกว่านางถึงห้าปี เด็กน้อยอายุห้าปี...อ่านตำรารู้ภาษาคนแล้ว ตรงข้ามกับนางซึ่งยังเป็นทารกน้อยนอนอยู่ในห่อผ้า หากไม่ยินดี เหตุใดจึงไม่ปฏิเสธด้วยตนเองตั้งแต่ยามนั้น ปล่อยเวลาล่วงเลยผันผ่าน จนถอยหลังกลับไม่ได้เพื่อสิ่งใด! องค์รัชทายาทโม่เที

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๑/๓ ยินยอม ไม่ยินดี

    มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัย ใช่ว่าปรารถนาให้พวกเขาเคียงคู่กันรักมั่นดั่งนกยวนยาง ขอเพียงหงส์เคียงคู่มังกรอย่างสงบสุข ขอความเมตตาเล็กน้อยจากโม่เทียนอวี่ให้แก่อวี่เทียนเหมย มันยากมากนักหรือ! “แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร” พระองค์ไม่ตรัส โม่เทียนอวี่ก็ไม่พูด หากทรงไม่ริเริ่มการสนทนาก็ไม่พ้นไม่ได้ความ “แปดเก้าไม่ห่างสิบ”[1] ‘ห่างมากทีเดียวเด็กโง่!’ ทรงเข้าพระทัยในความหมายของถ้อยคำ แต่จะให้ทำตามไม่ได้เด็ดขาด ไท่จื่อเฟยก็คือไท่จื่อเฟย ใช่ว่าเป็นสตรีขององค์รัชทายาทแล้วจะมีฐานะเทียบเท่ากันทุกตำแหน่ง! ความจริงทรงไม่จำเป็นต้องถามเหตุผลเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พระราชโองการเดียว โม่เทียนอวี่ก็ไม่อาจขัดขืน อยากบังคับเหลือเกิน แต่บังคับไม่ได้ เพราะพระโอรสของพระองค์ โม่เทียนอวี่เป็นผู้กล้าตัดข้อมือ [2]เด็ดขาดไม่เกรงกลัว ตัดสินใจแล้วไม่พิจารณาซ้ำสอง เอาเถิด… มรรคาสามพัน สวรรค์ไม่ตัดหนทางมนุษย์ [3]โอกาสใช่ว่ามีหนเดียว อย่างไรเสีย...ก็ไม่มีคำปฏิเสธว่าจะไม่แต่ง ไม่ย่อท้อ ไม่หมดหวัง จึงจะสมหวัง “เช่นนั้น หากข้าบังคับเจ้า...ประกาศพระราชโองก

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๑/๒ ยินยอม ไม่ยินดี

    การเดินเท้าเงียบงัน ไม่มีกระทั่งเสียงรองเท้ากระทบพื้น อวี่เทียนเหมยเดินตามเสิ่นกงกงมาเรื่อย ๆ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีกเช่นเดียวกับผู้เฒ่าที่ตั้งหน้าตั้งตานำทาง จวบจนเดินเข้ามาในเขตหวงห้าม อวี่เทียนเหมยมองไปรอบ ๆ ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน ยังเป็นเฉกเช่นครั้งล่าสุดที่ได้มาเยือน ห้องทรงพระอักษร พื้นที่ส่วนพระองค์ของโม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ ฝ่าบาททรงแยกไว้เป็นสัดส่วนกับห้องทรงงาน อวี่เทียนเหมยหายใจผิดจังหวะเล็กน้อย ยามเฝ้ารอ...เหตุใดจึงนานนัก ยามถึงเวลา...เหลือทางข้างหน้าอีกเพียงแค่หนึ่งก้าว นางกลับเริ่มไม่แน่ใจราวกับว่าที่ผ่านมายังเตรียมตัวได้ไม่ดีพร้อม อยู่ ๆ ใจก็เต้นแรงอีกครั้ง มือสองข้างบีบเข้าหากันแน่น อึดอัดจนหายใจไม่ค่อยสะดวก ทั้ง ๆ ที่ห้องโปร่งโล่งสบายอากาศถ่ายเท หากไม่ใช่ว่ารู้สึกไปเอง เหมือนจะมีเหงื่อออกที่ใบหน้าเล็กน้อย เข้าเฝ้าฝ่าบาทร้อยครั้งไร้ความตื่นเต้น อวี่เทียนเหมยไม่เคยเป็นเช่นนี้ โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ พญามัจจุราชองค์รัชทายาทแห่งต้าเฉวียน เขาทำให้นางผิดแปลกไปจากเดิม เขาจะเป็นอะไรก็เป็นไป อวี่เทียนเหมยหาได้ใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคู่หม

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๑/๑ ยินยอม ไม่ยินดี

    แคว้นต้าเฉวียนรัชศกฮุ่ยอัน,โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้วังหลวง . ช่วงท้ายปลายฤดูฝน พายุโหมกระหน่ำแทบทุกวันไม่เว้นว่าง ยามนี้เป็นเวลากลางวัน ทว่าท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีดำมืดมิด เสียงลมพัดหวีดหวิวสอดประสานกับเสียงฟ้าร้องคำราม เมฆฝนกลุ่มใหญ่เคลื่อนคล้อยใกล้เข้ามาหา บ่งบอกว่าช่วงเวลาของพายุยังอีกยาวนาน หากบอกว่าสวรรค์พิโรธโกรธเคืองคงเชื่อได้โดยไร้ข้อสงสัย วันนี้ที่เฝ้ารอ วันที่ควรจะเป็นมงคลยิ่ง กลับถูกธรรมชาติทำให้หวั่นใจไปเสียแล้ว เทพธิดากำลังเดินเยื้องย่างท่ามกลางพายุฝน หากมีใครสักคนมาเห็นย่อมมีเสียงชื่นชมเช่นนี้ เพียงแต่ว่าฝนห่าใหญ่ทำให้มนุษย์หลีกเร้นหลบซ่อนหนี คนงามซึ่งหวังจะจำแลงกายเป็นเทพธิดาท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายจึงต้องผิดหวัง หนทางเดินเข้าสู่วังหลวง ไร้ผู้คนสวนทาง อัสนีบาตกระทบเข้านัยน์ตา โสตประสาทตื่นตัวยิ่งกว่าเคย ท่าทางภายนอกคนงามดูสงบนิ่ง ทว่าในใจหาได้เป็นเช่นนั้น ร้อนรนยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ต้องให้ใครมาบอก ก็รู้ได้ทันที ‘วันนี้ฤกษ์ไม่ดีเสียแล้ว’ คนงามถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เวทนาในชะตาของตน อากาศเย็นจนหนาวสั่น ละอองฝนสัมผัสถูกตัวไม่น้อย แต่กลับดับความร้อนภ

좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status