บทที่ 3
น้ำหนักของร่างเล็กที่สั่นไหวหอบไห้
นั้นเอนซบลงบนบ่า ไออุ่นจากร่างกายอีกฝ่าย ซึมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของหลินเยว่ซินพลันดำคล้ำลงในทันใด
นางเป็นพวกรักสะอาด รักความสะอาดขั้นสูง
และการที่มีใครมากอดแนบแน่น แบบนี้… มันเกินจะรับไหว!
นางดันตัวอีกฝ่ายออกด้วยสีหน้าเอือมระอา
เสี่ยวถิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตบหน้าผากตัวเองเสียงดัง
“โอย! ข้าเนี่ยนะ! มัวแต่ดีใจจนลืมไปเลย…
คุณหนูต้องหิวแน่ๆ นี่นา! เรากินอะไรกันก่อนเถอะ!” นางรีบหันไปยกถ้วยเล็กๆ จากโต๊ะไม้เก่า
ขณะที่นางมือสั่น รีบคนอาหารในถ้วย นางก็พูดไม่หยุด
“วันนี้เป็นซุปปลานะเจ้าคะ! ข้าลำบากมากเลยกว่าจะได้เจ้านี่มา ท่านรีบๆ ดื่มหน่อยนะเจ้าคะ ร่างกายจะได้ฟื้นไวๆ”
หลินเยว่ซิน ก้มมองของในถ้วย
กลิ่นปลาที่แทบจะไม่มี รอยผักเน่าๆ สองสามชิ้นลอยปริ่มอยู่ในน้ำซุปสีจาง
นางขมวดคิ้วแน่น ‘นี่เรียกว่าซุปปลาหรือ?’
เห็นชัดๆ ว่าคือเศษอาหารที่คนอื่นกินเหลือ! ถึงแม้ชีวิตเดิมของนางจะต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ในโลกใต้ดิน
แต่เรื่องอาหารการกินนั้น… นางไม่เคยปล่อยให้ต่ำกว่าระดับภัตตาคารห้าดาว
ที่พักของนางมีแต่คฤหาสน์ส่วนตัว หรือไม่ก็รีสอร์ตเกาะส่วนบุคคล
ไม่เคยแม้แต่จะสัมผัสคำว่า “อด”
แต่นี่นางคือบุตรีโดยชอบธรรมของจวนกั๋วกง
กลับต้องอยู่แบบอดๆ อยากๆ ทั้งหิวทั้งหนาว ชีวิตที่แม้แต่จะหาเงินไปรักษาตัวยังไม่มี แค่มองก็พอจะจินตนาการออกได้แล้ว
เจ้าของร่างเดิมต้องผ่านอะไรมาบ้าง ถึงได้ซูบซีด
ตัวบางจนแทบเป็นกระดูกเช่นนี้
อายุสิบหกปีเต็ม…แต่กลับดูเหมือนเด็กอายุสิบขวบ!
นี่มันไม่ต่างอะไรจากการทรมานเด็กเลย!
นางมองถ้วยซุปตรงหน้าอีกครั้ง เศษปลาในนั้นหายากยิ่งกว่าเศษทองเสียอีก
แต่เสี่ยวถิงกลับพูดว่า ‘ลำบากมากเลยกว่าจะได้เจ้านี่มา’
เพียงเท่านั้น นางก็เบือนหน้าหนีด้วยสีหน้ารังเกียจอย่างไม่ปิดบัง เสี่ยวถิงเห็นสีหน้าของคุณหนูที่เปลี่ยนไปในพริบตา
ขมวดคิ้วนิ่วหน้า เย็นวาบในอกโดยไม่รู้สาเหตุ
“คุณหนู…” นางเอ่ยเสียงเบาอย่างกลัวผิด
จู่ๆ เสียงด้านนอกก็ดังขึ้นมา
“ว้าววว…นี่เจ้ากำลังกินข้าวได้จริงๆ รึ
ข้าได้ยินว่าเจ้ารอดตายกลับมา ยังคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือไร้สาระเสียอีก!
ไม่คาดคิดเลย…ดวงเจ้านี่มัน เหนียวราวกับผีสาง!
แต่ถึงรอดมาได้ ก็เป็นแค่เศษสวะที่ไร้ค่ากว่าเดิมเท่านั้น!”
เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังสะท้อนทั่วห้อง
ก่อนที่ประตูไม้เก่าจะถูกผลักเปิดอย่างแรง
ปัง! หญิงสาวในชุดผ้าแพรสีฟ้าแต้มชมพู
ก้าวเชิดหน้าเข้ามาอย่างองอาจ ดวงตาทุกประกายฉายชัดถึงความดูแคลนถากถาง
หลินเยว่ซินหรี่ตาเย็นยะเยือก มาเร็วกว่าที่ข้าคิดเสียอีก… นังสวะนี่ ข้ายังไม่ได้เริ่มบัญชีแค้นแท้ๆ กลับรีบร้อนวิ่งเข้ามาให้สังหารถึงที่
เสี่ยวถิงสะดุ้งเฮือกจนเกือบทำของหล่น
ความกลัวที่ฝังลึกบีบหัวใจจนตัวสั่น นางรีบโค้งคำนับเสียงสั่น
“ขอคารวะคุณหนูรองเจ้าค่ะ…”
แต่หญิงสาวผู้มาเยือน ”หลินอวี้ซิง“ ไม่แม้แต่จะปรายตาใส่
เดินผ่านไปอย่างถือดี ราวกับเสี่ยวถิงเป็นเพียงฝุ่นไร้ค่า
นางหยุดยืนข้างเตียงไม้ผุพัง แววตาเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและเหยียดหยาม
“หึ! นี่เจ้าโง่นั่นยังมีลมหายใจอยู่อีกหรือ
ไยไม่อ้าปากส่งเสียงโง่ๆ ของเจ้าออกมาเหมือนเคยล่ะ
หรือว่าตอนนี้โง่จนถึงขั้นไร้เสียงแล้ว”
คำว่า “เจ้าโง่” กรีดลึกในใจ แต่หลินเยว่ซิน
เพียงกดซ่อนแววตา ย้ำเตือนตนว่าต้องเล่นบทบาทนี้ต่อไป
นางฝืนเปล่งเสียงแหบพร่า “…พี่…พี่รอง…”
หลินอวี้ซิงหัวเราะหยัน แววตาเปื้อนรังเกียจ
“ใครจะยอมให้เจ้าเรียกว่าพี่กัน!
เจ้าเป็นแค่สวะไร้ค่า ไม่คู่ควรจะเอ่ยเรียกข้าว่าพี่แม้แต่ครึ่งคำ!
เจ้าคือความอับอายของทั้งจวน!
การที่เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อ! คือการทำให้สกุลหลินต้องหมองหม่น!
เจ้าควรจะตายไปเสียตั้งแต่คืนนั้น!
การรอดกลับมาได้ของเจ้า เป็นความสกปรกที่ฟ้าดินยังไม่อาจรับ!”
ภายใต้สายตาดุดันและตำหนิของอีกฝ่าย
แววตาของหลินเยว่ซินวูบไหวด้วยประกายเย็นเยียบ
ที่ซ่อนเร้น ก่อนนางก้มหน้าลงเล็กน้อย แสร้งทำตัวหงอเหมือนสตรีโง่งม “…พี่รองยังอยู่ดี… ข้าจะตายก่อนท่านได้อย่างไรกัน…”
เสียงเบาหวิว ทว่าทิ่มแทงราวคมมีด
ทำให้หลินอวี้ซิงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนตาเบิกโพลงพร้อมเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
“หึ! แค่ป่วยนิดหน่อย แต่ปากเจ้ากลับพูดจาได้ลื่นไหลนักนี่!
เจ้ามีหน้ามาต่อปากต่อคำกับข้าเรอะ!
นังไร้ค่า! อย่าลืมสิว่า… เจ้าถูกพี่อี้เฉินถอดหมั้นไปแล้ว
อย่างไม่เหลือศักดิ์ศรี! ต่อไปก็เตรียมตัวกลิ้งเน่าหนอนอยู่ในคอกสุนัขไปเถอะ!”
คำพูดกรีดแทง แต่หลินเยว่ซินเพียงคลานถอยไปชิดมุมเตียง
กอดผ้าห่มขาดๆ ไว้แน่น สายตาอ่อนแรงปนหวาดกลัว
เสียงสะอื้นเล็ดลอดราวกับเจ็บปวดสุดหัวใจ
“พี่อี้เฉิน… เขา เขาบอกว่า เขาชอบพี่รองมาก
ข้า…ข้ารู้ว่าตัวเองโง่เขลา ไม่คู่ควร…ข้า…”
ก้าวเท้าที่กำลังจะผละออกไปของหลินอวี้ซิงหยุดชะงัก
ร่างแข็งค้างครู่หนึ่ง ก่อนจะหันขวับกลับมา ดวงตาทอประกายลุกวาบทันที “เจ้า…พูดอะไรนะ! จริงรึไม่!”
หลินเยว่ซินก้มหน้าหลบสายตา ซ่อนรอยยิ้มบางๆ
ที่วูบผ่านในดวงตาไว้แนบเนียน ขนตาสั่นระริก ริมฝีปากเม้มแน่นแล้วค่อยๆ คลายออก
“เขาบอกว่า… ว่าที่ชายาของเขา…ต้องเป็นพี่รองเพียงผู้เดียว
ข้า ข้ารู้ตัวดีว่าข้าไม่คู่ควร แต่ถ้าเขามีความสุข…ข้าก็ยินดี…”
นางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แสร้งยิ้มโง่งมเต็มใบหน้า
ดวงตาใสฉ่ำน้ำ เสียงสั่นคล้ายสะอื้น ฟังแล้วช่างจริงใจจนยากจะไม่เชื่อถือ
นักฆ่าผู้เคยกรีดคอศัตรูนับไม่ถ้วน… จะหลอกสตรีตื้นเขินเช่นนี้ มันง่ายดายยิ่งกว่าปอกผลไม้เสียอีก!
หลินอวี้ซิงเบิกตากว้าง ดวงตาเปล่งประกายวาบด้วยความได้ใจ ริมฝีปากแสยะยิ้มเยาะ
“ดีมาก! อย่างน้อยเจ้ายังพอรู้จักที่ต่ำที่สูง!
จำใส่หัวเอาไว้ให้ดี เจ้ามันไม่คู่ควรแม้แต่จะเอ่ยชื่อพี่อี้เฉิน!
ในสายตาเขา เจ้าไม่ได้มีค่ามากไปกว่าเศษโคลนที่เหยียบติดรองเท้า!!” นางย่อตัวลงเล็กน้อย หรี่ตาแหลมคม
“แล้วเขายังพูดอะไรอีก! เร็ว! รีบคายความจริงออกมาเดี๋ยวนี้!”
ทันใดนั้น เสียงท้องร้องโครกก้องดังขึ้นพอดิบพอดี
ราวกับสวรรค์จงใจกลั่นแกล้ง หลินเยว่ซินเบะริมฝีปากเล็กน้อย ใบหน้าซีดเซียวแสร้งทำตาหวานปนสงสาร ปากสั่นคล้ายจะร้องไห้
“พี่รอง… ตอนนี้ข้าหิวเหลือเกินเจ้าค่ะ…
หัวมันเบาจนเวียนไปหมด คิดอะไรไม่ออกแล้ว…”
นางเจตนาหยุดบทพูดไว้ตรงจังหวะบีบคั้นที่สุด ราวกับมีดที่ค้างอยู่กลางอก
หลินอวี้ซิงแทบคลุ้มคลั่ง ใบหน้าแดงก่ำเพราะความหงุดหงิด ดวงตาวาวโรจน์ราวจะฉีกนางเป็นชิ้นๆ
นิสัยใจร้อนที่ไม่เคยรู้จักคำว่าอดทน ทำให้คำพูดโง่งมแต่จงใจยืดเยื้อของหลินเยว่ซินเสียดแทงใจนางยิ่งกว่าเข็มพิษ
นางเหลือบไปเห็นเพียงชามเศษอาหารบูดค้างบนโต๊ะ สีหน้าก็ยิ่งบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว
“เจ้า! รออยู่นี่!
ข้าจะไปหาของมายัดปากเจ้าเอง!
แต่เจ้าต้องดีดสมองโง่ๆ ของเจ้าให้ดี คิดให้ออก ว่าพี่อี้เฉินพูดอะไรอีก!”
รอยยิ้มบางเฉียบปรากฏขึ้นตรงมุมปากของหลินเยว่ซิน
พลันหัวเราะเยาะเย็นเยียบ
‘ยอดเยี่ยม! ข้ารอคำนี้ของเจ้ามานานแล้ว….’
เพื่อมาย้ำให้แผลยิ่งลึก หลินเยว่ซินทำตาสั่นระริก น้ำตาคลอเบ้า ฝืนเสียงแหบพร่าออดอ้อนออกมา
“ข้า…ข้าอยากกินเกี๊ยวกุ้งนึ่งใสๆ ร้อนๆ ซี่โครงหมูตุ๋นเกาลัดหอมๆไก่เผ็ดจัด ปลาต้มซีอิ๊วเนื้อแน่นๆ ถ้ามีผลไม้หวานฉ่ำกับของหวานล้างปากด้วย… จะดีเลิศเลยเจ้าค่ะ…”
ถ้อยคำบรรยายอาหารชัดเจนราวกับลิสต์รายการ กลายเป็นการตบหน้านางอวี้ซิงอย่างเลือดซิบ
หลินอวี้ซิงกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ แทบกรีดร้องออกมาด้วยความเดือดดาล “เจ้าคนโง่! เจ้ากล้าสั่งข้าเหมือนข้ารับใช้เรอะ!!”