อวิ๋นจางหมิ่นก็คือหนึ่งในบรรดาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนท่านแม่ทัพผู้เป็นนายผู้นี้มาตั้งแต่ยังเยาว์ ทั้งยังเป็นผู้ที่ตั้งชื่อรองให้เขาอีกด้วย
โดยทั่วไปแล้ว คนในครอบครัวจะเป็นผู้ตั้งชื่อรองให้บุตรธิดา ทว่าก็มีกรณีที่ผู้เป็นอาจารย์ตั้งชื่อให้ลูกศิษย์ของตนใหม่เช่นกัน อวิ๋นจางหมิ่นซึ่งยามนั้นเป็นเพียงหมอธรรมดาๆ ที่คนบางส่วนเรียกขานไปเองว่า ‘หมอเทวดา’ เป็นผู้หนึ่งที่ชมชอบวิถีปฏิบัตินี้ เขาตั้งชื่อรองให้กับลูกศิษย์ผู้สูงส่งของตน โดยดูตามดวงชะตาราศี
ตามปกติแล้ว ลูกศิษย์คนนี้ของเขาค่อนข้างเฉยเมย สงวนท่าที ยามนี้กลับออกอาการร้อนรน เกรงว่าข้างในกระโจมจะเกิดเรื่องใหญ่...
ดูท่าหยางหยางของข้าจะเกิดเรื่องแล้ว!
อวิ๋นจางหมิ่นรีบสาวเท้าเข้ากระโจมทันที
จนถึงตอนนี้ผู้เฒ่าอีกสามคนที่เหลือเพิ่งจะมาถึง ทันเห็นเพียงชายเสื้อคลุมสหายเฒ่า
“เฮอะ! อวิ๋นจางหมิ่นนะอวิ๋นจางหมิ่น มิน่าเล่า บิดามารดาจึงตั้งชื่อไว้ว่าอวิ๋นจางหมิ่น!” สามผู้ชราบ่นไล่หลัง ก่อนทรุดกายลงนั่งบนม้านั่งแถวนั้นด้วยอาการเหนื่อยหอบ
ทันทีที่ก
“เดี๋ยว...ฮึก...” หนิงซินพยายามกลั้นเสียงร้อง ทั้งที่โดนกระตุ้นจนแทบทนไม่ไหว เขื่อนที่กั้นสติสัมปชัญญะใกล้จะพังทลายอยู่รอมร่อทั้งที่รู้อยู่เต็มอก หยางหยางกลับไม่อาจหยุดตนเอง ทั้งๆ ที่ไม่เคยใส่ใจกับเรื่องพรรค์นี้เขาลากลิ้นเลียไล้ ใช้ปลายลิ้นสร้างความสุขให้สตรีของตน ยิ่งเห็นนางพยายามกลั้นเสียงอย่างเอาเป็นเอาตายกลับยิ่งหยุดไม่อยู่ จนกลายเป็นรังแกนาง ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งหนักหน่วงยิ่งขึ้นหนิงซินหูอื้อตาลาย นางจิกปลายเล็บสั่นๆ บนฟูกบรรเทาความรู้สึก แต่กลับไม่ช่วยอะไร กว่าจะรู้ตัวบางสิ่งที่ทั้งยาวและใหญ่ตื่นตัวเต็มที่ก็สอดแทรกเข้ามา มันทั้งคับแน่นและอุ่นร้อน ร้อนเสียจนน่ากลัวว่าจะเผานางมอดไหม้“...เจ้าทำข้าเสียวินัยทัพหมดแล้ว...” เขากระซิบหนิงซินหมั่นไส้ถ้อยคำนั้นนักไม่ทันจะโต้ตอบ คนด้านบนก็เริ่มโยกขยับ ทำเอานางต้องรีบเม้มริมฝีปากกลั้นอารมณ์ที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง มือขาวผ่องทั้งสองข้างจิกฟูกเอาไว้แน่นจู่ๆ นางก็นึกขึ้นได้“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน...”“หืม...”“ถ้ามีคนเข้ามา
อู่เฟิงส่ายหน้า กล่าวด้วยใบหน้าอาบรอยยิ้มทันที“เรื่องเช่นนั้นสมควรให้ท่านแม่ทัพของพวกเราเป็นผู้กระทำเพื่อองค์หญิงรองคงเหมาะกว่า ท่านแม่ทัพของพวกเราทั้งเป็นห่วงและหวงแหนองค์หญิงรองเป็นอย่างยิ่ง อย่าได้กล่าวถึงเจรจากับองค์หญิงเลย ผู้น้อยเช่นพวกเกล้ากระหม่อมยังมิกล้าเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงรองสักครั้ง”คำพูดเหล่านี้ นอกจากจะตอกย้ำความสัมพันธ์ยิ่งกว่าชิดใกล้ระหว่างองค์หญิงรองและแม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ ยังเป็นการบอกกรายๆ ให้แคว้นป๋าย ยอมเจรจาสงบศึก สวามิภักดิ์ เปิดทางให้ท่านแม่ทัพของตนเข้าวังหลวง เพื่อมาดูดอกไม้ที่ว่านั่นด้วยตนเอง!อู่เฟิงคาดว่าจะเห็นมารดาผู้หนึ่งหน้าเผือดสี ผิดคาดเล็กน้อยที่พระราชชายาป๋ายอ๋องฟังแล้วกลับสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด ต่างจากป๋ายอ๋องที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมดอู่เฟิงเข้าใจได้ในทันที...อ้อ...ที่แท้แล้วเป็นพระราชชายาผู้นี้กระมัง ที่กุมอำนาจตัดสินใจที่แท้จริงของแคว้นป๋าย...ที่พระนางออกมาจากหลังม่านยามนี้ก็มิใช่เพราะเป็นห่วงสวามีดังปากว่า แต่เป็นเพราะป๋ายอ๋องไร้สามารถ มิอาจกระทำการด้วยตนเองต่างหาก!
แม้ยามนี้ทุกผู้ทุกคนในท้องพระโรงจะกำลังเดือดดาล ทว่านอกจากอู่เฟิงและผู้ติดตามแล้ว ยังมีอีกผู้หนึ่ง ที่รู้สึกเหมือนจมน้ำอยู่ดีๆ ก็มีมือที่แข็งแกร่งและมั่นคงมาฉุดขึ้นจากน้ำพระราชชายาป๋ายอ๋องที่ลอบฟังอยู่หลังฉากกั้น...มารดาขององค์หญิงรอง หนิงซิน ฟังความแล้วนัยน์ตาพลันเป็นประกายวาบวับ นางรีบป้องปากกระซิบขันทีข้างกาย ให้ไปกระซิบบอกถ้อยความแก่ป๋ายอ๋องทันทีขันทีไม่รอช้า รีบไปกระซิบบอกต่อถ้อยคำสำคัญ“ท่านอ๋อง...พระราชชายากล่าวว่านี่คือโอกาสสำคัญ ดอกไม้ในอุทยานกำลังงดงาม ไม่สู้ให้ขุนพลอู่เฟิงไปพักผ่อนสักสองคืน...พระราชชายายินดีกล่าวประโยคเหล่านี้เอาตัวเข้ารับหอกและดาบแทนท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”ป๋ายอ๋องฟังแล้วก็ตอบเสียงเบา“ให้นางเข้ามา”ที่แท้แล้วท่านอ๋องก็ขลาดเขลาถึงเพียงนี้...ขันทีส่งสารยังอดดูถูกในใจมิได้ไม่นานนัก พระราชชายาป๋ายอ๋องในชุดสุภาพทว่างดงามก็เดินออกมาจากด้านในด้วยกิริยาอ่อนหวานนุ่มนวล“ท่านอ๋อง...” นางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับโลหิต พันแผลให้ป๋ายอ๋องอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มี
พระราชวังกลาง แคว้นป๋าย ขึ้นชื่อเรื่องการประดับประดาด้วยหยกและหินอ่อนเนื้อดีสีขาวพิสุทธิ์ มองไปทิศทางใดก็รู้สึกได้ถึงความสงบไว้สง่า ทุกตารางล้วนดูสูงส่งภูมิฐานสมกับที่เป็นแคว้นใหญ่อันมีประวัติเก่าแก่ยาวนาน ซ้ำยังเป็นแคว้นอันเป็นที่ตั้งของศาสนสถานโบราณของเหล่าผู้นับถือนิกายแสงสว่าง...เฮยเซ่อเย่ว์มิได้นับถือนิกายนี้ พวกเขาเหล่านักรบล้วนนับถือเทพสงครามกันมาช้านาน แต่ก็ไม่ได้กีดกันไม่ให้นักบวชนิกายแสงสว่างเผยแพร่ศาสนาไปยังเฮยเซ่อเย่ว์ กระทั่งยามนี้ที่เกิดมีสงครามระหว่างแคว้น นักบวชเหล่านั้นในเฮยเซ่อเย่ว์ไม่เพียงยังอยู่ดีมีสุข ยังได้รับการปกป้องจากเหล่าผู้คนที่ชิงชังแคว้นป๋ายและโกรธเกลียด ‘องค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ หนิงซิน’ จนไม่อยากอยู่ร่วมแผ่นดินกับ ‘คนของนาง’อู่เฟิง ขุนพลนักการทูตฝีมือฉกาจ นึกถึงเรื่ององค์หญิงรองแคว้นป๋ายแล้วก็ให้สลดใจ อดคิดไม่ได้ว่าตัวจริงขององค์หญิงที่ถูกตราหน้าว่าเป็นหญิงแพศยา แท้จริงแล้วก็หาได้ร้ายกาจดังคำเล่าลือ ตรงกันข้าม นางติดจะ...น่าสงสาร ทั้งยังมีจิตใจกล้าหาญ ยอมเสียสละตนเองเพื่อแผ่นดินและราษฎร ยอมแบกรับความผิดบาปทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ห
“ทำไมเล่า หรือเจ้าคิดว่าบิดาจะดื้อรั้นจนไม่มองความเป็นจริง?”เขากล่าวได้ตรงจุดเป็นอย่างยิ่ง จนหนิงซินไม่รู้จะเอ่ยคำใดระยะหลังมานี้ เสด็จพ่อของนางลุ่มหลงในอำนาจ มุ่งมั่นในการสั่งคมบารมี ทำถึงขั้นใช้หลานชายหลานสาวในราชสกุลเป็นเบี้ย แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เหตุที่นางยังอยู่รอดปลอดภัย ยังมิได้แต่งให้ผู้มีอำนาจใดมาจนป่านนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมีราชสาสน์สู่ขอมาจากทั่วทุกสารทิศ จนเกิดเรื่องแย่งชิงตัวนางขึ้นมาเสียก่อน และหลังจากนั้น นางยังฝ่าฝืนคำสั่งเสด็จพ่อ ชิงเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอารามหลวงในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เสด็จพ่อผู้เลื่อมใสศรัทธาในเทพยดาฟ้าดิน มิอาจบังคับให้นางแต่งให้ผู้ใดโดยง่ายเสด็จแม่ของนางก็อีกผู้หนึ่ง พระนางคิดนั่งบนภูดูเสือกัดกัน ตั้งใจจะให้บุรุษรบราฆ่าฟันกันจนเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียว แล้วถึงค่อยยกนางให้ยอดบุรุษผู้ซึ่งจะเป็นใหญ่ในใต้หล้า ยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าพระราชบิดาของนางเสด็จแม่ของนางเองก็ช่างโหดร้ายนัก ไม่แน่ว่าเรื่องวุ่นวายทุกอย่างที่เกิดขึ้นยามนี้ ครึ่งหนึ่งอาจเป็นฝีมือของเสด็จแม่ก็เป็นได้คิดๆ ดูแล้วก็น่าขัน.
เพื่อยุติความเข้าใจผิดที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อแคว้นป๋าย หนิงซินข่มความอัปยศและความอับอาย บอกเสียงสั่น“ทั้งหมดก็เพราะท่านทำให้ข้ารู้สึกมากเกินไป!”หยางหยางนิ่งงันไปชั่วขณะเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินคำนี้ใช่ว่าเขาจะไม่มั่นใจในตนเอง ทว่า...คำพูดนี้...จากปากนาง...หยางหยางพลันรู้สึกหัวใจพองโต มุมปากทั้งสองข้างโค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่เห็นท่าทีเช่นนั้นของเขา หนิงซินก็โกรธจนน้ำตาไหล แต่ไม่รู้ว่าโกรธอะไรกันแน่หยางหยางตกใจที่จู่ๆ สตรีในอ้อมกอดก็หลั่งน้ำตาเมื่อครู่นางเพิ่งกล่าวว่าเขาทำให้นางรู้สึกดีไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใด...รอยยิ้มบนใบหน้าคร้ามแดดพลันเหือดหาย เขารีบประคองร่างน้อยๆ เข้ากอดแนบอก ลูบศีรษะปลอบโยนนาง“ข้าหาได้หัวเราะหรือยิ้มเยาะเจ้า องค์หญิงน้อย ข้าเพียงแต่...ดีใจ...” สาบานได้ว่านี่เป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่งกว่าอ่อนโยนชนิดที่เขาไม่เคยใช้มาก่อนในชีวิต“ดีใจที่ทำให้ข้ากลายเป็นสตรีเช่นนี้หรือ?” นางกลั้นสะอื้นจนตัวโยน“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร...ข้าเพียงดีใ