ตอนที่ 7 ภารกิจ#3
ฟิตเนส
เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึงฟิตเนสที่เวย์เป็นสมาชิกอยู่ ชายหนุ่มในชุดออกกำลังกายก็คว้ากระเป๋าสะพายของใช้ส่วนตัวก้าวเท้าลงจากรถเดินเข้าไปด้านในทันทีโดยไม่รอหญิงสาวที่เดินกึ่งวิ่งตามหลังมาติด
“รอฉันด้วยสิคะ” เสียงหอบเหนื่อยพูดขึ้นขณะที่วิ่งมาขนาบด้านข้างชายหนุ่มได้ทันขณะที่ยืนรอลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังชั้นบน
“เดินช้าเอง”
“ก็คุณขายาวฉันเดินตามไม่ทันนี่ก็แทบจะวิ่งตามแล้วนะคะ”
“แล้วผมผิดหรือไงที่เกิดมาได้มาตรฐาน ต้องโทษพ่อแม่คุณหรือโทษตัวเองดีที่ไม่รู้จักดื่มนมตอนเด็ก เอาแต่กินลูกอมโตมาถึงได้เตี้ยแบบนี้ไง” ประโยคยาวเหยียดที่คนฟังไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี ที่วันนี้เขาเริ่มพูดกับเธอเป็นประโยคที่ยาวขึ้นแต่คิดอีกด้านที่เขาพูดมายาวเหยียดทั้งหมดนั้นเหมือนเขาบูลลี่เธอว่าเธอเตี้ย
“นี่คุณบูลลี่ฉันว่าฉันเตี้ยใช่ไหมคะ”
“การบูลลี่คือการเอาจุดด้อยของคนอื่นมาล้อ แล้วที่ผมพูดคือจุดด้อยของคุณหรือเปล่าล่ะ”
“ฉันไม่ได้เตี้ยสักหน่อยความสูงฉันได้มาตรฐาน คุณเองนั่นแหละที่สูงเกินไป..ตอนเด็กพ่อแม่คุณเลี้ยงด้วยเสาไฟฟ้าหรือไง หึ! ชอบบูลลี่ความสูงคนอื่น” ใบหน้าเรียวเล็กง้ำงอลงอย่างเห็นได้ชัดเดินกระทืบเท้าเข้าไปในลิฟต์จนสุดด้านใน แขนเล็กทั้งสองข้างกอดที่อกเบือนหน้าหนีมองไปทางอื่น
“หึ! งอนเหมือนเด็ก” รอยยิ้มผุดขึ้นมุมปากเมื่อเห็นเงาของหญิงสาวที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ด้านหลัง
ติ๊ง!
“คุณนั่งรอผมตรงนี้ก็ได้นะ”
“เอ่อ..คุณ” เท้ายาวหยุดชะงักขณะกำลังเอี้ยวตัวหันหลังเดินออกไปห้องฟิตเนสข้าง ๆ ที่มีเพียงกระจกใสกั้น
“โทรศัพท์ฉันแบตหมดและฉันก็ไม่ได้พกที่ชาร์จแบตสำรองมาด้วย ฉันขอยืมโทรศัพท์คุณดูซีรีส์หน่อยได้ไหมคะ”
“โทรศัพท์ผมไม่มีแอปอะไรพวกนั้นหรอก คุณหยิบหนังสือพวกนี้อ่านแก้แล้วกัน”
“ไม่มีก็โหลดได้นี่คะ นะคะ น๊า น๊า ฉันขอยืมหน่อยสัญญาว่าจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับโทรศัพท์คุณแน่นอนจะดูแค่ซีรีส์อย่างเดียวจริง ๆ ค่ะ” ใบหน้าหวานดวงตากลมโตทำตาปริบ ๆ เชิงอ้อนวอนจนใครเห็นเป็นต้องใจอ่อน
“อือ..อือ..อย่าทำอะไรมากกว่าการดูซีรีส์เด็ดขาด” โทรศัพท์เครื่องหรูถูกล้วงจากกระเป๋ากางเกงส่งให้หญิงสาว สไมล์แปลกใจว่าเป็นคนละเครื่องกับที่เคยเห็นเวย์ใช้งานที่คลินิกแต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากเพราะชายหนุ่มอาจจะมีโทรศัพท์หลายเครื่องก็ได้
สไมล์นั่งดูซีรีส์เรื่องที่เธอดูค้างไว้เมื่อคราวก่อนระหว่างรอเวย์ออกกำลังกาย
กริ๊ง..กริ๊ง..กริ๊ง เสียงเรียกเข้าดังขึ้นและหน้าจอโชว์ชื่อของคนที่โทรเข้ามา (ไนร่า) ซึ่งแน่นอนว่าเป็นชื่อของผู้หญิงแน่นอน สไมล์ได้แต่ปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่แบบนั้นไม่กล้ารับสาย จนผ่านไปสามสายและดังขึ้นเป็นครั้งที่สี่เธอคิดว่าปลายสายคงมีธุระสำคัญจึงตัดสินใจกดรับเพราะตอนนี้เวย์กำลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ไม่สะดวกที่เธอจะเรียกชายหนุ่มมารับสาย
“สวัสดีค่ะ”
“เธอเป็นใคร ทำไมถึงมารับโทรศัพท์เวย์ได้” เสียงแหลมแสบแก้วหูดังเข้ามาในสายทันทีที่เธอพูดจบ
“คุณหมอเวย์กำลังอาบน้ำอยู่ค่ะ ตอนนี้ไม่สะดวกรับสายฉันจึงรับสายแทนค่ะ”
“เธอชื่ออะไร”
“เอ่อ..ฉันชื่อสไมล์ค่ะ ถ้าคุณไม่ได้มีธุระด่วนอะไรฉันจะบอกคุณหมอให้นะคะว่าคุณโทรมา สวัสดีค่ะ” สไมล์เลือกที่จะตัดสายไปเพราะเท่าที่ฟังคนที่โทรเข้ามานั้นคงไม่มีธุระด่วนอะไร
“หึยยัยบ้า ยายนกหัวจุก ยัยนกแก้วเสียงแหลม”
“มีอะไร” เวย์ถามขึ้นขณะที่เดินเข้ามาเห็นหญิงสาวนั่งบ่นกับหน้าจอโทรศัพท์ที่ไฟหน้าจอยังสว่างอยู่
“เปล่าค่ะ เมื่อกี้แฟนคุณโทรมาฉันเห็นว่าเขาโทรเข้ามาหลายสายคิดว่าเรื่องด่วนก็เลยกดรับไป คุณโทรกลับหาเขาด้วยนะคะ” มือเล็กส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของใบหน้าไม่ดีสักเท่าไหร่เพราะเธอกำลังดูซีรีส์สนุก ๆ แต่ก็มีสายเข้ามาขัดจังหวะแถมสายนั้นก็แว๊ดเสียงใส่เธอจนแสบแก้วหู
“แฟนผม ใคร?” เวย์ถามกลับสีหน้างุนงง ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 32 ปี เวย์ยังไม่เคยเรียกใครว่าแฟนเลยสักครั้ง แล้วอยู่ ๆ แฟนของเขาจะโทรเข้ามาได้อย่างไร
“แฟนคุณที่ชื่อไนร่าไง หรือมีเยอะจนไม่รู้ว่าเป็นใคร”
“ไนร่าโทรหาผมงั้นเหรอ” ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้งก่อนจะกดปลดล็อกหน้าจอและกดเข้าไปดูประวัติการโทร
“เธอว่ายังไงบ้าง”
“จะว่ายังไงล่ะเอาแต่แว๊ด ๆ ใส่ฉันจนแก้วหูฉันแทบแตก นึกว่านกแก้ว” พูดจบร่างอรชรก็เดินดุ่ม ๆ ออกจากห้องไปและเดินไปยังลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นล่างลานจอดรถ
“งอนอะไรของเขา งอนเก่งชะมัด” เวย์บ่นพึมพำกับตัวเองและรีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วรีบเดินตามสไมล์ออกไป
“เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่กลับไปเอารถที่คลินิกคุณแล้วกัน คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวนรถกลับไปส่ง” สไมล์พูดขึ้นขณะที่อยู่ในลิฟต์พูดจบประตูลิฟต์ก็เปิดออกทันที
ติ๊ง!
“ไปขึ้นรถสไมล์” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นจนเท้าเล็กต้องหยุดเดินทั้งที่พึ่งก้าวเท้าไปเพียงแค่สามก้าว
“ฉันบอกคุณแล้วไงคะว่าฉันจะกลับเอง” คนตัวเล็กยังยืนกรานอย่างดื้อดึงว่าเธอนั้นจะกลับบ้านด้วยตัวเอง
“อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำสไมล์ ขึ้นรถ” เวย์สั่งเสียงแข็งขึ้นกว่าเดิมจนคนหัวดื้อต้องหันหลังเดินไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล
ตึก ตึก ตึก เสียงรองเท้ากระทบพื้นคอนกรีตลานจอดรถที่ดังกว่าปกติเพราะน้ำหนักเท้าที่กระทบกับพื้นไม่ใช่การเดินธรรมดาแต่เป็นการกระทืบเท้าหนัก ๆ ระหว่างเดิน
“คาดเข็มขัด” สั่งออกไปเสียงเรียบเมื่อสไมล์ขึ้นมานั่งบนรถนั่งเอียงตัวหันไปด้านข้าง
บรรยากาศภายในรถเงียบสงัดมีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังเล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยิน สไมล์จากปกติที่พูดไม่หยุดตอนนี้นั่งเงียบตลอดทางไม่เอ่ยปากพูดอะไรสักคำ
ตื๊ด..ตื๊ด..ตื๊ด..เสียงบลูทูธที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อเวย์กดต่อสายหาใครบางคน
“ฮัลโหลเบบี๋” คำทักทายเสียงหวานดังจากปลายสาย
“ฮัลโหลมัม โทรมามีอะไรหรือเปล่าครับ” สรรพนามเรียกปลายสายสไมล์ได้ยินถึงกับหันขวับมามอง
“มัมคิดถึงลูกชายสุดหล่อของมัมนี่คะ แล้วสาวที่ไหนรับโทรศัพท์ลูกคะ”
“เพื่อนครับ เมื่อกี้ผมพึ่งฟิตเนสเสร็จกำลังอาบน้ำอยู่เธอก็เลยรับสายแทน มัมได้ดุอะไรเธอหรือเปล่าครับ” เวย์แกล้งถามออกไปเพราะอยากรู้ว่าสาเหตุที่คนข้าง ๆ นั่งหน้างออยู่ตอนนี้นั้นแม่เขาเป็นสาเหตุหรือไม่
“เปล่านี่คะ มัมแค่ถามว่าเธอเป็นใคร ชื่ออะไรแค่นั้นเอง” เมื่อได้ฟังคำตอบของมารดาเวย์พอจะเข้าใจว่าทำไมหญิงสาวผู้ร่าเริงตลอดเวลาถึงกลับนั่งหน้าบึ้งได้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
“ถ้างั้นแค่นี้ก่อนนะครับมัม ผมกำลังขับรถอยู่”
“โอเคค่ะ มัมคิดถึงลูกนะคะไว้มัมจะเที่ยวเผื่อ” เวย์กดวางสายจากมารดาเมื่อคุยธุระเสร็จเรียบร้อย สายตาคมเหลือบมองใบหน้าเรียวเล็กที่ตอนนี้ปรับเป็นปกติและหมุนท่านั่งกลับมานั่งตรงหน้ามองถนนด้านหน้าจนเวย์ถึงกลับเผลอยิ้มมุมปากอย่างลืมตัว
“หิวข้าวหรือยัง” เวย์เอ่ยถามเสียงทุ้มนุ่มกับเด็กน้อยที่ตามเขาต้อย ๆ ตลอดทั้งวัน
“ฉันอยากกินซีฟู้ด”
“หึ! พูดได้แล้วสินะ”
รถยนต์คันหรูขับมุ่งหน้าสู่ร้านอาหารเมื่อได้รับคำตอบว่าหญิงสาวที่นั่งข้าง ๆ นั้นเธอต้องการทานอาหารประเภทซีฟู้ด การจราจรที่ติดขัดในช่วงเย็นไม่ได้สร้างความรำคาญใจให้บุคคลที่นั่งอยู่ภายในรถ เสียงเพลงสากลคลอเบา ๆ ช่วยสร้างบรรยากาศให้เพลิดเพลินจนลืมเรื่องรถติดไปสนิท ทั้งสองใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งชั่วโมงเวย์ก็หักพวงมาลัยจากเส้นหลักเข้าสู่ถนนเส้นเล็กที่เป็นซอยแคบ
“คุณขับเข้ามาในนี้ทำไมคะ” สไมล์เอ่ยถามขึ้นเมื่อซอยแคบสองข้างทางมีแต่ตึกเก่า ๆ เหมือนขับเข้ามาท่ามกลางเมืองร้าง
“ก็พาคุณไปทานซีฟู้ดไง”
“แต่ซอยนี้มันเปลี่ยวและน่ากลัวมากนะ มันมีร้านอาหารอยู่จริงเหรอคะ” สไมล์ถามย้ำอีกครั้งเพราะตั้งแต่ขับรถเข้ามาเกือบ 500 เมตรแล้วยังไม่เห็นร้านอาหารสักร้านเลย
“ร้านลับ” คำตอบสั้น ๆ ทำไมให้สไมล์ถึงกลับถอนหายใจ
ขับมาได้สักพักก็เจอกับถนนเส้นหลักที่ตัดออกไปแถวชานเมือง สไมล์ที่นั่งเกร็งมาตลอดทางก็ถอนหายใจเสียงดังอีกครั้ง
“เฮ้อ!”
“หึ!” เวย์เผลอยิ้มอีกครั้งอย่างลืมตัวโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไร่ที่ตนเองเผลอยิ้มแบบนี้
“ถึงแล้ว” รถยนต์คันหรูขับเข้ามาจอดภายในร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ลมพัดโชยกลิ่นดอกไม้ที่ประดับประดาอยู่หน้าร้านส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ มาแต่ไกล แสงไฟสีเหลืองตกแต่งตลอดทางเดิน เมื่อเดินเข้าไปภายในร้านที่เป็นลานกว้างก็ได้ยินเสียงคลื่นกระทบกับกำแพงกั้น บรรยากาศยามเย็นย่านชานเมืองที่แสนจะเงียบสงบ แสงไฟจากบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ริมน้ำเป็นบรรยากาศที่สวยและมีเสน่ห์ สายตาทอดยาวมองรอบ ๆ ตั้งแต่เดินเข้ามาภายในร้าน
“ทานอะไร” เสียงทุ้มดังขึ้นขัดจังหวะเรียกสไมล์ให้กลับมาสนใจเมนูอาหารตรงหน้า
“กุ้งทอดกระเทียม กุ้งเผา ปูนึ่ง ปลากะพงทอดน้ำปลา หมึกย่างน้ำจิ้มซีฟู้ด” รายการอาหารในหัวที่เธออยากทานทั้งหมดถูกสั่งออกไปโดยไม่ได้อ่านเมนูที่เวย์ส่งให้แม้แต่น้อย
“เอาตามที่เธอสั่งเมื่อกี้ครับ เพิ่มข้าวผัดปูด้วยจานหนึ่งครับ” เวย์หันไปบอกพนักงานที่รับเมนูอีกครั้ง
“ฉันไม่ได้สั่งข้าวผัดนี่คะ”
“ผมสั่ง” เสียงตอบกลับไม่ดังมากนัก
ระหว่างนั่งรออาหารมาเสิร์ฟสไมล์ก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายรูปวิวบริเวณโดยรอบ เพราะตำแหน่งโต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่ริมฝั่งซ้ายของร้านซึ่งเป็นโซนแยกจากโต๊ะอื่นและตรงนี้มองเห็นวิวรอบ ๆ ได้ชัดเจน รอประมาณ 20 นาทีอาหารทั้งหมดก็ถูกยกมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ
ข้าวผัดปูจานใหญ่ถูกตักแบ่งใส่จานเล็กและถูกยกไปวางลงตรงหน้าหญิงสาว
“ฉันไม่ทานข้าวค่ะ” เสียงหวานปฏิเสธจานข้าวตรงหน้าทันพร้อมกับตักกุ้งเผาตัวใหญ่มาใส่จานอีกใบที่วางอยู่ด้านข้าง
“ถ้าไม่ทานข้าวอย่างอื่นก็ไม่ต้องทาน” เสียงเรียบเอ่ยบอกออกไปสีหน้าจริงจัง จนคนที่กำลังใช้ช้อนตักมันกุ้งต้องหยุดชะงักเงยหน้ามองหน้าชายหนุ่ม
“เผด็จการ” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นก็ตักข้าวในจานตรงหน้าทานจนหมดและเริ่มจัดการอาหารอย่างอื่นตรงหน้าจนหมดเกลี้ยง
“กินเปลืองขนาดนี้ใครจะเลี้ยงไหว” เวย์ที่นั่งมองสไมล์ทานกว่าครึ่งชั่วโมงถึงกับอึ้งที่คนตัวเล็กสามารถทานอาหารเยอะแยะบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยง
“ฉันทำงานเลี้ยงตัวเองได้ค่ะ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“ผมจ่ายแล้ว”
สไมล์เริ่มมามีบทบาทในชีวิตของเวย์มากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าเธอจะทำงานเหนื่อยแค่ไหนก็จะแวะมาหาเวย์ที่คลินิกแล้วนั่งรอจนเวย์ตรวจคนไข้เสร็จไม่ว่าจะดึกยังไงก็ยังคงอยู่รอ เสาร์อาทิตย์ที่ไม่มีงานก็จะรีบหาอาหารเช้ามาคอยจัดเตรียมไว้ให้เวย์ จนเวย์รู้สึกว่าสไมล์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของตนเองไปแล้ว วันไหนสไมล์มาที่คลินิกช้าหรือติดงานจนมาไม่ได้มาเวย์ก็รู้สึกว่าชีวิตเหมือนมีบางสิ่งขาดหายไป จนบางครั้งแค่สไมล์มาถึงคลินิกช้าไปแค่นาทีเดียวเวย์ก็แทบอยากจะกดเบอร์โทรตาม แต่เพราะกลัวว่าสไมล์จะรู้ว่าเขาเริ่มมีใจให้กับเธอทุกครั้งที่สไมล์หายไปเวย์จึงทำได้เพียงแค่นั่งมองเบอร์ของสไมล์บนหน้าจอ