“ตามแต่ใจเจ้า” สมดังพระทัยแล้วก็ตรัสแต่เพียงเท่านี้ ทรงรู้ว่าต้องเดินหน้าและถอยหลังให้ถูกเวลา ความสนพระทัยทั้งหมดจึงถูกละทิ้งหนีห่างคนตรงหน้า โอรสสวรรค์ทอดพระเนตรไปยังประตู ประตูไม่หนาพอจะปิดบังสายตา ไม่หนาพอจะไม่ได้ยิน “เข้ามาเถิด” พระสุรเสียงดังชัดเจน
รอไม่นานนัก เสิ่นกงกงก็เดินก้มหน้างุดแทบจะแนบกราบไปกับพื้นเข้ามาก่อน
“กระหม่อมทูลลา” ไม่รอให้ได้รับคำอนุญาตด้วยซ้ำ โม่เทียนอวี่ก็เดินออกไปทันที
โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรตามหลังพระโอรส พระพักตร์กระตุกในทันใด อยากจะสรวลให้ดังลั่น เมื่อเหตุการณ์ที่ทรงปรารถนาปรากฏดังพระทัยมุ่งหวัง
.
อวี่เทียนเหมยอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินลี้หนีหน้า แต่นางก็ยังตั้งใจฟังในทุกถ้อยคำ
ไม่คู่ควร ไม่เหมาะสม
เขาจึงยินยอม แต่ไร้ความยินดี
คนงามน้ำตาคลอเต็มหน่วยตา แต่ด้วยศักดิ์ศรีที่มีเหลืออยู่บังคับไม่ให้น้ำตาไหล นางเงยหน้าขึ้นมองยามเขาเดินผ่าน
ใบหน้าของบุรุษไร้ใจที่ไม่ยินดีเป็นอย่างไร เหตุใดเขาจึงใจร้ายนัก บุรุษผู้ซึ่งนางนับวันคืนรอคอยพบหน้า แตกต่างมากเพียงใดกับคำเล่าลือ
นางทันได้สบสายตาประสานยามเขาย่างกรายผ่าน ราวกับเวลาหยุดเดิน ณ ตอนนี้ ชั่วชีวีครานี้คราแรก หัวใจดวงน้อยเต้นแรงด้วยจังหวะแปลกพิกล
ความรู้สึกนับร้อยพลันสลายหายไป หลงลืมชั่วครู่...มีเพียงใบหน้าหล่อเหลาตรึงสายตาและหัวใจให้ไม่ละจาก เผลอส่งยิ้มให้เขาอย่างไม่รู้ตัว ห้วงคำนึงในหัว มีเพียงความคิดหนึ่งเดียว ตั้งปณิธานในใจ ต้องแต่งกับเขาให้ได้!
ต่อมาเขาเบือนหน้าหนี สบตาเพียงเสี้ยวเดียวก่อนเดินจากไป ท่าทีทั้งหมดล้วนบ่งบอกว่ารังเกียจ คนงามรู้สถานะตนจึงก้มหน้าลงต่ำเป็นครั้งแรก สมเพชตนเอง เล็บยาวจิกที่ฝ่ามือจนห้อเลือด แต่ไม่เจ็บเท่าที่ใจเลยแม้แต่น้อย...
.
โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ตรงข้ามกับทุกคนในห้อง พระโอษฐ์แย้มยิ้มอย่างอดไม่ได้ ต่อมายามขันทีเฒ่าเสิ่นกงกงเงยหน้าขึ้นมอง พระพักตร์จึงกลับไปเคร่งเครียดดังเดิม
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงหวานของอวี่เทียนเหมยดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ความรู้สึกผิดมีมากเท่าไหร่ ไหนเลยจะมากเท่าความละอาย แผนการถูกนำมาไตร่ตรอง ไม่นานนักโอรสสวรรค์ก็ตรัสถามคนงามว่า “จะกลับจวน หรือตามเขาไป”
อวี่เทียนเหมยนิ่งไปชั่วครู่ ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจกราบทูล“หม่อมฉันทูลลาฝ่าบาท” ไม่รอให้ได้รับคำอนุญาต คนงามแซ่อวี่เดินออกนอกห้องทันที
คำตอบไม่เจาะจงชัดแจ้ง โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้คิดว่าทรงคาดคะเนได้ไม่ผิด โม่เทียนอวี่ดื้อรั้น ทว่าเหมยเหมยดื้อรั้นยิ่งกว่า!
เสิ่นกงกงหันหน้าไปมารอบห้อง ขันทีเฒ่าข้องใจจนมีคำถาม “นางจะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามไปดูหรือไม่”โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ตรัสตอบ เสิ่นกงกงตาเป็นประกาย ‘ตาเฒ่าลืมสังขาร’ ทรงตำหนิในพระทัยเล็กน้อย ก่อนจะให้ความกระจ่างแก่เสิ่นกงกงว่า “ไม่ตามไปวันนี้ ชาตินี้...คิดว่านางจะได้เจอหน้าเด็กโง่นั่นอีกหรือไม่”
เสิ่นกงกงยังไม่เข้าใจเช่นเดิม โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ไม่สนพระทัยขันทีเฒ่า เสิ่นกงกงไม่เข้าใจไม่สำคัญ อวี่เทียนเหมยเข้าใจก็พอแล้ว
เมื่อครู่นับหนึ่งได้ถึงสิบ เพียงเสี้ยวเดียวก็ยังดี ไม่มีคำพูดใด แต่กลับทำให้โม่เทียนอวี่หยุดชะงักมองได้ ว่าที่ไท่จื่อเฟยนับว่าไม่ไร้ฝีมือ!
จะตีเหล็กต้องตีตอนร้อน ปล่อยให้เย็นแล้วค่อยเข้าหา ไม่ใช่เรื่องดี วันนี้พบเจอหน้า วันต่อมาอย่าได้หวัง ตัดสินใจไปแล้ว ใครจะเปลี่ยนใจได้หากไม่ใช่เจ้าของใจ
ในเมื่อจุดประสงค์ของวันนี้ คือ พบหน้า สนทนาทำความรู้จัก แต่กลับล่มไม่เป็นท่าเพราะวาจาหาดีไม่ได้ของพระโอรสหน้าโง่ ที่ควรพบ...ก็ได้พบแล้ว เหลือแต่ที่ควรทำ...ก็ต้องทำให้สำเร็จ!
เอาเถิด…วีรบุรุษยากข้ามผ่านด่านสาวงาม หวังว่าแม้จะโง่งมไร้สมองเพียงใด ก็ขอให้มีตาดูด้วยเถิด ว่าสิ่งใดดี หรือไม่ดี ‘โม่เทียนอวี่เอ๋ย…ลูกชายข้า เจ้าฆ่าคนไม่มองหน้า วันนี้เจอคนงามเจ้าแลเหลียว’
หวังว่าเจ้าจะเป็นดั่งใจข้าหวัง หากไม่เป็น...ก็หาใช่เรื่องน่าวิตก เพราะหากสวรรค์ลิขิต ยังผูกด้ายแดงไม่สำเร็จ ตัวข้า…โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ผู้นี้ พระบิดาของเจ้าไม่บังคับ ไม่ยัดเยียด แต่จะทำให้สมรสพระราชทานถูกร้องขอจากปากเจ้าเอง โม่เทียนอวี่!
‘เหมยเหมยเอ๋ย…ลูกพยัคฆ์ย่อมไม่เป็นสุนัข บิดารับปากอย่างไรบุตรต้องกระทำตาม ถ้อยสุวรรณ หยกวจี [1]สัญญาเช่นไร เป็นเช่นนั้น’
[1] รับสั่งของฮ่องเต้ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
“นางคนชั้นต่ำ อย่ามาเสนอหน้า” อวี่เหวินตวาดเสียงดังลั่น เขาเงื้อมือขึ้นสูง เดินตรงไปหาสตรีทั้งสอง สาวใช้ของอวี่เทียนเหมย ต้องถูกสั่งสอนเสียบ้าง “หยุดการกระทำของท่านเดี๋ยวนี้” อวี่เทียนเหมยนั้น ชีวิตนี้นางไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร แต่พอได้เห็นท่าทีของพี่ใหญ่แล้วไม่อาจทน ซูผิงเป็นคนของนาง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมาหยามเกียรติของซูผิงได้ อวี่เหวินชะงักค้าง ท่าทางของเหมยเหมย ดูทรงอำนาจอย่างน่าแปลก เท้าหยุดก้าวโดยพลันทันที เขาไม่เคยเห็นเหมยเหมยเป็นเช่นนี้มาก่อน อนิจจา…พอได้ชื่อว่าเป็นสตรีของไท่จื่อ มีหยางลู่ไทเฮาอยู่เบื้องหลัง อวดดีได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ‘น่าชังจนหลงใหล’ อวี่เหวินอารมณ์เปลี่ยนไปมา ในใจเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น อยู่ ๆ เขาก็หอบหายใจแรงขึ้น จ้องหน้าอวี่เทียนเหมยไม่วางตา คิดว่าครั้งนี้เกินไปแล้ว อวี่เทียนเหมยดันซูผิงให้ไปอยู่ด้านหลัง สาวใช้ขืนตัวไม่ยินยอม แต่ไม่อาจขัดขืนคำสั่ง ซูผิงจึงยอมถอย แต่สาวใช้ยังตั้งท่าระวังภัย ไม่ยอมวางใจ “หากท่านไม่มีเกียรติ ก็อย่าคิดว่าคนอื่นจะไม่มีเกียรติดังเช่นท่าน” อวี่เทียนเหมยแววตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ นางไม่อา
‘เสี่ยวซาน…’ อวี่หลางซานกลับมาแล้ว พอนึกขึ้นได้ อวี่เทียนเหมยก็เหมือนจะเห็นทางสว่างรออยู่เบื้องหน้า น้องชายของนางเป็นทหารในกองทัพ มีตำแหน่งไม่น้อย ย่อมต้องมีเส้นสายและมุมมองที่กว้างไกลกว่านาง อวี่เทียนเหมยคิดว่าเรื่องหนักอึ้งในใจของนางนี้ สามารถเล่าให้เสี่ยวซานฟังได้ เผื่อว่าน้องชายจะมีทางออกที่นางคิดไม่ถึงมาแนะนำ บิดาเกรงใจพี่ใหญ่มาก อวี่เทียนเหมยไม่เห็นด้วยในข้อนี้ ไม่ดีส่วนไม่ดี เอาความดีมาลบล้างไม่ได้ แต่บุญคุณถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับท่านพ่อ พี่ใหญ่นั้นบิดาของเขาสละชีวิต เพื่อท่านพ่อของอวี่เทียนเหมย ในอดีตก่อนท่านพ่อจะพบกับท่านแม่ ท่านพ่ออาศัยอยู่ที่สำนักศึกษาเก่า ต่อมาสำนักศึกษาเกิดไฟไหม้ เพื่อให้ท่านพ่อรอด บิดาของพี่ใหญ่ยอมสละชีวิตตายอยู่ในกองเพลิง ฝากฝังพี่ใหญ่ไว้กับท่านพ่อ บุญคุณมากล้น แค้นชำระแค้นด้วยชีวิตฉันใด บุญคุณชีวิตทดแทนด้วยชีวิตฉันนั้น บิดาถือเป็นหน้าที่ ชีวิตนี้ต้องดูแลพี่ใหญ่ให้ดี นับตั้งแต่วันนั้น หลังจากบิดาสอบจอหงวนได้ที่หนึ่ง ก็ขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท แต่งงานสร้างฐานะร่วมกับมารดา รับเลี้ยงพี่ใหญ่ให้เป็นบุตรบุญธรรม พี่ใหญ่อายุมา
เอาเถิด…อย่างไรก็ได้สมรสพระราชทาน ได้ตำแหน่งไท่จื่อเฟยมาแล้ว นี่จึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ใจไม่แน่นอน ตำแหน่งแน่นอน อวี่เทียนเหมยยามนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนของหยางลู่ไทเฮา สุดท้ายแล้วต่อให้เขาไม่รักนางมากเพียงใด เขาก็จะไม่กล้าผิดใจกับไทเฮา คิดปลอบใจตนเองว่า ชีวิตจะยึดติดกับรักอย่างเดียวไม่ได้! “พี่รอง!” เสียงเรียกดังขึ้นขัดความคิด อวี่เทียนเหมยหันไปหาต้นเสียง อวี่ไฉฟงกำลังเดินจับมือบิดามารดามาที่โต๊ะกินข้าว อวี่เทียนเหมยส่ายศีรษะให้กับน้องสาว อวี่ไฉฟงเป็นคนช่างออดอ้อน ชอบทำตัวเป็นเด็กตลอดเวลา แต่แน่นอนว่าในสายตาของคนในครอบครัว แล้ว พฤติกรรมนี้ถือว่าน่ารัก! อวี่ไฉฟงแซ่อวี่ เป็นบุตรสาวตระกูลอวี่ อยู่ในจวนอยากทำกิริยาอย่างไรตามใจปรารถนา แต่ยามออกไปนอกจวน ต้องรักษากิริยาดีไม่แพ้ผู้ใด เรื่องราวระหว่างวันถูกถ่ายทอดเล่าให้กันฟัง ช่วยสร้างเสียงหัวเราะได้มากมายในมื้ออาหาร คนตระกูลอวี่รักใคร่กัน ข้อนี้รู้ไปทั่วเมืองหลวง แต่อยู่ ๆ ซูผิงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา เห็นสีหน้าสาวใช้ก็รู้ได้ทันทีว่า มีเรื่องสำคัญมาบอก อวี่เทียนเหมยไม่เข้าใจเหมือนกัน ในหนึ่งวันนั้น
สองสามวันมานี้ จวนตระกูลอวี่คึกคักมากกว่าปกติ แขกมาเยี่ยมเยือนที่จวนหลายคนแบบไม่ซ้ำหน้า ระบุเจาะจงแทบทุกคนเสียด้วยว่า ต้องการพบอวี่เทียนเหมย สถานการณ์ไม่แน่นอน คนใจโลเลจะชอบเกาะหงส์เกาะมังกร[1] เอาใจไม่เลือกหน้า เผื่อว่ายามที่เดือดร้อนขึ้นมา แผ่นดินแบ่งแยกเมื่อใด จะได้มีข้ออ้างไว้เอาตัวรอด ต้าเฉวียนแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ขุนนางซึ่งไร้ที่พึ่งทั้งหลาย ยามนี้เข้าหาทุกฝั่ง เดินสวนกันจ้าละหวั่น ไปจวนนั้นจวนนี้ จวนตระกูลอวี่จึงต้องรับแขกมากหน่อย เพราะประกาศของหยางลู่ไทเฮา คนมาเยี่ยมเยือนมากเพียงใดก็ตาม ในใจไร้ความยินดี แต่ก่อนพบหน้าไม่สบตา ยามนี้มาส่งยิ้ม ‘ความจริงใจหาไม่ได้’ ยิ่งมากคนยิ่งต้องระวัง จะรับของขวัญก็ต้องถี่ถ้วน ล้วนมีปัญหาสอดไส้มาได้ทั้งสิ้น อวี่เทียนเหมยกลัวเกิดความผิดพลาดขึ้น อย่างไรนางก็ถือว่าเป็นม้าใหม่ในสนามรบ ยังไม่กล้ารับแขกด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียว จึงยกหน้าที่นี้ให้ตกเป็นของบุพการี บิดามารดารับแขกแทนบุตรสาวจนเหนื่อยอ่อน หมดแรงในทุกวัน ตกเข้ายามค่ำคืนมา อวี่เทียนเหมยลงมือเคี่ยวน้ำแกงใส่สมุนไพรบำรุงร่างกาย ทำอาหารมากมาย แทนคำขอบคุณ จ
ส่วนนาง… อวี่เทียนเหมยขอไม่เชื่อ คิดในแง่ดีทั้งที่ความจริงเป็นแง่ร้าย ตระกูลอวี่จะมีหงส์สองตัวได้อย่างไร ในเมื่อหงส์ตัวแรกที่หมายถึงนาง เดินมายังไม่ถึงครึ่งเส้นทาง ก็ดูจะพบทางตันไปต่อไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิตกันแน่! ท่านพ่อท่านแม่นั่งอยู่ไม่ไกล ตระกูลอวี่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด มีลำดับขั้นได้ถวายของขวัญในตอนท้าย อวี่เทียนเหมยรีบลุกขึ้น เมื่อมองเห็นว่ามารดาส่งสายตามาเป็นสัญญาณเรียก เมื่อตระกูลอวี่ถวายพระพรไทเฮาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาถึงคราวของอวี่เทียนเหมย เจียถิงและซูถิงเดินตามมาเพื่อถือภาพวาดขนาดเท่าตัวคนให้ สาวใช้ยืนคนละฝั่ง กางภาพวาดออกมาเห็นเป็นภาพวิวทิวทัศน์ อวี่เทียนเหมยสังเกตพระพักตร์หยางลู่ไทเฮา นางมียิ้มละมุนบนใบหน้า เมื่อเห็นร่องรอยของความความพอพระทัย ปรากฎอยู่เต็มพระพักตร์ นางกราบทูลไทเฮาเสียงดัง “ชีวิตของเหมยเหมย นอกจากบิดามารดา หม่อมฉันมีฝ่าบาทและไทเฮาเป็นผู้มีพระคุณ ภาพวาดผืนนี้ หม่อมฉันวาดด้วยใจที่สำนึกรู้ ซาบซึ้งในพระเมตตา คำอวยพรใดในใต้หล้า หม่อมฉันไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ด้วยว่าไทเฮาทรงเป็นมงคลยิ่งแล้ว” หยางลู่ไทเฮาทอด
มู่ฮองเฮาเก็บโทสะไว้ในพระทัยไม่แสดงออก องค์หญิงหยางลู่อิงฮวา เพราะมีนิสัยเสียเช่นนี้ ต่อให้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ในการเป็นชายาของเสี่ยวหยาง มู่ฮองเฮาก็ขอปฏิเสธ หัวแข็งจนน่าชัง ทั้งยังควบคุมยากเกินไป! การแสดงขลุ่ย แม้จะมีข้อผิดพลาด แต่ว่าองค์หญิงหยางลู่อิงฮวากลับได้รับพระราชทานรางวัลจากไทเฮามากกว่าใคร เพราะเหตุผลใดใครจะรู้ดีเท่าหยางลู่ไทเฮา “เสียงขลุ่ยขององค์หญิงไพเราะมากเพคะ” อวี่เทียนเหมยรีบเอ่ยทันทีที่องค์หญิงเสด็จกลับมา อีกฝ่ายยักไหล่ “ขอบคุณคำชมที่จริงใจของท่าน” อวี่เทียนเหมยชะงักค้าง องค์หญิงรับมือได้ยากยิ่ง ต่อมาได้ยินเสียงหัวเราะจากเจ้าตัว จึงค่อยวางใจว่าเมื่อครู่โดนแกล้ง “หากเจ้าไม่อาย ก็ควรสงสารหูคนฟังบ้างเถิด” เสียงนี้ดังมาจากทางด้านหลัง สตรีสองนางที่นั่งข้างกันหันหน้าไปมอง คนหนึ่งหันหน้าหนี ส่วนอีกคนเบ้ปากใส่ผู้มาใหม่ทันที งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นบนเรือ ไม่มีที่นั่งชัดเจนเหมือนงานเลี้ยงที่วังหลวง หยางลู่ไทเฮามีพระประสงค์อยากให้ทุกคนผ่อนคลาย ไม่เคร่งครัดพิธีมากจนเกินไป ใครปรารถนาจะนั่งที่ใดก็ตามแต่ใจ จึงมีคนเดินขวักไขว่ไปมาค่อนข้างม