เหอจงเทาบังคับรถม้าพาบุตรเกอของตนมาที่ร้านขายผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมือง เมื่อมาถึงก็จอดรถม้าในที่รับฝากพร้อมกับจ่ายเงินค่าฝากรถม้าจากนั้นทั้งสองก็เดินเข้ามาในร้าน
"จะเอาอะไร" เสี่ยวเออร์ของร้านพูดอย่างไม่ใคร่จะพอใจสายตามองสองพ่อลูกตั้งแต่หัวจรดเท้าดูก็รู้ว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาจนๆ "ข้าต้องการผ้าสำหรับตัดชุดขอรับ" เหอฟานเสวี่ยไม่ค่อยจะพอใจน้ำเสียงและสายตาของพนักงานคนนี้นัก "ที่นี่ไม่มีผ้าราคาถูกขายให้พวกเจ้าหรอกนะ ออกไปซะ" เสี่ยวเออร์เอ่ยไล่สองพ่อลูกอย่างรังเกียจก่่อนจะหันไปหาแขกที่เข้ามาในร้านก็รีบเข้าไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้น "คุณหนูหลิน คุณชายหม่า ไม่ทราบว่าต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ" เหอฟานเสวี่ยหันไปมองก็เห็นว่าเป็นหลินอีสหายสนิทของหม่าซูเหม่ยมากับหม่าจางอี้ "ข้ามาซื้อชุดตัดสำเร็จ มีมาใหม่หรือไม่" หลินอีเอ่ยถามอย่างเย่อหยิ่ง หลินอีนั้นมีบิดาทำงานอยู่ที่ว่าการแต่เป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆเจ้าตัวกลับชอบทำตัวเย่อหยิ่งและอวดรวยราวกับตนเองเป็นบุตรีของท่านเจ้าเมือง แต่ก็นับว่าบ้านของนางมีเงินทองทำให้สกุลหม่าอยากเกี่ยวดองด้วย "ได้เจ้าค่ะ นี่พวกเจ้าออกไปได้แล้ว" เสี่ยวเออร์หันมาไล่เหอฟานเสวี่ยกับบิดาอีกครั้ง "ข้าก็นึกว่าใครที่แท้ก็เสี่ยวฟานกับบิดาจนๆนี่เอง" หลินอีพูดพร้อมกับยิ้มเหยียด "อย่ามาเรียกท่านพ่อของข้าเช่นนี้" เหอฟานเสวี่ยจ้องหลินอีตาเขม็ง "ข้าเพียงพูดความจริงเท่านั้น พวกเจ้าทั้งสองนี่ช่างกล้ามาซื้อผ้าในร้านนี้มีเงินหรือ" หลินอีพูดเสียงดังหวังทำให้เหอฟานเสวี่ยอับอาย "มีหรือไม่มีก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า" เหอฟานเสวี่ยตอบกลับ "นี่เจ้า! กล้าพูดเยี่ยงนี้กับข้ารึ" หลินอีพูดอย่างไม่พอใจ "เหอฟานเสวี่ยเจ้าขอโทษหลินเออร์ซะ" หม่าจางอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ "เหตุใดข้าต้องขอโทษ ข้ายังมิได้ทำอันใดนางเสียหน่อย" เหอฟานเสวี่ยตอบกลับ "เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของหลินเออร์คือผู้ใด บิดาของนางทำงานอยู่ที่ว่าการเจ้าไม่กลัวเดือดร้อนหรือ" หม่าจางอี้เอ่ยขึ้น "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะพี่อี้ หากเขาไม่อยากขอโทษข้าเช่นนั้นก็ให้บิดาของเขาขอโทษแทนก็แล้วกัน" หลินอีพูดพลางเชิดหน้า "เกรงว่าจะไม่ได้เพราะพวกข้ามิได้ทำอันใดผิด ท่านพ่อเราไปซื้อผ้าร้านข้างๆกันเถอะ ร้านที่เลือกรับลูกค้าเช่นนี้ข้ามิอยากซื้อขายด้วย" เหอฟานเสวี่ยหันไปชวนบิดาและเดินไปที่ร้านผ้าข้างๆซึ่งเป็นร้านเล็กๆ "อวดดี" หลินอีพูดอย่างไม่พอใจ "หลินเออร์อย่าได้โมโหไป อย่างไรเกอผู้นั้นก็ไม่มีดีเท่าน้อง" หม่าจางอี้บอกอย่างเอาใจใส่ "จริงเจ้าค่ะ คุณหนูหลินนั้นงามกว่าเป็นไหนๆ" เสี่ยวเออร์ร้านผ้าพูดอย่างเอาใจแม้ความจริงเห็นว่าเหอฟานเสวี่ยนั้นงดงามกว่าเป็นไหนๆ แต่เรื่องอะไรเขาจะกล้าพูดความจริงล่ะ "เช่นนั้นเอาชุดฝ้าฝ้ายเนื้อละเอียดมาให้สักสองชุด" หลินอีเอ่ยสั่งเสียงดังให้เหอฟานเสวี่ยได้ยินจะได้อิจฉานางที่สามารถซื้อผ้าเนื้อดีกว่าได้ "เถ้าแก่เนี้ยขอรับ ข้าเอาผ้าไหมชั้นดี 10 พับ ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด 20 พับ ชุดสำเร็จสำหรับบุรุษ สตรี และเกอจากผ้าไหมชั้นดีอย่างละ 5 ชุดขอรับ" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยเสียงดังให้คนที่อยู่ร้านข้างๆได้ยิน ทั้งสามถึงกับหน้าม้านไอ้เกอนี่มันมีเงินมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ หม่าจางอี้คิดว่าเรื่องนี้เขาต้องรีบนำไปบอกครอบครัว ส่วนเหอจงเทาได้แต่ส่ายหน้าให้ความแสบซนของบุตรเกอดูเหมือนว่าหลังจากหายป่วยบุตรเกอของเขาจะดูมีชีวิตชีวามากขึ้น หลังจากซื้อผ้าเสร็จสองพ่อลูกก็ซื้อเครื่องปรุงและเนื้อสัตว์ รวมถึงข้าวของต่างๆจนเต็มรถม้าก่อนที่จะเดินทางกลับหมู่บ้าน รถม้าคันงามเรียกความสนใจให้กับชาวบ้านเป็นอย่างดีหลายคนถึงกับตามมาดูว่าเป็นรถม้าของผู้ใด เมื่อเห็นว่าคนที่บังคับรถหมาเป็นเหอจงเทาก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่บ้านนี้ยากจนมากหรอกหรือ แล้วเหตุใดตอนนี้้ถึงมีรถม้าคันงามเยี่ยงนี้เล่า "จงเทารถม้านี่เป็นของเจ้าหรือ" เมื่อรถม้าเข้ามาจอดบริเวณบ้านก็มีชาวบ้านที่ตามมาเอ่ยถาม "ใช่แล้วขอรับ นี่คือรถม้าของบ้านข้าเอง" เหอจงเทาเอ่ยตอบ "รถม้านับว่าเป็นของราคาแพงแล้วยิ่งรถม้าของเจ้างดงามเพียงนี้ต้องราคาหลายตำลึงทองเป็นแน่ เจ้าร่ำรวยมาจากที่ใดหรือ" เหล่าชาวบ้านต่างพากันเอ่ยถาม เหอฟานหนิงมองดูแล้วไม่เห็นสายตาอิจฉาริษยาเลยแม้แต่น้อยมีแต่สายตาตื่นเต้นกันทั้งนั้น "นั่นเป็นเพราะบุตรของข้าขอรับที่ทำให้ข้ามีตำลึงซื้อรถม้าได้ เสวี่ยเออร์มีโอกาสได้ร่ำเรียนสมุนไพรการปรุงยาและการรักษาจากหมอพเนจร เสวี่ยเออร์จึงใช้ความรู้ที่ี่่ได้มาเก็บสมุนไพรบนเขานำไปขายจากนั้นก็ค่อยๆเก็บเงินที่ขายได้นำมาให้ข้าซื้อรถม้าขอรับ" เหอจงเทาเอ่ยโกหกออกไปตามที่ได้เตรียมกับบุตรเกอไว้ เป็นการประกาศให้ทุกคนรู้ด้วยว่าบุตรของเขามีความรู้ด้านการรักษา "บุตรของเจ้าได้เรียนวิชาจากหมอพเนจรเช่นนั้นรึ" "โอ้ ช่างโชคดียิ่งนัก" "นี่หมู่บ้านของเราจะมีหมอแล้วงั้นหรือ" "เช่นนั้นเสี่ยวฟานจะเปิดรับรักษาหรือไม่ พวกข้าจะได้ไม่ต้องเข้าไปหาหมอในเมือง แล้วค่ารักษาแพงหรือไม่" บรรดาชาวบ้านต่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าเหอฟานเสวี่ยได้ร่ำเรียนวิชาจากหมอพเนจร ขึ้นชื่อว่าหมอพเนจรชาวบ้านเชื่อว่าเป็นหมอเทวดาที่เก่งกาจและไม่ใช่จะรับผู้ใดเป็นศิษย์ง่ายๆ ดูท่าสวรรค์จะเมตตาเหอฟานเสวี่ยแล้วหลังจากถอนหมั้นกับพวกสกุลหม่าชีวิตก็ดูเหมือนจะดีขึ้น ใช่แล้ว หลังจากที่ผู้เฒ่าหม่าตายไปก็ไม่มีผู้ใดชอบสกุลหม่าสักคน "ใช่แล้วขอรับบุตรของข้าได้เรียนกับหมอพเนจรจนตอนนี้สามารถรักษาคนได้แล้วหมอพเนจรผู้นั้นจึงออกเดินทางไกลต่อ ไหนๆพวกท่านหลายคนก็มาที่นี่แล้วเช่นนั้นข้าก็ขอแจ้งว่าบ้านของข้าจะเปิดรับการรักษา ส่วนเรื่องค่ารักษานั้นไม่มีขอรับแต่หากพวกท่านจะจ่ายก็ขอรับเป็นค่าสมุนไพรเล็กๆน้อยๆเพียงแค่นั้นขอรับ" เหอจงเทาป่าวประกาศบอกเหล่าชาวบ้าน "เหตุใดไม่เก็บเงินเล่า" "ใช่ เช่นนั้นเสี่ยวฟานจะไม่เหนื่อยเปล่าหรือ" "เพราะข้าต้องการสืบต่อเจตจำนงค์ของอาจารย์ขอรับ" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยตอบ "เป็นเช่นนี้นี่เอง พวกเจ้าช่างจิตใจดียิ่งนัก สามีของข้ามักมีอากาศปวดหัววันรุ่งขึ้นข้าพามารักษากับเจ้าได้หรือไม่" สตรีวัยกลางคนเอ่ยถาม "ได้ขอรับ แต่วันนี้ข้าขอให้ทุกท่านกลับไปก่อนนะขอรับพรุ่งนี้หากใครต้องการรักษากับข้าค่อยมาใหม่ ตอนนี้ข้าหิวมากแล้ว" เหอฟานเสวี่ยพูดพลางทำหน้าตาออดอ้อนสร้างความเอ็นดูให้เหล่าชาวบ้านเป็นอย่างมาก หลังจากชาวบ้านกลับไปข่าวที่เหอฟานเสวี่ยได้ร่ำเรียนกับหมอเทวดาและซื้อรถม้าคันงามอีกทั้งข้าวของมากมายก็แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านทำให้ครอบครัวหม่าวิ่งเต้นเป็นอย่างมาก "อาอี้ บ้านเหอซื้อรถม้าจริงรึ" นางกัวเหม่ยเอ่ยถามบุตรชาย คนสกุลเหอซื้อรถม้าได้อย่างไรกัน สามีของนางเป็นผู้นำหมู่บ้านบ้านของนางยังมีแค่เกวียนวัว "จริงขอรับ" หม่าจางอี้เอ่ยตอบมารดา "เหตุใดพวกมันถึงมีเงินซื้อรถม้า มิใช่มันเช่ามาหรอกรึ" นางกัวเหม่ยเอ่ยอย่างร้อนใจตอนนี้นางรู้สึกอิจฉาริษยาไปหมด นางไม่ต้องการให้ผู้ใดในหมู่บ้านมีความเป็นอยู่ดีกว่าครอบครัวหม่าของนาง "คงไม่หรอกขอรับท่านแม่ เมื่อตอนกลางวันข้าเจอกับเหอฟานเสวี่ยและบิดาของเขาในเมือง ข้าเห็นเหอฟานเสวี่ยซื้อผ้าไหมชั้นดีมากมายเลยขอรับ" หม่าจางอี้เอ่ยบอกมารดาลึกๆก็รู้สึกเสียดายหากครอบครัวเหอมีเงินย่อมสนับสนุนเขาได้แน่ "จริงรึ! พวกมันมีเงินถึงขนาดซื้อผ้าไหมชั้นดีเลยรึ" หม่าซูเหมยเอ่ยถามพี่ชาย ความริษยาแผดเผาไม่ต่างกับมารดา "อาอี้หากครอบครัวเหอมีเงินถึงเพียงนี้เจ้าก็จงสอบซิ่วไฉให้ได้ หลังจากแต่งกับหลินอีแล้วรับเหอฟานเสวี่ยเป็นภรรยารอง" หม่าเฉินเอ่ยบอกลูกชาย บ้านเหอมีบุตรเกอเพียงคนเดียวเช่นนั้นสมบัติมันจะไปไหนได้ "ขอรับท่านพ่อ" หม่าจางอี้รับคำนึกภาพที่มีสตรีในดวงใจและเกอที่งดงามคอยปรนนิบัติตนอีกทั้งมีเงินทองมากมายก็กะหยิ่มยิ้มในใจ #ฝากติดตามด้วยนะคะ #ยังไม่ได้แก้คำผิดทั้งสองเดินกลับเข้ามาในบ้านที่มีบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายกำลังนั่งคุยกันอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะเข้าไปนั่งข้างบิดามารดาของตัวเอง เมื่อเห็นว่าทั้งสองนั่งลงแล้วจ้าวฮูหยินก็เปิดปากพูดขึ้น”เสวี่ยเออร์ แม่ได้คุยกับบิดามารดาของเจ้าแล้ว บิดามารดาของเจ้ายินดีหากเจ้าจะหมั้นกับอาจวิน” “…..” เหอฟานเสวี่ยหันหน้าไปมองบิดามารดาของตนก็เห็นว่าทั้งคู่พยักหน้าให้“เจ้าล่ะ ยินดีจะหมั้นหมายกับจวินเกอของเจ้าหรือไม่” จ้าวฮูหยินเอ่ยถามว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยรอยยิ้ม จ้าวเพ่ยจวินเองก็มองคนน้องด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแต่ภายในใจก็ลุ้นอยู่ไม่น้อย“ข้า…ขอเรียนท่านแม่ตามตรง ตัวข้านั้นยังอยากอยู่กับบิดามารดาเปิดบ้านรักษาชาวบ้านเช่นนี้ หากวันนึงข้าต้องแต่งงานกับจวินเกอข้าอาจไม่สามารถไปอยู่ที่เมืองหลวงได้” เหอฟานเสวี่ยเอ่ยบอกจุดประสงค์ของตน แม้ว่าครอบครวคนพี่จะเคยพูดว่าไม่ได้กังวลที่จะให้บุตรชายมาอยู่ที่นี่แต่เขาก็อยากจะพูดคุยให้ชัดเจนอีกครั้ง“อาจวิน เจ้าว่าอย่างไร ยินดีจะมาอยู่กับน้องที่นี่หรือไม่” จ้าวฮูหยินเอ่ยถามบุตรชาย“ลูกยินดีขอรับท่านแม่ ขอแค่มีเสวี่ยเออร์อยู่ลูกอยู่ที่ไหนก็ได้ขอรับ” จ้าวเพ่ยจ
วันเวลาล่วงเลยผันผ่าน จนเวลาล่วงเลยผ่านมาสามปี เหอฟานเสวี่ยยังคงทำหน้าที่เป็นหมอเทวดาน้อยได้อย่างดีเช่นเดิมจวบจนตอนนี้จากเกอน้อยวัย 12 หนาวกลายเป็นเกอวัย 15 หนาวซึ่งตามธรรมเนียมคือถึงช่วงวัยปักปิ่นและออกเรือนสำหรับเกอและสตรีในยุคนี้ งานปักปิ่นให้กับเหอฟานเสวี่ยจะถูกจัดขึ้นอีกสามวันข้างหน้าผู้เป็นมารดาใบหน้ามีความสุขที่เห็นบุตรของตนเติบโตขึ้นมากผิดกลับบิดาที่รู้ว่าบุตรเกอของตนถึงวัยออกเรือนก็เอาแต่ทำหน้าเครียด “ท่านพ่อเลิกทำหน้าเศร้าเถิดขอรับ ข้ามิได้จะออกเรือนวันพรุ่งนี้เสียหน่อย” เหอฟานเสวี่ยเอ่ยบอกบิดาด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่“พ่อเพียงแค่เป็นห่วงเจ้า” นับวันบุตรเกอของตนยิ่งงดงามขึ้นมีแม่สื่อจากหลายตระกูลมาทาบทามแม้ว่าจะพูดไปว่าบุตรของเขามีคู่หมายแล้วก็ตาม“ท่านพี่อย่าคิดมากไป ถึงอย่างไรวันนึงเสวี่ยเออร์ก็ต้องออกเรือน” สวี่ฟางเอ่ยกับสามี“เหอะ แล้วนี่ไอ้บุรุษหน้าเหม็นผู้นั้นไปไหนเล่า มาประกาศตัวแล้วก็หนีหายมิใช่ว่าทิ้งเจ้าไปแต่งงานแล้วหรือ” เหอจงเทาเอ่ยถามบุตรเกอ เหอฟานเสวี่ยที่ได้ยินคำถามนั้นก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆให้กับบิดา ตั้งแต่จ้าวเพ่ยจวินกลับไปเมืองหลวงตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้เป็นเวลา
หลังจากจับตัวคนที่ก่อเรื่องส่งทางการไปชาวบ้านคนอื่นๆก็ต่างแห่พากันตามไป เหอฟานเสวี่ยก็ต้องเดินทางไปเพราะถือว่าเป็นผู้เสียหายแม้ว่าเหอจงเทาจะไม่อยากให้บุตรของตนไปเจอหน้าคนพวกนั้นอีกก็ตาม ครอบครัวเหอรวมถึงจ้าวเพ่ยจวินและลูกศิษย์ทั้งสองพากันเดินทางมายังในตัวเมือง ผู้ตัดสินคดีในครั้งนี้คือท่านเจ้าเมืองผู้ที่เคยตัดสินคดีของนายอำเภอและหม่าจางอี้ “ท่านเจ้าเมืองเจ้าคะ ท่านเจ้าเมืองช่วยบุตรชายของข้าด้วยชาวบ้านพวกนี้มันทำร้ายร่างกายบุตรชายข้า” สตรีวัยกลางคนรีบเอ่ยขอความช่วยเหลือคนผู้นั่งอยู่บนโต๊ะตัดสินสูงสุดทันทีปัง!“เงียบ! พวกเจ้าจงอยู่ในความสงบข้าจะเป็นผู้ไต่สวนเอง” ท่านเจ้าเมืองพูดเสียงเย็น ดูทรงอำนาจอย่างไม่อาจต้านทาน“บอกชื่อของเจ้ามา” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถามบุรุษผู้เต็มไปด้วยรอยแผลตามร่างกาย“คาระวะท่านเจ้าเมือง ข้าน้อยหย่งเล่อ ขอรับ” “เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมา เหตุใดเจ้าจึงถูกจับตัวมาส่งทางการแล้วเหตุใดร่างกายจึงเต็มไปด้วยรอยแผลเช่นนี้” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถามเสียงเรียบ ท่าทางเต็มไปด้วยอำนาจทำให้บุรุษหนุ่มพูดไม่ออกเพราะกลัวความผิด“อะ เอ่อ…คือ”“จะอะไรเสียอีกเล่า เกอผู้นี้ยั่วยวนบุตรชา
จ้าวเพ่ยจวินลืมตาตื่นมาในตอนเช้ามืด ร่างสูงลุกขึ้นบิดไล่ความขบเมื่อยการนอนต่างที่ต่างถิ่นเป็นเรื่องปกติของเขาไปเสียแล้ว คราที่มาแอบดูคนน้องบางครั้งเขายังนอนบนต้นไม้ไม่ก็หลังคาเรือน จ้าวเพ่ยจวินรีบลุกขึ้นไปจัดการธุระตนเองเพราะจากการที่เมื่อก่อนมาแอบดูคนน้องเขารู้ดีว่ากิจวัตรในทุกเช้านั้นคืออะไร ร่างสูงเดินตรงเข้าไปที่เรียนครัวที่ตอนนี้มีสามคนพ่อแม่ลูกกำลังวุ่นวายกับการเตรียมอาหารกันอยู่“จวินเกอ!” เหอฟานเสวี่ยที่หันไปเห็นคนท่เพิ่งเข้ามาก็ร้องเรียกด้วยความตกใจ“มีอันใดให้พี่ช่วยหรือไม่” จ้าวเพ่ยจวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม สรรพนามที่ใช้แทนตัวเองที่เปลี่ยนไปทำให้เหอฟานเสวี่ยเขินอายอยู่ไม่น้อย“ไม่มีขอรับ”อีกฝ่ายเป็นแขกเขาจะให้มาช่วยทำงานได้อย่างไรกัน“คุณชายจ้าวเหตุใดจึงตื่นเช้านักเล่า ไม่ไปนอนต่ออีกเสียหน่อย หรือว่าที่หลับนอนไม่สบายเดี๋ยวป้าจะเข้าเมืองไปซื้อฟูกมาปูให้ใหม่” สวี่ฟางเอ่ยถามบุรุษหนุ่ม จ้าวเพ่ยจวินเป็นถึงคุณชายจากเมืองหลวงนอนผ้าปูพื้นบางๆคงจะไม่สบายตัวเป็นแน่“เป็นบุรุษหากทนลำบากแค่นี้ไม่ได้แล้วจะดูแลภรรยาในอนาคตได้อย่างไร” เหอจงเทาค่อนแคะ“ไม่เป็นไรขอรับท่านป้า แค่นอนไ
จ้าวเพ่ยจวินกับเหอฟานเสวี่ยออกเดินทางตั้งแต่ยามเหม่าเพื่อที่จะได้ถึงเมืองที่เหอฟานเสวี่ยอาศัยอยู่ก่อนตะวันตกดิน พวกเขาเลือกพักกินอาหารแค่ครู่เดียวก็ออกเดินทางต่อ จนเวลาล่วงเลยมาถึงยามเชินขบวนรถม้าหลายคันก็เข้าสู่หมู่บ้านและมุ่งหน้ามายังบ้านเหอ ชาวบ้านหลายคนต่างพากันเดินตามมาดูขบวนรถม้าคันใหญ่ที่วิ่งเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อเห็นว่ามาจอดที่บ้านเหอจึงพากันยืนมุงดูอยู่ด้านนอก“ท่านพ่อ! ทานแม่!” เหอฟานเสวี่ยที่ลงจากรถม้าได้ก็รีบพุ่งไปกอดบิดามารดาของตนเองทันที“เสวี่ยเออร์” สวี่ฟางอ้าแขนรับกอดลูกของตัวเองด้วยความคิดถึง เหอจงเทาที่เห็นว่าบุตรเกอของตนกลับมาอยากปลอดภัยความกังวลที่มีอยู่หลาดวันมานี้ก็คลายลง“คาระวะนายท่านเหอ ฮูหยินเหอ” จ้าวเพ่ยจวินเดินเข้ามาคำนับผู้อาวุโสทั้งสอง “เสวี่ยเออร์” สวี่ฟางมองหน้าบุตรเกอของตนด้วยสายตาตั้งคำถาม ส่วนเหอจงเทาที่เห็นว่ามีบุรุษเดินทางมากับบุตรเกอของตนก็มีสีหน้ามืดครึ้มลง“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ นี่คุณชายจ้าวเพ่ยจวินขอรับ ช่วงที่อยู่เมืองหลวงข้าพักที่จวนสกุลจ้าวแล้ววันนี้คุณชายจ้าวจึงอาสามาส่งข้าขอรับ” เหอฟานเสวี่ยเอ่ยแนะนำคนพี่ให้รู้จัก“เจ้าคือคนที่มอบปิ่
หลังจากสิ้นสุดงานเลี้ยงอันสนุกสนาน? คุณหนูหลายตระกูลก็ถูกสั่งให้กักตัวอยู่แต่ภายในจวน คุณหนูเซี่ยเองต้องไปคุกเข่าที่หน้าศาลบรรพชนตามรับสั่งของฮ่องเต้จนชาวเมืองต่างเล่าลือกันสนุกปาก ส่วนเหอฟานเสวี่ยนั้นต้องเข้าวังถวายการตรวจพระครรภ์ของฮองเฮาอยู่หลายครั้งสลับกับการไปแลกเปลี่ยนความรู้กับเหล่าอาจารย์ของสำนักหมอหลวงโดยที่มีจ้าวเพ่ยจวินตามไปด้วยไม่เคยห่างจนเวลาล่วงเลยมาเกือบเดือนจึงถึงเวลาที่เหอฟานเสวี่ยต้องเดินทางกลับบ้านของตน“เสวี่ยเออร์ลาท่านพ่อท่านแม่ขอรับ” เหอฟานเสวี่ยคำนับลาผู้อาวุโสของจวนตามธรรมเนียม“ไม่อยู่ต่ออีกสักนิดหรือลูก” จ้าวฮูหยินเอ่ยพลางน้ำตาซึม ตลอดเวลาเกือบเดือนที่อีกฝ่ายอยู่ที่นี่เขารู้สึกเอ็นดูไม่น้อย“อย่าทำให้ลูกลำบากใจเลย เส้นทางยาวไกลหลายพันลี้อาจวินเจ้าต้องดูแลน้องดีๆ พ่อขอให้พวกเจ้าเดินทางปลอดภัย” บิดาของจ้าวเพ่ยจวินเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มใจดี“ขอรับท่านพ่อ” จ้าวเพ่ยจวินรับคำผู้เป็นบิดา“อย่าลืมมาหาแม่บ้างนะเสวี่ยเออร์ จวนตระกูลจ้าวตอนรับเจ้าเสมอ” จ้าวฮูหยินเอ่ยบอกเกอน้อย“ขอรับ หลายวันมานี้เสวี่ยเออร์มารบกวน ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่ที่ดูแลข้าอย่างดีขอรับ” เหอฟานเสวี