“แต่ผมสงสัยว่าทำไมเนเน่ถึงได้ยอมมากับพี่ได้ทั้ง ๆ ที่เธอรู้ว่าจะต้องเจอผม”
“แล้วมันจะสำคัญอะไร ไม่ว่าเธอจะได้เจอหรือไม่ได้เจอกับแกถึงยังไงตอนนี้เนเน่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะกลับมาคบกับแกได้เหมือนอย่างเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว อย่าลืมสิคริส ตอนนี้แกมีครอบครัวแล้วนะ แกแต่งงานจดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงที่คู่ควรกับแกแล้ว”
“แต่พี่ก็รู้ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความต้องการของผม พี่ก็รู้ดีว่าที่ผมต้องแต่งงานกับลาริสามันด้วยเหตุผลอะไร”
“แต่แกก็แต่งงานกับเธอแล้วคริส ตอนนี้ก็ถือว่าแกเป็นผู้ชายที่มีครอบครัวแล้ว ไม่ได้อยู่ในสถานะของหนุ่มน้อยที่อยากจะควงใครไปไหนมาไหนหรืออยากจะไปจีบผู้หญิงที่แกพอใจเหมือนอย่างเมื่อก่อนได้อีก แกมีภาระที่จะต้องรับผิดชอบและคำว่าครอบครัวมันก็ยิ่งใหญ่มาก มันคือความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่จะแสดงภาวะผู้นำออกมา และอย่าลืมว่าแกอยู่ในตระกูลซาเวียร์ ตระกูลของเราเป็นตระกูลที่ใครก็รู้จักในแวดวงของนักธุรกิจ แกต้องวางตัวเป็นบุคคลที่น่านับถือด้วยการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่แกจะต้องรับผิดชอบยังไงล่ะ”
“มันสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอครับพี่ สำหรับผมแล้วสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตของผมควรจะเป็นความรัก”
“รักให้ตายยังไงแกก็ต้องรู้จักรับผิดชอบ คนเราไม่ใช่สักแต่ว่าจะรักหรือว่าจะทำอะไรตามความพอใจของตัวเองสิ่งสำคัญที่สุดที่อยู่เหนือกว่าอะไรทั้งสิ้นก็คือภาระหน้าที่ แกต้องเตือนตัวเองเอาไว้ให้ดีนะคริสต์ว่าชีวิตแกตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แกมีสิทธิ์ที่จะรักหรือชอบผู้หญิงคนไหนในโลกก็ได้ แต่แกต้องเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในจินตนาการเพราะผู้หญิงคนเดียวในชีวิตของแกตอนนี้ก็คือ ลาริสา”
นิโคลัสกล่าวด้วยความเยือกเย็นแต่กลับยิ่งเหมือนสุมความร้อนเข้าไปในหัวใจของน้องชายที่แม้ยืนนิ่งแต่คริสก็ไม่อาจจำนนต่อความรู้สึกที่เขายังไม่อาจสลัด ผู้หญิงคนนั้น ออกจากสมองได้
โรงพยาบาลนิวยอร์คเวลา 9:00 น
“อาการน้องชายของคุณดีขึ้นแล้วนะคะคุณภิณไลย์ญาแต่ว่าตอนนี้หมอยังไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมค่ะเพราะจะต้องดูอาการของคนไข้อีกสักระยะจนกว่าจะแน่ใจว่าเขาปลอดภัยดีแล้วและไม่มีอาการข้างเคียงอย่างอื่นจริง ๆ”
นางพยาบาลสาวกล่าวกับภิณไลย์ญา วันนี้เธอรีบออกมาจะคฤหาสน์ของตระกูลซาเวียร์ตั้งแต่เช้าตั้งใจว่าจะมาเยี่ยมดูอาการของน้องชายหลังจากที่เขาเข้ารับการผ่าตัดช่วยชีวิตจากอุบัติเหตุซึ่งหลังจากการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดีจากการที่เธอยินยอมทำตามข้อเสนอของนิโคลัสด้วยการรับเงินจากเขาในการช่วยเหลือชีวิตน้องชายให้พ้นขีดอันตรายหลังเกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงก็นับเป็นเวลาเกือบสามเดือนแล้วที่เธอไม่ได้แวะเวียนมาหาพี่น้องชายคนเดียวของเธอเลยและบ่อยครั้งที่แม่ของเธอโทรมาถามก็จะต้องบอกอาการของน้องชายตามที่ได้รับรู้จากการแจ้งของทางโรงพยาบาลอีกที
แม้รู้สึกอึดอัดและคับใจต่อสถานการณ์ที่รุมเร้าอยู่ตอนนี้แต่สิ่งที่เธอทำได้ก็คือการตั้งความหวังว่าพิชญ์ น้องชายคนเดียวจะกลับคืนมาใช้ชีวิตได้ตามปกติจากความช่วยเหลือทางด้านการเงินของมหาเศรษฐีหัวใจด้านชาอย่างนิโคลัส เธอจำเป็นต้องรับข้อเสนอของเขาโดยไม่มีทางเลือกและจำเป็นต้องอยู่ยังเจ็บช้ำถึงอย่างนั้นภิณไลย์ญาก็ต้องยอมรับสภาพโดยไม่มีเงื่อนไข เธอพยักหน้าและพูดกับนางพยาบาลว่า
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดูแลน้องชายของดิฉันอย่างดี ไม่ทราบว่าคุณหมอจะอนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้เมื่อไหร่คะ”
“ถ้ายังไงเราจะแจ้งให้คุณทราบอีกทีนะคะเพราะคนไข้เคสนี้อยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอเป็นพิเศษและเราก็จะต้องรายงานอาการของคนไข้ให้คนของคุณซาเวียร์ได้รับทราบด้วย ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะถึงยังไงตอนนี้น้องชายของคุณก็พ้นขีดอันตราย เราเพียงรอดูอาการของเขาแล้วเฝ้าระวังอาการข้างเคียง ดิฉันคิดว่าอีกไม่นานเขาจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้ค่ะ”
“ขอบคุณมากนะคะ...ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ”
กล่าวได้แค่นั้นภิณไลย์ญาก็ต้องปลีกตัวกลับออกมาเพราะเธอรู้ดีว่าถึงอยู่ไปก็ยังไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมน้องชายได้เธอเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นมากกว่าเก่าและยังนึกถึงตอนแรกที่รับรู้ว่าน้องชายเกิดอุบัติเหตุต้องเข้ารับการผ่าตัด ในเวลานั้นหัวใจของเธอเรากับหลุดหายไปนั่นเป็นเพราะว่าพิชญ์น้องชายคนเดียวของเธอก็เป็นอีกหนึ่งเรี่ยวแรงสำคัญที่ช่วยพยุงครอบครัวและมารดา พิชญ์เป็นเด็กหนุ่มที่ขยันทำงานซึ่งก็เหมือนเธอ ต่างคนต่างช่วยกัน ก็ในเมื่อเธอกับน้องชายเหลือแค่แม่คนเดียวเท่านั้น ขณะที่เดินออกมาจากโรงพยาบาลและมัวแต่คิดถึงเรื่องที่นางพยาบาลพูดเมื่อครู่ภิณไลย์ญาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง
นิโคลัสหยิบอะไรบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อของเขาด้วยมือข้างหนึ่ง มันเป็นกล่องกำมะหยี่สีชมพูเล็ก ๆ และเมื่อเขาเปิดมันออกก็ทำให้เป็นภิณไลย์ญาดวงตาเบิกกว้างเพราะภายในนั้นเป็นแหวนแพลตตินัมประดับเพชรแม้เม็ดไม่ใหญ่แต่ประกายของมันก็ล้อเล่นกับแสงแดดอุ่นที่สาดส่องลงมาอาบไล้ เขาบรรจงหยิบมันและสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของภิณไลย์ญาก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงไปประทับริมฝีปากของเขาบนเรือนแหวนที่อยู่บนนิ้วของเธอหญิงสาวมองดูราวกับไม่อยากเชื่อสายตา นิโคลัสเงยหน้าขึ้นและเอ่ยว่า“คริสเคยบอกผมเหมือนกันว่าคนอย่างผมคิดถึงแต่ตัวเองและเห็นค่าของเงินเป็นใหญ่ ผมไม่เคยคิดถึงใคร แต่ตอนนี้ผมอยากพิสูจน์ให้น้องชายของผมได้เห็นว่าผมได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เขาเคยว่าเอาไว้ ผมอาจจะเลวร้ายกับคุณมาก่อนแต่คนเราก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้นี่ไม่ใช่เหรอ คุณอาจไม่ต้องอภัยให้ผมวันนี้ มันอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี ว่าแต่คุณจะยินยอมให้โอกาสนั้นกับผมไหม”“บอกแล้วไงคะว่าฉันต่ำต้อยมากเกินไป คนที่ต้องขอร้องโอกาสคุณเป็นฉันมากกว่าที่จะร้องขอจากคุณ”“ผมจะไม่ให้คุณร้องขออะไร แต่เป็นผมที่จะต้องขอร้องคุณ”นิโคลัสทรุดตัวลงนั่
“แต่ฉันยังเป็นหนี้คุณนะคะนิค ฉันเป็นหนี้คุณตั้ง 3 ล้านดอลลาร์ ฉันจะพยายามหามันมาใช้คุณ”“ลืมเรื่องนั้นไปเถอะนะ รู้หรือเปล่าว่าจริง ๆ ผมลืมมันไปตั้งนานแล้ว”“ฉันรู้ค่ะนิคว่าเงินสำคัญสำหรับคุณเสมอและไม่ใช่สิ่งที่คุณจะลืมมันได้ง่าย ๆ”“อยากรู้ไหมว่าผมลืมมันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมลืมมันไปตั้งแต่ที่คุณเป็นของผมครั้งแรก”เธอเม้มปากแน่นน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณคงอยากให้ฉันดีใจ คุณคงแค่อยากจะปลอบใจฉัน”“เปล่าเลย...นี่เป็นคำสารภาพแบบโง่ ๆ ของคนที่ไม่เคยมีและไม่เคยเห็นค่าในความรักอย่างผม แม้แต่จะพูดคำนี้ก็ยังไม่เคย ผมได้แต่ภาวนาขอให้คุณเข้าใจ”“ฉันเข้าใจว่าคุณไม่เคยรักใครไม่เคยจริงจัง”“ผมอาจจะไม่เคยรักใครอย่างที่คุณว่าแต่ผมไม่เคยหลอกผู้หญิงเล่น ๆ และคุณก็เป็นคนแรกที่ทำให้ผมได้เห็นคุณค่าของความรักจากที่ผมรู้จักแต่งการใช้เงิน รู้ไหมว่าตอนที่คริสต์อยากจะใช้หนี้แทนคุณมันทำให้ผมโกรธมาก ผมรู้ว่าผมกำลังหึงคุณและคิดบ้าๆ ว่าคริสมันคงอยากได้คุณกลับคืนไป ผมลืมไปว่าสัมพันธภาพอันยิ่งใหญ่ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงมันไม่ได้มีแค่เรื่องนั้น แต่มันหมายถึงความรักและความหวังดี คริสหวังดีกับคุณมากกว่าที่จะรู้สึกรั
“ผมยอมรับนะว่าตอนแรกตกใจมากที่รู้เรื่องระหว่างคุณกับนิคแต่มันก็ทำให้ผมมาคิดได้ในหลาย ๆ เรื่องว่าที่ผ่านมาหลาย ๆ เหตุการณ์และเรื่องแย่ ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผมมันก็ล้วนเกิดขึ้นมาจากตัวผมเองและคนที่เข้ามาคอยจัดการให้ผมทุกสิ่งทุกอย่างก็คือพี่ชายของผม บางทีถ้าเราสองคนยังรักกันมันก็อาจจะทำให้ผมไม่ได้คิดถึงสิ่งสวยงามที่สุดที่ผมทอดทิ้งไปนานนั่นก็คือโซอี้ ถึงแม้ว่าผมจะต้องเลิกกับลาลิสาแต่มันก็ทำให้ผมคิดได้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือความรับผิดชอบและมันทำให้ได้มองเห็นตัวเอง มองเห็นความจริงว่าถ้าหากผมยังไม่กล้าคิดและตัดสินใจคงจะไม่มีวันค้นพบว่าต้องจัดการชีวิตตัวเองยังไงบ้างการไปอยู่ฝรั่งเศสมันเกิดจากการเลือกของผมเองและนิคก็ไม่ปฏิเสธที่จะให้โซอี้ไปอยู่กับผมเพราะอย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังมีคุณกับชีวิตเล็ก ๆ”“ฉันกับเขาไม่คู่ควรกัน เหมือนที่เขามองฉันกับคุณว่าไม่คู่ควร ฉันต่ำต้อยเหลือเกินค่ะคริส ฉันคิดว่า...”“ว่าไงล่ะคริส...จะไปกันแล้วเหรอ?”เสียงทุ้มห้าวที่ดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของคริสและภิณไลย์ญาแต่โซอี้กลับกระโดดลงจากโซฟาแล้ววิ่งเข้าไปหาเจ้าของเสียงทรงอำนาจนั้น นิโคลัสช้อนร่างเด็กน้อยขึ้นอุ้มและจูบแ
“คุณอาคริสจะพาหนูไปฝรั่งเศสค่ะ”โซอี้เป็นฝ่ายตอบขณะที่นั่งอยู่บนตักของคริส เขาโอบกอดหนูน้อยเอาไว้และจูบแก้มยุ้ยเบาๆแสดงความรักความห่วงใยพร้อมกันนั้นก็มีรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลา“ผมจะมารับโซอี้ไปฝรั่งเศสวันนี้ นี่ก็ให้คนของผมจัดกระเป๋ากับของใช้เรียบร้อยแล้ว พวกเขารอผมอยู่ที่สนามบิน”กล่าวจบเขาก็จับเด็กหญิงให้เลื่อนลงจากตักและนั่งบนโซฟา เขาลุกขึ้นและก้าวเข้าไปหาภิณไลย์ญาซึ่งตอนนี้เธออยู่ในชุดนอนสวมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าไหมสีละมุนตา คริสหยุดยืนตรงหน้าเธอ รอยยิ้มจางผุดขึ้นบนมุมปากได้รูป“เป็นยังไงบ้าง คุณสบายดีแล้วใช่ไหม?”“ฉันสบายดีค่ะ ว่าแต่คุณเถอะค่ะ คุณจะไปฝรั่งเศสแล้วจะพาโซอี้ไปด้วยเหรอคะ”“ใช่...ผมจะไปอยู่ที่ฝรั่งเศสและรับตำแหน่ง CEO ของบริษัทในเครือของซาเวียร์กรุ๊ปที่นั่น”“คุณลาริสาไปด้วยใช่ไหมคะ พวกคุณเข้าใจกันแล้วใช่ไหมคะ”เขาส่ายหน้าและตอบว่า “ผมหย่ากับลาลิสาแล้ว เราเพิ่งหย่ากันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง”“ว่ายังไงนะคะ! คุณหย่ากับลาริสา...คุณพระ...เธอคงโกรธเรื่องของฉันอย่างนั้นสินะคะ ฉันต้องขอโทษด้วยค่ะคริส ฉันไม่ตั้งใจที่จะทำให้ครอบครัวของคุณต้องแตกหักกันอย่างนี้เลย”เขาส่ายหน้าอีก
“คุณน้าเนเน่นอนพักผ่อนก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูจะเช็ดตัวให้คุณน้านะคะ”โซอี้กระวีกระวาดทำเหมือนผู้ใหญ่ไม่มีผิด เด็กหญิงวิ่งออกไปจากห้องนั้นนิโคลัสจึงหันมาทางภิณไลย์ญาที่นอนบนเตียงโดยมีเขานั่งอยู่ข้าง ๆ“ผมรู้ว่าคุณไม่สบายและต้องการพักผ่อน”“ใช่...ฉันต้องการพักผ่อนแต่เป็นบ้านของฉันไม่ใช่ที่นี่ ฉันอยากกลับบ้าน ถ้าคุณไม่ว่างไปส่งฉันก็เรียกคนขับรถของคุณให้พาฉันไปส่งก็ได้ค่ะนิค”“วันนี้คนของผมไม่มีใครว่างหรอกนะ”“ฉันไม่เชื่อ คุณโกหก คุณอยากจะกักตัวฉันไว้ที่นี่ หรือว่าถ้าคุณอยากจะให้ฉันอยู่ที่นี่ก็ให้ฉันกลับไปที่บ้านก่อนแล้วฉันจะบอกแม่ฉันว่าฉันต้องออกมาทำงานท่านจะได้เข้าใจจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”“ท่านไม่เป็นห่วงคุณหรอกนะ ท่านรู้ว่าคุณอยู่กับโซอี้และผมก็อยากจะขอร้องให้คุณอยู่กับแกที่นี่คืนนี้”“ด้วยเหตุผลอะไรกันคะ ได้โปรดเถอะค่ะ คุณไม่ควรจะใช้คำว่าขอร้องกับฉันเพราะนี่เป็นการบังคับ”“OK… ถ้าคุณอยากจะกลับก็ได้แต่โซอี้จะรู้สึกยังไงในเมื่อแกคิดว่าคุณไม่สบายและแกก็ตั้งใจที่จะดูแลคุณ ถ้าคุณกลับไปมันก็เหมือนเป็นการทำร้ายจิตใจแก”“คุณกำลังสร้างเงื่อนไขและกำลังกดดันฉันอยู่นะคะ”“ผมพูดความจริงต่างหากและมันก
“ คุณคิดแบบนั้นเหรอเนเน่”“ ใช่ค่ะ...และฉันก็คิดถูกใช่ไหมคะ ฉันพูดถูกทุกอย่าง ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ คุณจะไม่สูญเสียผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะฉันจะไม่ผิดสัญญาเรื่องที่จะหาเงินมาชดใช้ให้คุณ”“ผมรู้ว่าคุณจะไม่ผิดสัญญาแต่คุณก็ผิดคำพูดกับผม ““แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไง จะให้ฉันทำยังไงคะนิค ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไปแล้ว”ภิณไลย์ญาเผลอร้องไห้ออกมาและทรุดตัวลงนั่งบนพื้นห้องน้ำ เธอกอดเข่าแล้วร้องไห้อย่างคนสิ้นหวัง ตอนนี้หัวใจของเธอแหลกสลายทั้งจากความผิดหวังและร่างกายที่ยิ่งนับวันยิ่งอ่อนแอ เธอดูเหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอกและถึงทางตันของชีวิต นิโคลัสทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าเธอ จ้องมองร่างเล็กที่ก้มหน้าร้องไห้เหมือนแทบขาดใจแต่ภิณไลย์ญาก็ไม่ส่งเสียงออกมาดัง ๆ เธอกดเก็บตัวเองไว้เพราะกลัวโซอี้จะได้ยินแต่ในเวลานี้เธอช่างดูอ่อนแอและเป็นภาพที่ฉุดรั้งความรู้สึกของนิโคลัสให้ยิ่งดำดิ่ง เขารู้ตัวดีว่าทำให้เธอเจ็บช้ำอย่างสาหัสหากทว่าคนที่เจ็บปวดยิ่งกว่ากลับเป็นเขาเสียเอง ขณะที่เขากำลังจะเอื้อมมือเพื่อลูบเรือนผมของภิณไลย์ญาที่นั่งก้มหน้ากอดเข่าร้องไห้นั้นก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นข้างหลั