ภายใต้ท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ แผ่นดินต้าเหลียงยังคงงดงาม ทว่าความสงบสุขนั้นเปรียบดั่งผิวน้ำที่ราบเรียบ แต่เบื้องล่างกลับมีกระแสธารเชี่ยวกรากซ่อนอยู่ และ ณ ใจกลางวังหลวงอันเป็นศูนย์รวมอำนาจ สายตาคมกริบคู่หนึ่งกำลังจับจ้องไปยังสตรีผู้หนึ่งอย่างเงียบงัน...
นับตั้งแต่วันที่ราชโองการหมั้นหมายถูกประกาศก้องไปทั่วท้องพระโรง ชีวิตของ หลี่เหวินเจี๋ย และ ซูหนิงหนิง ก็ถูกผูกมัดเข้าด้วยกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้กายจะอยู่ใกล้ แต่ใจกลับห่างไกลดุจขั้วโลกเหนือใต้
หลี่เหวินเจี๋ย แม่ทัพใหญ่ผู้เจนศึก ไม่เคยชายตามองสตรีใดมาก่อน ชีวิตของเขาอุทิศให้แก่การฝึกฝน การวางแผน และการปกป้องแผ่นดินจนหมดสิ้น ทว่าบัดนี้ สายตาคมกริบที่เคยจับจ้องแต่แผนที่ยุทธศาสตร์และคมดาบ กลับต้องปรายมองไปยังร่างอรชรของสตรีผู้หนึ่ง... ซูหนิงหนิง ว่าที่พระชายาของเขา
เขาได้พบกับนางอีกครั้งในงานเลี้ยงต้อนรับทูตจากแคว้นเพื่อนบ้าน ซูหนิงหนิงปรากฏตัวในชุดผ้าไหมสีเขียวหยกอ่อน ประดับประดาด้วยปิ่นปักผมเรียบง่าย ทว่าความสง่างามของนางกลับโดดเด่นท่ามกลางเหล่าคุณหนูและฮูหยินที่แต่งกายวิจิตรตระการตา นางเดินอย่างสงบเสงี่ยม ใบหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตากลมโตนั้นกลับฉายแววระมัดระวังและแข็งแกร่งอย่างที่เขาไม่เคยเห็นในสตรีใดมาก่อน
หลี่เหวินเจี๋ยยืนอยู่มุมหนึ่งของห้องโถงใหญ่ มือหนึ่งถือจอกสุรา อีกมือหนึ่งกุมกระบี่คู่กายที่เหน็บอยู่ข้างเอว เขามองดูนางสนทนากับเหล่าขุนนางผู้ใหญ่ด้วยท่าทีสุภาพและชาญฉลาด นางตอบคำถามได้อย่างคล่องแคล่ว แสดงให้เห็นถึงความรู้ที่กว้างขวางเกินกว่าบุตรีของหมอหลวงทั่วไป หลี่เหวินเจี๋ยขมวดคิ้วเล็กน้อย "นางฉลาดเกินไป...หรือนี่คือการแสดง?" ความสงสัยยังคงกัดกินในใจเขา
“ท่านแม่ทัพดูจะสนใจคุณหนูซูมากเป็นพิเศษนะขอรับ” เสียงกระซิบของ หลิวหรง ดังขึ้นข้างกาย หลี่เหวินเจี๋ยหันไปมองสหายรัก ใบหน้าของหลิวหรงมีรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ข้าเพียงสังเกตการณ์” หลี่เหวินเจี๋ยตอบเสียงเรียบ “นางคือว่าที่พระชายาของข้า ย่อมต้องจับตามองเป็นธรรมดา”
“แต่สายตาของท่านแม่ทัพมิใช่เพียงแค่ ‘สังเกตการณ์’ กระมังขอรับ” หลิวหรงหยอกเย้า “ดูเหมือนท่านจะจ้องนางจนมิอาจละสายตาได้เลย”
หลี่เหวินเจี๋ยไม่ตอบ เพียงแต่ยกจอกสุราขึ้นจิบช้าๆ แต่ในใจกลับยอมรับว่าสิ่งที่หลิวหรงพูดนั้นเป็นความจริง เขามิอาจปฏิเสธได้ว่าซูหนิงหนิงมีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจของเขา ไม่ใช่ในเชิงชู้สาว แต่เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับกำลังเผชิญหน้ากับปริศนาที่ซับซ้อน ยากจะคาดเดา
ในขณะเดียวกัน ซูหนิงหนิง ก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาจากอีกมุมหนึ่งของห้องโถง นางรู้ดีว่าเป็นสายตาของหลี่เหวินเจี๋ย นางพยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่ทุกการเคลื่อนไหว ทุกคำพูดของนางล้วนอยู่ในสายตาของเขา ราวกับมีดวงตาคู่คมกริบคู่นั้นกำลังวิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวนาง
“หนิงหนิง เจ้าดูไม่สบายใจเลยนะ” มู่หลัน กระซิบถามเมื่อเห็นซูหนิงหนิงมีสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าสบายดีมู่หลัน” ซูหนิงหนิงตอบ พยายามยิ้มให้สหายรัก “เพียงแต่...รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องข้าอยู่ตลอดเวลา”
“สายตาของแม่ทัพหลี่สินะ” มู่หลันกล่าวอย่างเข้าใจ “เขาน่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ”
“เขามิได้น่ากลัวเพียงอย่างเดียวมู่หลัน” ซูหนิงหนิงกล่าวเสียงเบา “เขากำลังจับผิดข้า...หรืออาจจะกำลังหาทางเล่นงานท่านพ่อของข้าอยู่ก็เป็นได้”
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?” มู่หลันถามด้วยความเป็นห่วง
“ข้าจะทำตัวให้เป็นปกติที่สุด” ซูหนิงหนิงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “และจะไม่มีวันเผยพิรุธใดๆ ให้เขาจับได้เป็นอันขาด”
หลายวันต่อมา เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ข่าวการก่อกบฏของกลุ่มโจรป่าทางชายแดนเหนือแพร่สะพัดมาถึงเมืองหลวง สร้างความโกลาหลและหวาดกลัวไปทั่ว องค์ฮ่องเต้ทรงมีราชโองการให้แม่ทัพใหญ่หลี่เหวินเจี๋ยนำทัพออกปราบปรามทันที
ก่อนออกเดินทาง หลี่เหวินเจี๋ยได้รับพระบัญชาลับจากฮ่องเต้ให้พาซูหนิงหนิงไปกับกองทัพด้วย ในฐานะบุตรีของหมอหลวง นางจะช่วยดูแลทหารที่บาดเจ็บ และยังเป็นโอกาสให้หลี่เหวินเจี๋ยได้เฝ้าสังเกตการณ์นางอย่างใกล้ชิด
ซูหนิงหนิงตกใจเมื่อได้รับข่าวนี้ นางไม่เคยคิดว่าจะต้องออกเดินทางไปกับกองทัพ ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องไปกับหลี่เหวินเจี๋ย บุรุษผู้ที่นางยังคงหวาดระแวง
“หนิงหนิง...เจ้าต้องไปจริงๆ หรือ?” มู่หลันถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “มันอันตรายนักนะ”
“ราชโองการมิอาจขัดได้มู่หลัน” ซูหนิงหนิงตอบอย่างเด็ดเดี่ยว แม้ในใจจะหวาดหวั่นไม่น้อย “แต่ข้าจะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นภาระของใคร และจะปกป้องตัวเองให้ดีที่สุด”
กงซุนหมิง ผู้ซึ่งมาเยี่ยมมู่หลันพอดี เมื่อได้ยินข่าวก็รีบรุดมาหาซูหนิงหนิงทันที “คุณหนูซู...ข้าขออาสาไปกับท่านด้วย!” เขากล่าวอย่างกระตือรือร้น “ข้าพอมีความรู้เรื่องการแพทย์อยู่บ้าง อาจจะช่วยท่านได้”
ซูหนิงหนิงมองกงซุนหมิงด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณในน้ำใจท่านกงซุน แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับราชการทหาร ท่านไม่ควรเข้าไปพัวพัน”
“แต่ข้าเป็นห่วงท่าน!” กงซุนหมิงยืนกราน
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอกหมิงเอ๋อร์” มู่หลันกล่าวปลอบใจสหายรัก “หนิงหนิงเป็นคนเข้มแข็ง นางดูแลตัวเองได้”
แม้จะรู้สึกเป็นห่วงซูหนิงหนิงอย่างมาก แต่กงซุนหมิงก็จำต้องยอมรับการตัดสินใจของนาง เขาทำได้เพียงอวยพรให้นางปลอดภัย และขอให้มู่หลันช่วยดูแลซูหนิงหนิงให้ดีที่สุด
การเดินทางสู่ชายแดนเป็นไปอย่างทุลักทุเล กองทัพของหลี่เหวินเจี๋ยเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ซูหนิงหนิงต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในกองทัพอย่างรวดเร็ว นางใช้ความรู้ทางการแพทย์ที่ร่ำเรียนมาช่วยเหลือทหารที่เจ็บป่วยและบาดเจ็บอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะเป็นยามกลางวันหรือกลางคืน นางก็พร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือเสมอ
หลี่เหวินเจี๋ยเฝ้ามองการกระทำของซูหนิงหนิงอยู่ห่างๆ นางทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่ปริปากบ่น ไม่แสดงความอ่อนแอ แม้จะต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้ายและความยากลำบากของการเดินทาง เขายอมรับว่านางมีความอดทนและแข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก
คืนหนึ่ง กองทัพตั้งค่ายพักแรมกลางป่า ซูหนิงหนิงกำลังตรวจดูอาการของทหารที่บาดเจ็บคนหนึ่งอยู่ใกล้กองไฟ แสงไฟส่องกระทบใบหน้าของนาง ทำให้เห็นหยาดเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผาก และความมุ่งมั่นในดวงตาของนาง
หลี่เหวินเจี๋ยเดินเข้ามาใกล้ “คุณหนูซู...ท่านไม่พักผ่อนบ้างหรือ?” เสียงของเขาเย็นชาเช่นเคย แต่แฝงไว้ด้วยความแปลกใจ
ซูหนิงหนิงเงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้านางซีดเซียวเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้า “ทหารผู้นี้บาดเจ็บสาหัส ข้ามิอาจทอดทิ้งได้เจ้าค่ะ”
“ท่านทำเกินหน้าที่ของตนแล้ว” หลี่เหวินเจี๋ยกล่าว “ท่านเป็นเพียงบุตรีของหมอหลวง มิใช่แพทย์ทหาร”
“ในยามสงครามเช่นนี้ ชีวิตของทหารทุกนายล้วนมีค่าเจ้าค่ะ” ซูหนิงหนิงตอบอย่างไม่เกรงกลัว “ข้าในฐานะผู้มีความรู้ทางการแพทย์ ย่อมต้องช่วยเหลือเท่าที่ทำได้”
หลี่เหวินเจี๋ยจ้องมองนางนิ่งๆ ดวงตาของเขาลุ่มลึกยากจะคาดเดา เขามิได้โต้แย้งอีกต่อไป เพียงแต่ยืนมองนางรักษาทหารผู้นั้นอย่างเงียบๆ
ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าของ หลิวหรง ก็ดังขึ้น เขาเดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยยาในมือ “คุณหนูซู...นี่คือยาบำรุงที่ข้าต้มให้ท่านขอรับ ท่านทำงานหนักเกินไปแล้ว”
ซูหนิงหนิงหันไปมองหลิวหรงด้วยความประหลาดใจ “ขอบคุณท่านรองแม่ทัพหลิว” นางรับถ้วยยามาถือไว้
หลี่เหวินเจี๋ยเหลือบมองหลิวหรงเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร หลิวหรงยิ้มให้ซูหนิงหนิงอย่างเป็นมิตร ก่อนจะหันไปกระซิบกับหลี่เหวินเจี๋ย “ท่านแม่ทัพ...บางทีคุณหนูซูอาจจะมิได้เป็นเช่นที่เราคิดก็เป็นได้นะขอรับ”
หลี่เหวินเจี๋ยไม่ตอบ เพียงแต่ถอนหายใจเบาๆ ในใจของเขายังคงมีความสงสัย แต่การกระทำของซูหนิงหนิงในวันนี้...ทำให้กำแพงน้ำแข็งในใจของเขาสั่นคลอนไปบ้าง
วันรุ่งขึ้น กองทัพต้องเผชิญหน้ากับการซุ่มโจมตีของโจรป่าอย่างไม่คาดฝัน เสียงดาบกระทบกัน เสียงร้องของทหารดังระงมไปทั่วป่า ซูหนิงหนิงถูกจัดให้อยู่ในส่วนหลังของกองทัพ เพื่อความปลอดภัย
แต่เมื่อเห็นทหารบาดเจ็บล้มตายลงต่อหน้าต่อตา นางมิอาจทนอยู่เฉยได้ นางรีบวิ่งเข้าไปในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยอันตราย พร้อมกับถุงสมุนไพรและอุปกรณ์ปฐมพยาบาลในมือ
“คุณหนูซู! ท่านจะไปไหน!” ทหารนายหนึ่งร้องห้าม
“ข้าจะไปช่วยพวกเขา!” ซูหนิงหนิงตอบอย่างไม่ลังเล นางวิ่งฝ่าคมดาบและห่าธนูเข้าไปยังจุดที่การต่อสู้ดุเดือดที่สุด
หลี่เหวินเจี๋ยผู้กำลังบัญชาการรบอยู่เบื้องหน้า หันมาเห็นซูหนิงหนิงวิ่งเข้าไปในสมรภูมิ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจและไม่เข้าใจ “นางทำอะไรของนาง!” เขาสบถออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
เขาเห็นนางก้มลงช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บอย่างรวดเร็วและแม่นยำ นางใช้สมุนไพรห้ามเลือด พันแผลอย่างชำนาญ แม้จะมีลูกธนูพุ่งเฉียดร่างไปเพียงเล็กน้อย นางก็มิได้แสดงความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ทัพ! ทางนี้ขอรับ!” หลิวหรงร้องบอก พร้อมกับชี้ไปยังกลุ่มโจรที่กำลังจะเข้าล้อมหลี่เหวินเจี๋ย
หลี่เหวินเจี๋ยจำต้องหันกลับไปเผชิญหน้ากับศัตรู แต่ในใจของเขายังคงเต็มไปด้วยภาพของซูหนิงหนิงที่กำลังช่วยเหลือทหารอยู่กลางสมรภูมิ
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ในที่สุด กองทัพของหลี่เหวินเจี๋ยก็สามารถปราบปรามโจรป่าลงได้สำเร็จ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียทหารไปไม่น้อย
หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง หลี่เหวินเจี๋ยเดินสำรวจสนามรบที่เต็มไปด้วยร่างของทหารที่บาดเจ็บและเสียชีวิต สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ซูหนิงหนิง นางยังคงก้มหน้าก้มตาช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บอยู่ไม่ห่างจากเขา ใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยเลือดและคราบดิน แต่ดวงตาของนางยังคงฉายแววแห่งความมุ่งมั่นและเมตตา
หลี่เหวินเจี๋ยเดินเข้าไปหานางช้าๆ “คุณหนูซู...ท่านปลอดภัยหรือไม่?” เสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
ซูหนิงหนิงเงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้าของนางซีดเผือดด้วยความเหนื่อยล้า “ข้าปลอดภัยดีเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ”
หลี่เหวินเจี๋ยจ้องมองนางนิ่งๆ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางในมุมที่แตกต่างออกไป นางมิใช่เพียงบุตรีของหมอหลวงผู้ต้องสงสัย มิใช่เพียงว่าที่พระชายาที่ถูกจับหมั้นหมาย แต่นางคือสตรีผู้กล้าหาญ ผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวอันตราย และพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
ในใจของหลี่เหวินเจี๋ย...กำแพงน้ำแข็งที่เคยแข็งแกร่งเริ่มปริร้าว...
ในอีกด้านหนึ่ง มู่หลัน และ กงซุนหมิง ได้รับข่าวการปะทะที่ชายแดนด้วยความกังวลใจอย่างยิ่ง
“หนิงหนิงจะเป็นอย่างไรบ้างนะหมิงเอ๋อร์” มู่หลันกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้าเป็นห่วงนางเหลือเกิน”
“อย่ากังวลไปเลยมู่หลัน” กงซุนหมิงปลอบใจ “คุณหนูซูเป็นคนเก่ง นางจะต้องปลอดภัย”
แต่ในใจของกงซุนหมิงเองก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวาย เขาอยากจะรีบรุดไปยังชายแดนเพื่อช่วยเหลือซูหนิงหนิง แต่เขาก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีอำนาจพอที่จะทำเช่นนั้นได้
“ข้าอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยนาง” กงซุนหมิงกล่าวอย่างคับข้องใจ
“เราทำได้เพียงภาวนาให้หนิงหนิงปลอดภัย” มู่หลันกล่าว “และเตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลือเมื่อนางกลับมา”
ความรักและความห่วงใยของกงซุนหมิงและมู่หลันยังคงเบ่งบานอย่างเงียบๆ ท่ามกลางความวุ่นวายของบ้านเมือง พวกเขาทั้งสองต่างก็เติบโตขึ้นจากความกังวลใจในครั้งนี้
ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมายังค่ายพักแรมที่เงียบสงบ หลี่เหวินเจี๋ยยังคงยืนอยู่หน้ากระโจมของตน ดวงตาของเขามองไปยังกระโจมของซูหนิงหนิงที่อยู่ไม่ไกลนัก
เขาเย็นชา...แต่บัดนี้ สายตาของเขามิอาจละจากนางได้อีกต่อไปแล้ว…
ภายใต้ท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ แผ่นดินต้าเหลียงยังคงงดงาม ทว่าความสงบสุขนั้นเปรียบดั่งผิวน้ำที่ราบเรียบ แต่เบื้องล่างกลับมีกระแสธารเชี่ยวกรากซ่อนอยู่ และ ณ ใจกลางวังหลวงอันเป็นศูนย์รวมอำนาจ สายตาคมกริบคู่หนึ่งกำลังจับจ้องไปยังสตรีผู้หนึ่งอย่างเงียบงัน...นับตั้งแต่วันที่ราชโองการหมั้นหมายถูกประกาศก้องไปทั่วท้องพระโรง ชีวิตของ หลี่เหวินเจี๋ย และ ซูหนิงหนิง ก็ถูกผูกมัดเข้าด้วยกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้กายจะอยู่ใกล้ แต่ใจกลับห่างไกลดุจขั้วโลกเหนือใต้หลี่เหวินเจี๋ย แม่ทัพใหญ่ผู้เจนศึก ไม่เคยชายตามองสตรีใดมาก่อน ชีวิตของเขาอุทิศให้แก่การฝึกฝน การวางแผน และการปกป้องแผ่นดินจนหมดสิ้น ทว่าบัดนี้ สายตาคมกริบที่เคยจับจ้องแต่แผนที่ยุทธศาสตร์และคมดาบ กลับต้องปรายมองไปยังร่างอรชรของสตรีผู้หนึ่ง... ซูหนิงหนิง ว่าที่พระชายาของเขาเขาได้พบกับนางอีกครั้งในงานเลี้ยงต้อนรับทูตจากแคว้นเพื่อนบ้าน ซูหนิงหนิงปรากฏตัวในชุดผ้าไหมสีเขียวหยกอ่อน ประดับประดาด้วยปิ่นปักผมเรียบง่าย ทว่าความสง่างามของนางกลับโดดเด่นท่ามกลางเหล่าคุณหนูและฮูหยินที่แต่งกายวิจิตรตระการตา นางเดินอย่างสงบเสงี่ยม ใบหน้าเรียบเฉย แต่ดว
เสียงแตกกิ่งไม้เพียะ! ดังฝ่าอากาศ ทำลายความเงียบของยามรุ่งสางราวคมดาบเฉือนเนื้อ ความฝันร้ายของซูหนิงหนิงขาดสะบั้น นางลืมตาขึ้นอย่างตื่นตระหนก แสงสลัวลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่า เสียงเกราะเหล็กกระทบกันดังเป็นจังหวะน่าหวาดหวั่นนางค่อย ๆ เคลื่อนสายตาไปทางต้นเสียง…ทหารราชสำนักในชุดเกราะดำยืนเรียงแถวล้อมเรือนไว้ราวกรงเหล็ก ขานคำสั่งเคลื่อนไหวเป็นระเบียบ แต่กลิ่นคาวเหล็กจากชุดเกราะและดาบทำให้หัวใจเต้นถี่ เกิดสิ่งใดขึ้น?“คุณหนูซู! ออกมาพบในบัดดล!” เสียงหัวหน้าทหาร หนักและเย็นเยียบ ราวคำตัดสินชะตาซูหนิงหนิงรีบสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีขาวบาง เปิดบานประตูไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดออกไป กลิ่นไอหมอกเช้าปะทะใบหน้า ภาพแรกที่เห็นคือบิดา—หมอหลวงซูอัน—กำลังยืนขวางหน้าทหาร ใบหน้าที่เคยสงบเยือกเย็นกลับซีดเผือด ดวงตาแฝงความวิตก มือที่ถือกระดาษตำรับยาสั่นไหวจนแผ่นกระดาษร่วงลงพื้น ลมเช้าพัดปลิวไปใต้เกราะของนายทหารคนหนึ่ง“คำสั่งจากท่านแม่ทัพใหญ่หลี่เหวินเจี๋ย” หัวหน้าทหารกล่าวเสียงเรียบแต่น่ากลัว “คุณหนูซูต้องเข้าวังในทันที…มิอาจปฏิเสธ”หนิงหนิงยื่นมือไปจับมือบิดาแน่น ความเย็นจากปลายนิ้วของเขาทำให้หัวใจนางหดเกร็ง