บทที่ 2
สีหน้าของหนานกงอี้เฉินดำคล้ำ
ต่อให้หญิงตรงหน้าไม่ก่อเรื่อง ไม่ทำอะไรผิด
เขาก็ไม่มีวันยอมแตะต้องนางอยู่แล้ว
ที่เขาก้าวเข้ามาในห้องหอในคืนนี้… ก็เพื่อจะโยนนางออกไปโดยไม่ต้องเสียคำพูดแม้แต่คำเดียว
แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับทำให้ความอดทนขาดสะบั้น กับภาพอัปยศที่สวมทับบนศีรษะราวกับหมวกสีเขียว เขาแทบอยากชักกระบี่ สังหารหญิงโง่เสียตรงนั้น!
วันรุ่งขึ้น ยามเช้า
หญิงสาวลืมตาขึ้นในห้องหอที่เย็นเยียบ
สายตาสะดุดกับผ้าแพรสีขาว…
แขวนอยู่กลางห้อง ราวกับคำสั่งประหาร บนโต๊ะ มีใบหย่าหนึ่งฉบับ อักษรสามตัว “ไม่คู่ควร” เขียนด้วยลายมือเย็นชา
เมื่อคืน…
เจ้าสาวสติไม่สมประกอบผู้หนึ่ง ถูกใส่ร้ายว่ามั่วสุมกับบ่าวไพร่ในห้องหอ ถูกทอดทิ้ง พร้อมเชือกและใบหย่า นางได้ตายไปแล้ว
และตอนนี้ ผู้ที่ลืมตาขึ้นใหม่คือ “นักฆ่าจากโลกอื่น”
นางค่อยๆ เรียบเรียงความทรงจำที่ไหลทะลักเข้ามา
ริมฝีปากของหลินเยว่ซินก็ยกยิ้มเย็นเยียบขึ้น
“นับจากนี้ไป หญิงโง่ผู้นั้น ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว
ผู้ที่ฟื้นคืนมา ในร่างนี้! คือข้าวิญญาณที่ไม่ยอมตายง่ายๆ!”
แววตาที่เคยว่างเปล่ากลับเปล่งประกายราวกับมีเปลวไฟลุกวาบจากส่วนลึกของจิตใจ
ใครเลยจะคาดคิด…
ว่าวิญญาณที่แตกสลายจากโลกยุคใหม่ จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งในร่างของหญิงสาวผู้อ่อนแอในดินแดนแปลกหน้า
โชคชะตาอาจเหี้ยมโหด แต่สวรรค์ยังคงเปิดทางให้ผู้ไม่ยอมจำนน!
วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะใช้ชีวิตในนามของเจ้า “หลินเยว่ซิน” คนใหม่!
นางได้จากไปแล้ว จงหลับให้เป็นสุขเถิด
เพราะข้าจะดำเนินชีวิตแทนเจ้า ให้สมเกียรติและทุกความเจ็บปวดที่เจ้าเคยได้รับ
ข้าจะตอบแทนคืนทั้งหมด ไม่ขาดแม้แต่รายเดียว!
“สิ่งใดที่ติดหนี้ข้า จักต้องชดใช้คืนเป็นสิบเท่า!”
ริมฝีปากที่แห้งแตกระแหง ถูกกัดจนเลือดซึม ในดวงตาอันลึกนั้น ฉายแววเย็นเฉียบราวน้ำแข็งพันปี
เมื่อความทรงจำของเจ้าของร่างผสานแนบสนิท นางก็นึกถึงพี่สาวต่างมารดา
และกระนั้นท่านแม่รอง คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของความอัปยศ
ที่เกิดขึ้นและโดยเฉพาะ… ชายที่นางเคยรักจนหมดหัวใจหนานกงอี้เฉิน!
ช่างน่าขัน
ไม่แม้แต่จะหาความจริง ก็โยนจดหมายหย่าแล้วประทานผ้าแพรให้ไปตาย!
นางค้นทั่วความทรงจำที่ได้รับ แต่ไม่พบสิ่งใดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคืนสมรส ไม่มีแม้แต่เงาแห่งภาพที่ถูกกล่าวหา
หญิงที่เคยโง่เขลาและจงรักภักดีต่อเขาขนาดนั้น
จะกล้าคิดมีสัมพันธ์กับบ่าวต่ำต้อยได้อย่างนั้นหรือ!
ใครมีตา… ก็ล้วนเห็นว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ
แต่ที่น่าเศร้า… ทุกคนกลับเลือกที่จะเมินเฉยทอดทิ้งนางไว้ท่ามกลางความมืด โดยไม่มีแม้แต่เสียงถามไถ่
แม้เพียงคนธรรมดาก็ยังมองออก ว่าเรื่องทั้งหมดนี้ชวนพิรุธ
ช่างน่าเศร้า กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง ไม่มีแม้แต่ผู้เดียวคิดจะสืบให้แน่ชัด ทุกสายตาล้วนเย็นชา มองผ่านนางราวกับเป็นเงามืดที่ไม่ควรมีตัวตน
สำหรับอ๋องอี้… การลงมือสอบสวนยิ่งเป็นไปไม่ได้
ในสายตาของเขา เรื่องนี้ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ล้วนทำลายภาพลักษณ์ของเขาทั้งสิ้น
ประกอบกับหญิงที่เขาแต่งมานั้นก็เป็นเพียงคนโง่ไร้ค่า
การถอนหมั้นเสียตอนนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาอยู่แล้ว
และยิ่งหญิงผู้นั้นตายไป ก็ถือว่าปิดฉากทุกอย่างได้สมบูรณ์
แม้จะต้องจ่ายราคาที่หนัก แต่ถ้าแลกกับอิสรภาพของเขาแล้ว
นั่นก็ถือว่า “คุ้มค่า”
“เอี๊ยด–”
ระหว่างที่หลินเยว่ซินกำลังจมอยู่กับความคิดอันคุกรุ่น
เสียงประตูไม้เก่าถูกผลักเปิดออก พร้อมเสียงครืดเบาๆ
ลมหนาวจากภายนอกพัดกรูเข้ามาอย่างรุนแรง พาเอาความเย็นเยือกปะทะผิวราวกับเข็มนับพัน
ผู้ที่ก้าวเข้ามาคือสาวใช้ตัวเล็กคนหนึ่งร่างผอมบาง
จนเห็นกระดูก ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำเพราะความหนาว
นางก้มหน้าห่อตัว ก้าวเข้ามาอย่างลังเล มือทั้งสองถูกยกขึ้นถูแขนตัวเอง หวังบรรเทาความเย็นที่กัดลึกจนชา
หลินเยว่ซินหรี่ตาลงเล็กน้อย เอนหลังพิงเบาะไม้เก่าๆ อย่างสงบ
สายตามองอีกฝ่ายอย่างพินิจ ไม่พูดแม้คำเดียว
เด็กสาวในชุดเก่าซอมซ่อคนนี้ ถือถ้วยใบเล็กที่มีไอน้ำจางๆ
ลอยออกมา น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นเล็กน้อยตามแรงหนาวของอากาศ “คุณหนูเจ้าคะ…ข้าทำของอร่อยมาให้ท่าน ท่านตื่นขึ้นมาเสียเถิด เฮ้อ…”
คำพูดสุดท้ายนั้นคือเสียงถอนหายใจ เต็มไปด้วยความห่วงใยที่จริงใจและความสิ้นหวังที่ยากจะปิดบัง
หลินเยว่ซินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ในความทรงจำของนาง
หญิงโง่ที่เคยอาศัยในร่างนี้
เคยได้รับความรักแบบนี้จากใครด้วยหรือ
สาวใช้ชื่อ “เสี่ยวถิง” คนนี้ แม้จะพูดกับตนเองเหมือนที่เคยชิน
แต่ในวันนี้ นางกลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป
สายตานั้น… เย็นเยียบจนทำให้ร่างสั่น
นางชะงัก ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปมองด้านหลังอย่างไม่มั่นใจ และเมื่อเห็นว่า “คุณหนู” ของตนลืมตาขึ้นมานั่งจ้องนางเขม็ง
นางก็ถึงกับตกใจจนเกือบทำถ้วยในมือตกลงพื้น
เสี่ยวถิงรีบวางถ้วยนั้นลงบนโต๊ะไม้เก่าๆ ด้านข้าง
ก่อนจะพุ่งเข้าไปเกาะแขนของหลินเยว่ซินแน่น น้ำเสียงสั่นไหวเต็มไปด้วยความดีใจปนตกใจ
“คุณหนู! ท่าน..ท่านฟื้นแล้วจริงๆ หรือ! หิวหรือไม่เจ้าค่ะ!ท่าน..ท่านนอนมาตั้งนาน ต้องยังไม่ได้กินอะไรเลยแน่ๆ
ไม่ๆๆๆ ท่านต้องดื่มน้ำก่อน!”
แต่นางยังไม่ทันพูดจบ ก็ต้องชะงัก… เพราะสายตาของคุณหนูที่นั่งมองนางอยู่นั้น
เต็มไปด้วยบางอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน เสี่ยวถิงกลืนน้ำลาย หัวใจเต้นระรัว
เสียงที่เอ่ยออกมาก็เบาลงจนแทบกลืนหาย
“คุณหนู…ท่าน…ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ อย่าทำให้ข้าตกใจ…”
ภาพจำค่อยๆ ผุดขึ้นในหัวของหลินเยว่ซิน
“เสี่ยวถิง” สาวใช้ที่ติดตามร่างนี้มาตั้งแต่เล็ก เป็นผู้เดียวที่ไม่เคยทอดทิ้ง ไม่เคยหันหลังให้
แม้จะเรียกกันว่านายบ่าว แต่ความผูกพันแท้จริง…
ใกล้เคียงคำว่า “พี่น้อง” มากกว่า หากเทียบกับพี่สาวต่างแม่ในจวน ที่ลับหลังยิ้มหวาน แต่ซ่อนมีดไว้ใต้แขนเสื้อ
เสี่ยวถิงผู้นี้… มีค่ามากกว่าร้อยเท่าพันเท่า
ในยามที่ทุกคนรังเกียจ ดูหมิ่นหญิงโง่ที่ไม่มีใครเหลียวแล
เสี่ยวถิงคือคนเดียวที่ยังอยู่เคียงข้าง สิ่งใดดีๆ ก็แบ่งให้นายหญิงก่อนเสมอ ทุกครั้งที่โดนดุด่า หรือถูกตีจนตัวช้ำ
เสี่ยวถิงจะคอยยืนข้างเธอเสมอ แม้ต้องบาดเจ็บไปด้วยกัน ก็ไม่เคยร้องขอให้ถอยหนีแม้แต่ครั้งเดียว
เสี่ยวถิง เด็กหญิงคนนี้ เป็นคนที่หลินเยว่ซินเก็บมาได้โดยบังเอิญเมื่อครั้งนางอายุเพียงสามขวบ ส่วนเสี่ยวถิงในตอนนั้นก็เพิ่งหกขวบ เด็กน้อยตัวผอมแห้งที่ไม่มีใครต้องการ
ค่อยๆ เติบโตเคียงข้างนางมาโดยตลอด ริมฝีปากของหลินเยวซินกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงอย่างสุดความพยายาม “ไม่เป็นไร ข้าสบายดี”
เพียงประโยคนั้น เสี่ยวถิงก็ตัวแข็งทื่อ เบิกตากว้างราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสก
“คุณหนู…ท่านพูดได้แล้ว! อะ ไม่สิ! ข้าปากเสียอีกแล้ว…”
นางรีบยกมือตบปากตัวเองเบาๆ อย่างหงุดหงิด แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ทั้งดีใจทั้งตกใจ
“ท่านพูดประโยคเต็มได้แล้วจริงๆหรือ !”
เมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้าพูดพล่ามไม่เป็นคำ ด้วยความตื่นเต้น หลินเยว่ซินก็ยื่นมือออกไปคว้ามือของอีกฝ่ายเบาๆ พลางถอนหายใจอย่างระอา
“พอแล้วๆ จะดีใจอะไรนักหนา มานั่งเงียบๆ หน่อยสิ”
นางยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วด้วยความปวดหัว
เด็กคนนี้…นิสัยก็ดีน่ะใช่ แต่ปากก็ช่างเจื้อยแจ้วเหลือเกิน!
เสี่ยวถิงน้ำตาร่วงพลางหัวเราะ ราวกับไม่รู้จะปล่อยอารมณ์แบบไหนก่อนดี
แล้วก็โผเข้ากอดหลินเยวซินแน่น กอดทั้งน้ำตาทั้งเสียงสะอื้น “ดีแล้ว…ดีจริงๆ …”