เมื่อนั้น…
เรียกสามครั้งไม่หัน ครั้งที่สี่เขาจึงยอมหันหน้ากลับมามองนาง
อวี่เทียนเหมยไม่สงวนท่าทีแล้ว วิ่งหน้าตั้งไปหาเขา ทว่าไหนเลยนางจะกล้าหอบหายใจต่อหน้า เหงื่อไหลพรากเพียงใด อวี่เทียนเหมยก็ไร้เสียง นางจ้องหน้าเขาไม่ยอมละสายตา กลัวว่าหากคลาดไปเพียงเสี้ยว เขาจะหายไปอีก
เขาหยุดรออยู่ชั่วครู่ สตรีน่ารำคาญพยายามควบคุมลมหายใจ คงไม่อยากแสดงอาการเหนื่อยให้เห็น ยืนจ้องหน้าเขาด้วยท่าทีไม่น่าดู จะพูดก็ไม่พูดเช่นนี้ ไม่น่าเกลียดกว่าเดิมหรือ
โม่เทียนอวี่ใช้โอกาสนี้กวาดสายตามองคนงามตั้งแต่หัวจรดเท้า ‘นึกว่าพวกจิตรกรวาดแต่งแต้มเสริมเติมแต่ง เห็นใบหน้าจึงรู้ว่าที่แท้งามกว่า’ โม่เทียนอวี่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจ
ไม่ชอบใจที่นางงดงาม !
เหตุใดจะต้องมีเหตุผลให้หยุดคิดในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว!
ไหนเลยจะชื่นชอบตัวเองยามนี้ รับรู้ถึงความรู้สึกแปลกไปอันรู้แก่ใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เพื่อให้ใจแน่วแน่ไม่แปรผัน โม่เทียนอวี่หันหลังกลับ เดินห่างออกไปทันที
อวี่เทียนเหมยหายเหนื่อยทันควัน จะวิ่งก็ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว จึงก้าวเท้ายาวเดินตามเขาไปต่อ ไม่กล้าเรียกขานดังเช่นเมื่อครู่ เห็นกับตาอยู่ว่าเขาไม่พอใจ
เขารู้ว่านางเดินตาม เช่นเคยยังเร่งฝีเท้า เดินไปจนสุดทางเดิน เส้นทางต่อไปไร้หลังคากันเม็ดฝน ต้องใช้ร่มไม่เช่นนั้นก็เดินฝ่าฝนไป องครักษ์ข้างกายเขายื่นร่มในมือให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะเดินออกไปท่ามกลางสายฝนและไม่แม้จะหันหลังกลับมามอง
อวี่เทียนเหมยกำลังชั่งใจ ระลึกรู้ตัวว่าตนเองสวมใส่อาภรณ์สีขาว หากเปียกน้ำขึ้นมาแน่นอนว่าจะเกิดภาพไม่น่าดู ควรจะล้มเลิกดีหรือไม่!
มีความลังเลทว่าเท้ากลับก้าวเดินต่อ เจียถิงสาวใช้คนสนิทคว้าชายเสื้อนางไว้ อวี่เทียนเหมยหันไปมอง เจียถิงส่ายหน้าคัดค้าน อวี่เทียนเหมยจับมือสาวใช้ออกห่าง ตัดสินใจได้แล้ว เหนื่อยต่อไปอีกหน่อยย่อมดีกว่าหยุดกลางทาง มีแต่ต้องตามไปเท่านั้น “เจ้ารออยู่นี่ หาผ้ามาให้ข้าสักผืน” สิ้นคำสั่งซูผิงสาวใช้อีกคนข้างหลังวิ่งกลับไปทางเดิม สาวใช้เจียถิงคนทัดทานรู้ว่าห้ามไม่ได้ เจ้านายไม่ถามความเห็น เก็บมือประสานไว้ รอตามคำสั่ง
อวี่เทียนเหมยมองไปด้านหน้า เห็นเขายืนนิ่งถือร่มรออยู่กลางสายฝน เข้าใจได้ว่าเขามีเจตนาท้าทายตน...กล้าเดินฝ่าฝนไปหาเขาหรือไม่ ตั้งใจแต่แรกแล้วว่าอย่างไรก็ต้องตามเขาไป คนงามจับจ้องไปยังเป้าหมาย ก้าวเท้าออกไปไร้ลังเล
เขาอยากรู้ว่านางจะอดทนได้ถึงขั้นใดกัน พญามัจจุราชแววตาลุ่มลึกดำดิ่ง นึกสนุกจนอยากยิ้มเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี คิดชั่วอะไรในหัว ผู้ใดจะรู้ดีเท่าตัวเขา ยามสายฝนต้องตกกระทบสัมผัสนาง หาได้ต่างจากยามดอกไห่ถังต้องละอองฝน กลีบดอกไม้บอบบางสีแดงร้อนแรง วันนี้ถูกกลบด้วยอาภรณ์สีขาว ดูบริสุทธ์ดื้อรั้นเสียจนอยาก...ดอมดมให้ช้ำตรม
เมื่อเห็นคนงามแซ่อวี่เดินเข้ามาใกล้ องครักษ์ทั้งสองของพญามัจจุราช มีนามว่าเจี้ยนฉางกับถางจี้ รู้หน้าที่ รีบเดินถอยห่างออกไปในทันที สายตาพวกเขาก้มต่ำ ผู้ใดจะกล้ามอง อย่างไรเสียก็ได้ชื่อว่าเป็นพระคู่หมั้น
สายฝนเย็นจนแสบผิว สายตาเขากลับเย็นยิ่งกว่า อวี่เทียนเหมยรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ในหัวเริ่มมึนงง อึดอัดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่สิ่งใดก็ไม่ทำให้ทรมานได้มากเท่ากับวาจาของเขา ที่กล่าวมากระแทกใจให้รู้สติ “ลืมสิ้นแล้วหรือศักดิ์ศรี”
เสียงฝนตกดังไม่น้อย กระนั้นยังได้ยินวาจาของเขาชัดทุกถ้อย
อวี่เทียนเหมยเกิดคำถามกับตนเอง นางบ้าดีเดือด หรือไร้ศักดิ์ศรีดังที่เขาว่า จำเป็นต้องยอมมากถึงเพียงนี้เพราะเหตุผลใด หากมีคนรู้เข้าต้องอับอายยิ่งกว่าถูกถอนหมั้น บิดามารดาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ศีรษะของนางก้มต่ำ ย่อตัวลงทำความเคารพเขาไม่โต้ตอบ ก้มหน้ายินยอมรับทุกคำดูถูก เขาเป็นใคร นางเป็นใคร ต่อให้เขาหยามเกลียดอย่างไรก็ต้องอดทนไว้ ขอเพียงการหมั้นหมายสามารถดำเนินไปถึงการแต่งงานได้ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว
รอนานเท่าไร คำอนุญาตให้ลุกขึ้นยืนได้ก็ไม่มีออกจากปาก เหมือนเขาอยากแกล้งนางให้ทรมาน อวี่เทียนเหมยเงยหน้าขึ้น พบว่าเขากางร่มยืนมองนางอยู่อย่างเดิม
“ไม่ใช่ว่าทรงอยากให้หม่อมฉันตามมาหรอกหรือ” หนาวจนปากสั่น แต่รู้ว่ามายืนให้เขาจ้องหน้าเช่นนี้มันไร้ประโยชน์สิ้นดี อวี่เทียนเหมยตัดสินใจพูดออกไป
แววตาของนางยังเด่นชัดว่าสู้ไม่ถอย คนสูงกว่ามากจึงก้มตัวลงไป ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ใช้นิ้วชี้แตะที่แก้มขาวนวลของใบหน้างาม ลากไล้ปลายนิ้วอ้อยอิ่งวนไปมาเจตนากวนอารมณ์ “แตะต้องตัวแล้ว แต่งได้แล้ว”
หยาบโลน ล่วงเกิน ไร้มารยาท...
ครั้งนี้ดวงตาหงส์เต็มไปด้วยความโกรธ มือเล็กสองข้างกำแน่น เข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงสิ่งใด “หม่อมฉันไม่ใช่..” พูดไม่ทันจบก็ตระหนกจนแทบหยุดหายใจ ตัวของอวี่เทียนเหมยไม่ถูกเม็ดฝนแล้ว เพราะครั้งนี้เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้นาง ร่มที่เขาถือเอาไว้จึงอยู่เหนือศีรษะของนางตามไปด้วย คนงามอ้าปากค้าง พูดไม่ออก ทั้งกลัวทั้งโกรธ
เขากวาดสายตาไปทั่วใบหน้าคนงาม พินิจดูอย่างตั้งใจ ลำคอแห้งผาก อยากเข้าใกล้ไปถึงขั้นแนบชิด วันนี้ดวงตาทำงานคุ้มค่าแล้ว กลั่นแกล้งจนพอใจก็รีบผละห่างถอยหนี...กลัวยับยั้งชั่งใจไม่ได้ เห็นโทสะของนางเขายิ่งพอใจ ยิ้มที่พยายามควบคุมเอาไว้ก็เปิดเผยจนได้
อวี่เทียนเหมยสบตากับเขา สายตาเขาทำให้นางมีโทสะมากขึ้น เข้าใจในความหมายของสายตาที่สื่อมา รอยยิ้มเหยียดหยันที่เขามอบให้ ทำนางลืมไปเสียสนิทว่าคนตรงหน้าคือใคร ลืมไปว่าตนเองถูกสั่งสอนมา ต้องทำให้เขาพึงใจไม่ใช่เกลียดชัง ความอดทนถูกทำลาย ท้ายที่สุดแล้วก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ มือเล็กขาวเนียนยกขึ้นมาตั้งท่าจะตบเข้าไปที่ใบหน้าอวดดีนั่น
ไม่ทันได้ทำตามใจคิด เสียงฟ้าผ่าดังอยู่ไม่ไกล มือง้างค้างอยู่ตำแหน่งเดิม สั่นเทิ้มทั้งตัว หลับตาเรียกหาสติตนเองชั่วครู่ เมื่อระงับอารมณ์ได้แล้ว คนงามลืมตาขึ้น หันมองไปรอบตัวจึงเพิ่งรู้ว่า ไม่แปลกเลยที่เขาพูดเช่นนั้นออกมา ในเมื่อห่างออกไปไม่ถึงสิบก้าว คือ ตำหนักบูรพา
ไร้ศักดิ์ศรีจริงดังคำเขาว่าให้ เดินตามเขามาจนเกือบถึงถิ่นพำนักอาศัยหน้าตำหนักของไท่จื่อ ไม่เท่ากับนำตัวเองมาถวายตัวให้เขาแล้วหรือ!
ยังไม่นับที่ วันนี้เจอกันวันแรก!
เขาไม่ชอบใจนางอยู่แล้วเป็นต้น พอทำเช่นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เขา หากใครรู้เข้า นางเสียหายจนไม่มีโอกาสได้เงยหน้าเป็นแน่
แม้จะถอยห่างออกไปแล้วบ้าง เขาก็ยังจ้องหน้านางอยู่อย่างนั้น เพราะเขาสูงกว่านางมาก อวี่เทียนเหมยต้องแหงนหน้ามองเขาจนคอตั้งอธิบายเจตนาที่แท้จริง “หม่อมฉันเพียงแค่อยากถามเหตุผล”
เขาไม่ตอบ
“หากไท่จื่อจะกรุณา ทรงบอกหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ ว่าเพราะเหตุใดจึงปฏิเสธหม่อมฉัน…” คนงามอ้าปากเหมือนจะพูดมากกว่านั้น แต่ก็เงียบเสียงลง ความคิดในใจของนางออกจะไม่สมควรไม่น้อย
อวี่เทียนเหมยหนาวจนสั่นไปทั้งตัว กระนั้นเขายังนิ่งมองนางเฉยอยู่ ไม่พูดสิ่งใดเพิ่มเติม แววตาเขาทำให้นางไม่พอใจ ดูอย่างไรก็รู้ว่ามากด้วยความดูถูกไม่ชอบหน้า รออยู่นานจนหมดความอดทนอดกลั้น บุตรสาวคนรองตระกูลอวี่ขอบตาร้อนผ่าว ไข่มุกเม็ดงามเริ่มไหลออกจากดวงตาหงส์กลายเป็นน้ำตาอาบย้อมเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า
แรกเริ่มไม่แน่ใจ โม่เทียนอวี่ยื่นหน้าของตนเองเข้าไปมองความผิดปกติให้ใกล้ยิ่งกว่าเดิม นึกว่าร่มของเขามีรอยรั่ว ก่อนที่พญามัจจุราชจะชาวาบไปทั้งตัว มีความรู้สึกหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้ชื่อปรากฏขึ้นมาอยู่ในใจ เมื่อเขาเห็นและรับรู้ได้เด่นชัดว่า ไม่ใช่น้ำฝน
แต่เป็นน้ำตา...
สาบานได้เลย
นับแต่เกิดจนเติบใหญ่เป็นบุรุษ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่ายี่สิบครั้ง เขาอยู่สนามรบ พบเจอบุรุษมากกว่าสตรี เห็นเลือดมากกว่าน้ำตา พบเจอหน้าใคร เขาต้องฆ่าให้เร็วที่สุด จะมีเวลาใดสนทนาจนได้เห็นน้ำตา!
แล้วไหนเลยจะเคยเห็นน้ำตาสตรี!
ความจริง...ใช่ว่าไม่เคยเห็น แต่เห็นต่อหน้าต่อตาใกล้ชิดจนลมหายใจปะทะใบหน้ากันเช่นนี้ นับเป็นครั้งแรก
ออกจะทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
คิ้วเข้มขมวดมุ่น เม็ดฝนคือฝน น้ำตาคือน้ำตา เขาไม่คุ้นเคยกับแววตาที่นางมองมา เพียงแต่รู้สึกว่า ไม่สบายใจเล็กน้อย
จะทำอย่างไรดี... เขายังไม่ทันได้รังแก น้ำตาของนางกลับกลายเป็นว่ารังแกเขาก่อน โม่เทียนอวี่ถอนหายใจ ใบหน้าเคร่งเครียด แววตาเศร้าสร้อยของคนงามนามอวี่เทียนเหมยทำให้เขาไปต่อไม่ถูก
ก่อนนางร้องไห้ นางถามเขาว่าเพราะเหตุใดเขาจึงปฏิเสธนาง
เขามีความรู้สึกต่อนางขึ้นมาครั้งแรก เป็นความรู้สึกที่เหมือนจะเรียกว่าสงสาร หากจะว่ากันตามความเป็นจริง นางหาได้มีความผิดอันใด เป็นเขาต่างหากที่ผิดต่อนาง คิดได้ดังนี้...เพื่อไม่ให้ตนเองรู้สึกผิดไปมากกว่าเดิม ด้วยเจตนาอันดี ต่อให้จะไม่ชอบแต่เขาก็ไม่อยากเห็นน้ำตา ตอบคำถามของนางออกไปว่า “ข้าปฏิเสธเจ้า เหตุผลมีข้อเดียว" เว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาหนึ่งประโยคสั้น ๆ "เพราะเจ้าไร้ประโยชน์”
อวี่เทียนเหมยสบตากับมารดา รู้สึกอุ่นใจขื้นมาอีกมาก ท่านแม่เข้าใจในเหตุผลของนาง อวี่เทียนเหมยคิดว่าตนเองยังสามารถทนได้ อยากจะลองพยายามดูอีกสักครั้ง ทนมาแล้วแต่แรก ทนอีกต่อไปก็ไม่เสียหาย รู้ดีว่าหากตนทนไม่ไหว ประเมินแล้วได้ข้อสรุปว่า ตั้งรับกับไท่จื่อไม่ได้ นางคงร้องไห้โฮกลับจวนแต่วันแรก ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านมานานถึงเจ็ดวัน แล้วจึงค่อยฟูมฟาย แม้จะโกรธเคืองพญามัจจุราชเพียงใด ก็ไม่มีความคิดจะยกเลิกมากเท่า ปรารถนาให้การหมั้นหมายยังคงอยู่ อวี่เสียนเห็นท่าทีของฮูหยินและบุตรสาว พลันเกิดความรู้สึกสับสนในใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะต้องเสียใจ หรือยินดีกับความเข้มแข็งทางจิตใจของเหล่าสตรีแซ่อวี่ ที่มีมากจนเกินความพอดีนี้ “แล้วเจ้ายินดีหรือ” บิดาถามไถ่บุตรสาว “แล้วข้ายกเลิกได้หรือเจ้าคะ” ส่งถามคำถามที่มีคำตอบตายตัวอยู่แล้วออกไป ไม่มีใครตอบนางในข้อนี้ได้สักคน ทุ่มเถียงกันอย่างไร มีเพียงคนตระกูลอวี่ก็ไม่อาจยกเลิกได้ อวี่เทียนเหมยยิ้มพร้อมน้ำตาก่อนจะพูดถึงเรื่องกังวลใจอีกหนึ่งเรื่องออกไป “พี่ใหญ่…” บุตรสาวพูดไม่ทันได้จบประโยค เพียงแค่กำลังจะเริ่มเท่านั้น อวี่ฮูหยินผู้เป็นมารด
ฟ้าฝนกำลังจะลาจาก ส่งท้ายฤดูกาลด้วยสายลมหนาว เป็นสัญญาณเตือนให้เตรียมพร้อมกับเหมันต์ฤดู อวี่เทียนเหมยสวมเสื้อคลุมอยู่แล้วยังคิดว่าหนาวอยู่ดี ต่อมาเมื่อเจียถิงเอาผ้าอีกผืนมาคลุมเพิ่มให้ จึงรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง คนงามเหลียวมองรอบห้องหาสาวใช้อีกคน แน่นอนว่าไม่มีเสียงพูดเจื้อยแจ้วเข้าหู แสดงว่าเจ้าตัวไม่อยู่ในบริเวณนี้ “ซูผิงเล่า” “นางไปเอายามาให้คุณหนูเจ้าค่ะ” เจียถิงตอบกลับมา รู้ว่าเจ้านายมองหาอะไร อวี่เทียนเหมยพยักหน้าว่ารับรู้ มองตามสาวใช้ คุ้นชินแล้วกับการหางานทำอย่างไม่หยุดหย่อนของเจียถิง แม้ไม่มีงานให้ทำ เจียถิงก็จะไปหาอะไรสักอย่างมาทำจนได้ ปากของเจียถิงนิ่งสงบ ลมไม่มีโอกาสเข้าปาก หากไม่มีคนถาม แต่มือของเจียถิงตรงข้ามกัน เคลื่อนไหวตลอดเวลา แตกต่างจากซูผิงที่ไม่มีทางอยู่นิ่ง ยิ่งกับการสนทนาหาข่าวที่ชอบอ้างว่าทำไปเพื่อเปิดหูตาให้กว้างไกล หรือเรียกอีกอย่างว่าการซุบซิบนินทานั้น ดูจะเป็นงานหลักมากกว่าการดูแลเจ้านายอย่างอวี่เทียนเหมย ซูผิงอยู่ไม่ติดที่ วิ่งไปมาทั้งวัน อยู่นอกจวนมากกว่าในจวน แต่ไม่มีผู้ใดตำหนิจริงจังเสียที เพราะซูผิงซุกซนเพียงแค่ในจวน เมื่อก้าวเท้า
พูดช้า ๆ เสียงหนักแน่น ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ เขาเคยชินกับการพูดโดยไม่จำเป็นต้องคอยสังเกตสีหน้าของใคร เมื่อพูดแล้วก็ลุกขึ้นยืน ฝนยังไม่หยุดตก สภาพนางเหมือนไก่ในน้ำแกง [1]เขาตัดสินใจทิ้งร่มในมือไว้ข้างตัวนาง เพียงแต่ปล่อยมือเร็วไปเล็กน้อย ร่มร่วงลงไปที่พื้น...ราวกับว่าเขาขว้างทิ้ง หาใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ โม่เทียนอวี่หันหลังกลับไปหาเจี้ยนฉางและถางจี้ ยื่นมือไปรับร่มอีกคันจากองครักษ์ สายฝนต้องถูกตัวไม่น้อย เขาร่างกายแข็งแรงยังรู้สึกเย็น แล้วกับสตรีนางหนึ่งเล่า... สลัดความรู้สึกผิดออกจากใจได้ไม่หมด ออกคำสั่งกับเจี้ยนฉางว่า “เรื่องวันนี้อย่าได้แพร่งพราย” เจี้ยนฉางรับคำ โม่เทียนอวี่วางใจ ไม่ต้องพูดให้มากมาย โดยปกติเขาสงวนถ้อยคำยิ่งกว่าทองคำ มีวันนี้พูดมากไปกว่าทุกวัน ชี้แจงมุมมองของตนเองตามคำถามแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง กลับกัน…. อวี่เทียนเหมยน้ำตาไหลพราก ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองตกต่ำมากถึงเพียงนี้ เขากล่าวว่านางไร้ประโยชน์! สามคำนี้เด่นชัดในหู สลักลึกยิ่งกว่าคำว่าไร้ศักดิ์ศรี! ไม่รู้ว่าเพราะตากฝนนาน หรือเพราะถ้อยคำที่ได้ยิน ส
อวี่เทียนเหมยนอนหงายอยู่บนเตียง เงยหน้ามองเพดาน สีหน้าบางครั้งซีดเซียวกว่าคนป่วยไข้ปกติธรรมดา บางคราก็แดงก่ำขึ้นมาโดยไม่รู้เหตุผล ผ้าห่มหลายผืนถูกคลุมไว้บนร่างกายซ้อนทับกันไว้ให้ความอบอุ่น คนงามปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัวเพราะพิษไข้ นับได้เจ็ดวันหลังจากวันนั้น นางไม่รอให้ฝนซารีบไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตำหนักฉือหนิง ฐานที่มั่นอันคุ้นเคยหนึ่งเดียวของอวี่เทียนเหมยในวังหลวง ไทเฮามีพระเมตตามากล้น พระราชทานเสื้อผ้าชุดใหม่ไหมล้ำค่าปลอบประโลมใจ คนงามมีใบหน้ายิ้มแย้มกลับจวน กลัวคนในครอบครัวเป็นกังวล ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามอาการทรุด ล้มป่วยจนได้ บิดามารดา เห็นสีหน้านางไม่ถามไถ่ อวี่เทียนเหมยไม่กล้าคาดเดา และไม่ได้บอกเล่าออกไปว่าเรื่องราวในวันนั้นเป็นอย่างไร ส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่ชอบโกหก หากถูกถามขึ้นมาไม่พ้นต้องบอกตามจริง ยิ่งคิดยิ่งอาย อยากย้อนเวลากลับไปได้ รู้สึกว่าตนเองขาดการไตร่ตรองไม่น้อย หากกลับจวน วันหน้าค่อยไปพบ บางทีคงดีกว่า ‘โง่เขลายิ่งนัก’ มีเพียงคำก่นด่า สมน้ำหน้าตนเอง เอาเถิด…หากไม่ทำก็ไม่หายข้องใจ อย่างไรก็ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้! ถอนหายใจอีกครั้ง หลับตาลงตั้
เมื่อนั้น… เรียกสามครั้งไม่หัน ครั้งที่สี่เขาจึงยอมหันหน้ากลับมามองนาง อวี่เทียนเหมยไม่สงวนท่าทีแล้ว วิ่งหน้าตั้งไปหาเขา ทว่าไหนเลยนางจะกล้าหอบหายใจต่อหน้า เหงื่อไหลพรากเพียงใด อวี่เทียนเหมยก็ไร้เสียง นางจ้องหน้าเขาไม่ยอมละสายตา กลัวว่าหากคลาดไปเพียงเสี้ยว เขาจะหายไปอีก เขาหยุดรออยู่ชั่วครู่ สตรีน่ารำคาญพยายามควบคุมลมหายใจ คงไม่อยากแสดงอาการเหนื่อยให้เห็น ยืนจ้องหน้าเขาด้วยท่าทีไม่น่าดู จะพูดก็ไม่พูดเช่นนี้ ไม่น่าเกลียดกว่าเดิมหรือ โม่เทียนอวี่ใช้โอกาสนี้กวาดสายตามองคนงามตั้งแต่หัวจรดเท้า ‘นึกว่าพวกจิตรกรวาดแต่งแต้มเสริมเติมแต่ง เห็นใบหน้าจึงรู้ว่าที่แท้งามกว่า’ โม่เทียนอวี่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจ ไม่ชอบใจที่นางงดงาม ! เหตุใดจะต้องมีเหตุผลให้หยุดคิดในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว! ไหนเลยจะชื่นชอบตัวเองยามนี้ รับรู้ถึงความรู้สึกแปลกไปอันรู้แก่ใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เพื่อให้ใจแน่วแน่ไม่แปรผัน โม่เทียนอวี่หันหลังกลับ เดินห่างออกไปทันที อวี่เทียนเหมยหายเหนื่อยทันควัน จะวิ่งก็ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว จึงก้าวเท้ายาวเดินตามเขาไปต่อ ไม่กล้าเรียกขานดังเช่นเมื่อครู่
อวี่คือแซ่ อักษรเหมยท้ายชื่อมาจากวันที่นางเกิดนั้นมีดอกเหมยบานสะพรั่งทั่วแผ่นดิน อักษรตัวสำคัญคือคำว่าเทียน ไหนเลยจะมาจากผู้อื่น เป็นเขาผู้นั้น องค์รัชทายาทโม่เทียนอวี่ อักษรเทียนนี้ ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่นาง พร้อมพระราชโองการระบุสัญญาหมั้นหมายที่มาเยือนถึงหน้าจวนตระกูลอวี่ สัญญาหมั้นหมายแตกต่างอย่างไรกับการผูกมัด ใคร ๆ ก็ว่าเป็นเรื่องมงคลยิ่ง มงคลอย่างไรกัน...แตกต่างจากพันธการอย่างไรหรือ อักษรเทียนกลางชื่อของอวี่เทียนเหมย ก็เป็นดังรับสั่งจากสวรรค์ ให้นางยึดเขาเป็นศูนย์กลางของชีวิต โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ ‘ชีวิตของหม่อมฉันไม่เคยได้ใช้เพื่อตนเอง ล้วนแต่เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น’ ไม่ชอบไม่ว่า ไม่เคยปรารถนาให้รัก...แต่มาหยามเกียรตินางต่อหน้าผู้คนมากมาย ไม่ละอายใจบ้างหรือ ตัวเป็นบุรุษกลับรังแกสตรีด้วยวาจา เขาอายุนับปีนี้ได้ยี่สิบสองปี มากกว่านางถึงห้าปี เด็กน้อยอายุห้าปี...อ่านตำรารู้ภาษาคนแล้ว ตรงข้ามกับนางซึ่งยังเป็นทารกน้อยนอนอยู่ในห่อผ้า หากไม่ยินดี เหตุใดจึงไม่ปฏิเสธด้วยตนเองตั้งแต่ยามนั้น ปล่อยเวลาล่วงเลยผันผ่าน จนถอยหลังกลับไม่ได้เพื่อสิ่งใด! องค์รัชทายาทโม่เที
มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัย ใช่ว่าปรารถนาให้พวกเขาเคียงคู่กันรักมั่นดั่งนกยวนยาง ขอเพียงหงส์เคียงคู่มังกรอย่างสงบสุข ขอความเมตตาเล็กน้อยจากโม่เทียนอวี่ให้แก่อวี่เทียนเหมย มันยากมากนักหรือ! “แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร” พระองค์ไม่ตรัส โม่เทียนอวี่ก็ไม่พูด หากทรงไม่ริเริ่มการสนทนาก็ไม่พ้นไม่ได้ความ “แปดเก้าไม่ห่างสิบ”[1] ‘ห่างมากทีเดียวเด็กโง่!’ ทรงเข้าพระทัยในความหมายของถ้อยคำ แต่จะให้ทำตามไม่ได้เด็ดขาด ไท่จื่อเฟยก็คือไท่จื่อเฟย ใช่ว่าเป็นสตรีขององค์รัชทายาทแล้วจะมีฐานะเทียบเท่ากันทุกตำแหน่ง! ความจริงทรงไม่จำเป็นต้องถามเหตุผลเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พระราชโองการเดียว โม่เทียนอวี่ก็ไม่อาจขัดขืน อยากบังคับเหลือเกิน แต่บังคับไม่ได้ เพราะพระโอรสของพระองค์ โม่เทียนอวี่เป็นผู้กล้าตัดข้อมือ [2]เด็ดขาดไม่เกรงกลัว ตัดสินใจแล้วไม่พิจารณาซ้ำสอง เอาเถิด… มรรคาสามพัน สวรรค์ไม่ตัดหนทางมนุษย์ [3]โอกาสใช่ว่ามีหนเดียว อย่างไรเสีย...ก็ไม่มีคำปฏิเสธว่าจะไม่แต่ง ไม่ย่อท้อ ไม่หมดหวัง จึงจะสมหวัง “เช่นนั้น หากข้าบังคับเจ้า...ประกาศพระราชโองก
การเดินเท้าเงียบงัน ไม่มีกระทั่งเสียงรองเท้ากระทบพื้น อวี่เทียนเหมยเดินตามเสิ่นกงกงมาเรื่อย ๆ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีกเช่นเดียวกับผู้เฒ่าที่ตั้งหน้าตั้งตานำทาง จวบจนเดินเข้ามาในเขตหวงห้าม อวี่เทียนเหมยมองไปรอบ ๆ ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน ยังเป็นเฉกเช่นครั้งล่าสุดที่ได้มาเยือน ห้องทรงพระอักษร พื้นที่ส่วนพระองค์ของโม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ ฝ่าบาททรงแยกไว้เป็นสัดส่วนกับห้องทรงงาน อวี่เทียนเหมยหายใจผิดจังหวะเล็กน้อย ยามเฝ้ารอ...เหตุใดจึงนานนัก ยามถึงเวลา...เหลือทางข้างหน้าอีกเพียงแค่หนึ่งก้าว นางกลับเริ่มไม่แน่ใจราวกับว่าที่ผ่านมายังเตรียมตัวได้ไม่ดีพร้อม อยู่ ๆ ใจก็เต้นแรงอีกครั้ง มือสองข้างบีบเข้าหากันแน่น อึดอัดจนหายใจไม่ค่อยสะดวก ทั้ง ๆ ที่ห้องโปร่งโล่งสบายอากาศถ่ายเท หากไม่ใช่ว่ารู้สึกไปเอง เหมือนจะมีเหงื่อออกที่ใบหน้าเล็กน้อย เข้าเฝ้าฝ่าบาทร้อยครั้งไร้ความตื่นเต้น อวี่เทียนเหมยไม่เคยเป็นเช่นนี้ โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ พญามัจจุราชองค์รัชทายาทแห่งต้าเฉวียน เขาทำให้นางผิดแปลกไปจากเดิม เขาจะเป็นอะไรก็เป็นไป อวี่เทียนเหมยหาได้ใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคู่หม
แคว้นต้าเฉวียนรัชศกฮุ่ยอัน,โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้วังหลวง . ช่วงท้ายปลายฤดูฝน พายุโหมกระหน่ำแทบทุกวันไม่เว้นว่าง ยามนี้เป็นเวลากลางวัน ทว่าท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีดำมืดมิด เสียงลมพัดหวีดหวิวสอดประสานกับเสียงฟ้าร้องคำราม เมฆฝนกลุ่มใหญ่เคลื่อนคล้อยใกล้เข้ามาหา บ่งบอกว่าช่วงเวลาของพายุยังอีกยาวนาน หากบอกว่าสวรรค์พิโรธโกรธเคืองคงเชื่อได้โดยไร้ข้อสงสัย วันนี้ที่เฝ้ารอ วันที่ควรจะเป็นมงคลยิ่ง กลับถูกธรรมชาติทำให้หวั่นใจไปเสียแล้ว เทพธิดากำลังเดินเยื้องย่างท่ามกลางพายุฝน หากมีใครสักคนมาเห็นย่อมมีเสียงชื่นชมเช่นนี้ เพียงแต่ว่าฝนห่าใหญ่ทำให้มนุษย์หลีกเร้นหลบซ่อนหนี คนงามซึ่งหวังจะจำแลงกายเป็นเทพธิดาท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายจึงต้องผิดหวัง หนทางเดินเข้าสู่วังหลวง ไร้ผู้คนสวนทาง อัสนีบาตกระทบเข้านัยน์ตา โสตประสาทตื่นตัวยิ่งกว่าเคย ท่าทางภายนอกคนงามดูสงบนิ่ง ทว่าในใจหาได้เป็นเช่นนั้น ร้อนรนยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ต้องให้ใครมาบอก ก็รู้ได้ทันที ‘วันนี้ฤกษ์ไม่ดีเสียแล้ว’ คนงามถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เวทนาในชะตาของตน อากาศเย็นจนหนาวสั่น ละอองฝนสัมผัสถูกตัวไม่น้อย แต่กลับดับความร้อนภ