สองสตรีรูปร่างบอบบางเดินผ่านโรงเรือนปลูกผักที่บัดนี้หน้าตาเปลี่ยนไปมากจากโอ่งดินปากกว้างที่ตั้งเรียงรายบัดนี้ถูกผลัดเปลี่ยนแทนที่ด้วยโครงไม้ไผ่สี่ชั้น ตรงกลางเจาะรูซ้ำมีต้นกล้าเขียวของผักสลัดโผล่ออกมาอวดสายตาช่างเป็นภาพที่น่าชวนให้มองดูด้วยเพราะแปลกตาอย่างไม่เคยพบเจอมาก่อน ครั้นเดินมาเพียงครู่ก็มาถึงหน้าเรือนที่หมิงอี้ปลูกแยกอกมาเพื่อใช้ทดลองวิธีปลูกผัก เพาะพันธุ์กล้าผัก หรือคิดค้นสูตรปุ๋ยใหม่ ๆ ที่เหมาะกับโลกยุคโบราณนี้ที่เธอหลงมาในเวลานี้“ค่อย ๆ นะ ช่วงนี้รกหน่อยข้ายังมิทันได้เก็บหนะ ” หมิงอี้เปิดผ้าผืนบางที่ใช้ล้อมปิดไว้รองจากบสนประตูอีกชั้นขึ้นให้เฟิน เฟิน ได้มุดลอดเข้ามาได้ถนัด“แค่ก ๆ พี่หมิงอี้นี่กลิ่นอะไรกันยังกะยาสมุนไพรหนะจะว่าฉุนก็ไม่ใช่ซะทีเดียวเชียว แค่ก ๆ” เฟินเฟินไอค่อกแค่กใบหน้าแดงก่ำ“นี่ก็คือ...ปุ๋ยเร่งโตของข้าอย่างไรเล่า ที่อู๋ไป๋รีบเร่งออกไปก็เพราะเจ้านี่แหละ” หมิงอี้ผายมือให้เฟิน เฟิน ที่ยืนบีบจมูกอยู่ให้ได้เห็น“ห๊ะ เจ้าน้ำประหลาดนี่หนะนะ เอ๊ะ! แต่จะว่าไปไม่มีอะไรที่พี่หมิงอี้คนเก่งของข้าทำไม่ได้นี่นา ครั้งนั้นน้ำหมักนั้นยังทำให้ร้านเทียนฝูโด่งดังมาแล้วคราหนึ่
บัดนี้ภายนอกเริ่มเงียบสงัด เหล่าคนงานที่เมื่อพลบค่ำยังพูดคุยถามไถ่ทั้งเรื่องงานแลเรื่องราวต่าง ๆ ต่างเลือนหายไปตามความมืดมิดที่คืบคลานเข้ามากลืนไปทีละนิด หลายบ้านทางด้านฝั่งตลาดยังคงมีแสงไฟสว่างไสว ส่วนด้านฝั่งที่เป็นหมู่บ้านคนอพยพของนางนั้นแม้มีโรงเรือนร้านเทียนฝูของนางที่ตั้งตะหง่านอยู่แต่ก็ยังคงสว่างและคึกครื้นสู่อีกฝั่งคนพื้นเมืองไม่ได้เฉกเช่นเดิมยามไฮ่ [21.00 น.] หมิงอี้กำลังง่วนกับการชั่งตวงสัดส่วนของปุ๋ยสูตรใหม่ที่ตนกำลังคิดค้นขึ้นอย่างขะมักเขม้นคิ้มเรียวสวยขมวดมุ่นเป็นปมกับการชั่งตวงวัดที่ไม่สะดวกเท่าใดนัก เรียกได้ว่าถึงขั้นทุลักทุเลเลยก็ว่าได้ ยังดีที่ท่านแม่แวะมาจุดกำยานสงบใจให้กลิ่นไม้สนที่หอมจาง ๆ ยังพอทำให้หมิงอี้ได้สมองโปร่งโล่งอยู่บ้าง“ฮ๊า วัตถุดิบเรียบร้อย เอาล่ะทีนี้ถึงคราที่ฉัน เอ๊ยที่ข้าต้องผสมแล้วสินะ” มือเรียวเอื้อมหยิบขันที่ชั่งน้ำแช่ข้าวฟ่างที่บอกให้มารดาตักแบ่งไว้ให้ขึ้นมาเทใส่กะละมังไม้ขนาดกลางไม่ใหญ่ไม่เล็กที่มีขี้เถ้าจากไม้บดละเอียด เปลือกผลไม้และผักที่เหลือจากที่มารดาทำอาหารนำมาวางไว้ก่อนหน้าที่หมิงอี้เทลงไปไว้ก่อนหน้า ตามด้วยถั่วเขียวต้มบดหยาบ ตามหญ้าไก
หมิงอี้กึ่งวิ่งกึ่งตะโกนเข้ามายังในครัว และไม่ผิดคาดที่เห็นผู้เป็นแม่นั้นกำลังง่วนกับการปรุงอาหารอยู่กับเจ้าตัวแสบเฟิน เฟิน เห็นทีคงต้องเรียกคนมาช่วยเพิ่มกระมังลำพังท่านแม่กับเฟิน เฟิน ไม่น่าไหว ลู่เอิน ลู่อิน ชินอี หมิงอี้ก็ให้ไปดูแลคนงานในส่วนควบคุมการปล่อยน้ำรดผักและเก็บเกี่ยวแล้วด้วยสิ"ท่านแม่ อื้ม หอมมมากเลย ชักหิวแล้วสิ" หมิงอี้สวมกอดผู้เป็นแม่จากทางด้านหลังพร้อมทั้งแสร้งโอดโอยอยู่ในที จนเรียกเสียงหัวเราะชอบใจของผู้เป็นแม่และเฟิน เฟิน ได้ จากการที่ลูกสาวนั้นดูเหมือนจะเอ่ยเกินจริงไปมากทีเดียว"เจ้านี่นา โตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กมิมีผิดเลยเชียว หึ ๆ" อี้เฟินเอ่ยปรามบุตรสาวที่นับวันยิ่งซุกซนดั่งเช่นเด็ก นางมักมาคลอเคลียมากอดหอมนางอยู่เช่นวัยเด็ก ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงวัยของบุตรสาวนางนั้นใกล้ออกเรือนเสียเข้ามาทุกที"โธ่ หากข้าไม่ออดอ้อนท่านแม่แล้วจะให้ข้าไปออดอ้อนผู้ใดกันเล้า" หมิงอี้แสร้งทำแก้มป่องงอนผู้เป็นมารดกอดจะแกล้งสวมกอดแน่นขึ้นอีกเพื่อหยอกเย้า พลันสายตาดันแลเห็นเจ้าเฟิน เฟิน เด็กแสบที่บัดนี้ตั้งหน้าตั้งตาตอกไข่ลงกระทะใหญ่ที่น้ำด้านในกำลังเดือดได้ที่อย่างตั้งอกตั้งใ
หลังจากเรียกประชุมคนงานเมื่อครานั้น วันนี้หมิงอี้ก็ได้ออกมาเดินตรวจสวนผักอีกครั้งหลังจากคราคร่ำกับบัญชีของร้านตนอยู่หลายวัน และเมื่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ พื้นที่ ริมฝีปากบางถึงกับยกยิ้มอย่างภูมิใจเมื่อพบว่างานขึ้นโครงไม้ไผ่นั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งต้นกล้าที่เพาะไว้อู๋ไป๋ก็เริ่มให้คนงานนำออกมาลงปลูกไปบ้างแล้วในบางส่วน หมิงอี้เดินตรวจสอบตามแถวยาวของไม้ไผ่ที่เรียงรายยาวเหยียดก็ต้องยิ้มกริ่มกับการทำงานของผู้เป็นสหาย ที่รายละเอียดแต่ละอย่างเขียนระบุไว้ครบถ้วนตามที่ตนเองสั่ง “อืม เจ้าอู๋ไป๋นี่ไม่เลวจริง ๆ จิ๊ แต่ว่านี่ลงปลูกได้ 20 กว่าวันนับจากวันที่เพาะเมล็ดแล้วแต่กลับโตได้เท่านี้เองหรือนี่ ไม่ได้การล่ะขืนช้าแบบนี้คงขายไม่ทันที่ลูกค้าอยากได้แน่ ไหนจะเผื่อคนในวังสนใจอยากซื้อผักแปลก ๆ ในสายตาพวกเขาเพิ่มอีกเล่า อืม...” หมิงอี้กอดอกครุ่นคิด พยายามคิดหาสูตรปู๋ยหมักในหัวที่พอจดจำได้บ้างจากการร่ำเรียนมา “....” “พี่หมิงอี้!” “เฮ้ย! โธ่! เฟิน เฟิน มาไม่ให้สุ่มให้เสียงข้าตกใจหมดเลย นี่แน่” หมิงอี้อุทานอย่างตกใจที่จู่ ๆ ถูกจู่โจมจากด้านหลังอย่างมิทันตั้งตัว “ฮ่า ๆ โอ๊ยพี่หมิงอี้โขกมาได้เจ็
เวลาพลบค่ำตะวันคล้อยต่ำท้องนภาเริ่มแปรเปลี่ยนสี ณ เรือนหลังใหญ่ที่ตั้งเด่นตระหง่านในตรอกซอยที่เหล่าชนชั้นสูงพักอาศัยอยู่ บัดนี้ผู้เป็นเจ้าของกำลังนั่งร่ำสุราด้วยท่าทีที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด รอบข้างนั้นมีสาวงามคอยป้อนผลไม้แลขนมหวานอย่างพะเน้าพะนอเอาใจ ใบหน้าหล่อเหล่างดงามบัดนี้นิ่งสงบมิสามารถคาดเดาอารมณ์แลความคิดใด ๆ ของเจ้าตัวได้ แววตาดำทมิฬราบเรียบมองออกไปยังสระบัวใหญ่กลางจวนนิ่ง ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเล็กน้อยแต่ท่วงท่าที่แลดูเกียจคร้านยิ่งเมื่อเห็นคนของตนเร้นกายเข้ามาพร้อมทั้งก้มใบหน้ายืนนิ่งเพื่อเตรียมรายงานสิ่งที่ตนนั้นให้ไปสืบเสาะหา“นายท่าน” ชายชุดดำยืนโค้งเคารพผู้เป็นนายที่กำลังหยอกเย้ากับสตรีบนตั่งทองด้วยท่าทีนิ่งสงบ“อืม ว่าเช่นไรเล่า สตรีจองหองผู้นั้นตกลงว่านางกำลังทำสิ่งใดอยู่กันแน่” เฉินอ๋องหมุนควงจอกสุราทองคำเล่นไปมาพลาง ๆ เพื่อรอฟังคำรายงาน ใบหน้าหล่อเหลากดยิ้มเหยียดมุมปากน้อย ๆ“กระหม่อมไปสืบมาได้ความว่า ในเวลานี้นางกำลังปลูกผักอยู่พ่ะย่ะค่ะ”“ปลูกผัก ฮ่า ๆ ฮึ ปลูกผักกระนั้นหรือนี่นางสมองกลับแล้วหรือไร เอาแต่ปลูกผักอยู่ครั้งที่แล้วมิอาจทำสิ่งใดนางได้ หึ! ในเมื่อชื่นชอบนักเช่น
บรรยากาศยามเช้าตรู่มีหมอกจาง ๆ ให้ได้เห็น หมิงอี้กางแขนจนสุดพร้อมสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเสียเต็มปอด เมื่อสูดจนหนำใจก็ค่อย ๆ ลืมตาพร้อมทั้งกวาดมองไปยังพื้นที่รอบ ๆ โรงเรือนแปลงผักของตนช้า ๆ ด้วยความปลื้มในใจที่สามารถนำพาหมู่บ้านที่ยากจนไม่มีแม้กระทั่งผู้คนมาสนใจ หมู่บ้านคนอพยพที่เป็นแรงงานชนชั้นทาส แรงงานที่ถูกคนในเมืองใหญ่ของแคว้นกดขี่ดูถูกอีกทั้งไม่คบค้าด้วย มาบัดนี้เริ่มมีชีวิตชีวา บ้านแต่ละหลังถูกขยายขนาดใหญ่ขึ้นอีกทั้งยังเขียวชอุ่มไปด้วยพืชผักที่ปลูกตามตน ผู้คนเริ่มมีเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดีขึ้น แม้ไม่ได้เลิศหรูเสียทีเดียวแต่ก็นับว่าดีกว่าแต่ก่อนอยู่มาก อีกทั้งผู้คนจากฝั่งตลาดก็กล้าเดินข้ามมาคบค้ากับพวกตนมากขึ้นอีกด้วย“อืม เรานี่ก็เก่งไม่เบานะนี่ ต่อไปก็...หึ ๆ เงินทั้งนั้น ๆ ออเดอร์มากมายขนาดนี้ไม่ปล่อยหลุดมือไปเสียหรอก หมิงอี้สู้เว้ย!” หมิงอี้กำมือขึ้นเพื่อเรียกกำลังใจให้กับตน หมู่บ้านก็ต้องการพัฒนาและแน่นอนว่าเงินเองนางก็อยากได้ ด้วยในใจนั้นมักยึดคำที่ว่ามีเงินทุกอย่างคือจบ! และดูเหมือนว่าจะเป็นเฉกเช่นนั้นเสียด้วยสิ“อู๋ไป๋ นี่กี่โมงแล้วหากพวกเจ้าพร้อมก็เรียกรวมคนงานได้เลย วันนี้