เสิ่นซื่อที่กลับมาจากขุดผักป่ากับเพื่อนบ้าน เมื่อมาถึงกลับพบว่าลูกชายทั้งสองไม่อยู่ในบ้าน นางหาจนทั่วแล้วแต่หาลูกชายทั้งสองไม่พบ สวนหลังบ้านก็ไม่มี เมื่อไปดูในห้องเก็บฟืนถึงได้รู้ว่าตะกร้าสะพายหลังของลูกชายทั้งสองหายไป นี่ไม่เท่ากับว่าสองพี่น้องพากันขึ้นเขาไปหรือ
ลูกชายของนางยังไม่ทันได้หายดีก็ขึ้นเขาไปอีกแล้ว ด้วยความร้อนใจเสิ่นซื่อรีบออกไปตามหาทันที แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ก้าวขาออกไปพ้นประตูบ้านก็พบว่าสองพี่น้องจูงมือกันกลับมา และได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กหัวเราะคิกคักดังลอยมา เสิ่นซื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ
“เสี้ยวเอ๋อร์เจ้าพาน้องไปที่ใดมา ไม่ใช่ว่าแม่บอกให้เจ้าพักผ่อนหรือ เจ้ายังไม่หายดีด้วยซ้ำ เสียนเอ๋อร์เหตุใดเจ้าไม่ห้ามปรามพี่ชาย ไม่ใช่แม่บอกให้เจ้าอยู่ดูแลพี่ชายหรือ”
“ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ ข้าเป็นน้องชายเผื่อท่านแม่จะลืม ท่านพี่บอกว่าหายแล้ว อยากออกไปเดินเล่น พวกเราไม่ได้ไปไหนไกลเลยนะขอรับ ไปแค่ลำธารหลังบ้านเอง”
“เจ้าลูกคนนี้นี่ ไม่ใช่ว่าเจ้ารบเร้าให้พี่ใหญ่ของเจ้าพาออกไปหรอกนะ”
“ท่านแม่ขอรับ อย่าตำหนิน้องเลยขอรับ เป็นข้าเองที่ชวนน้องชายออกไป ข้าหายแล้วจริง ๆ ขอรับ ข้านอนมากเกินไปจนปวดหัวไปหมดเลยชวนน้องเล็กไปที่ลำธารหลังบ้านขอรับ”
“ใช่แล้วล่ะท่านแม่ ท่านดูสิพี่ใหญ่เก่งมากเลย พวกเราได้ของกินกลับมาเยอะแยะเลยขอรับ” หยางเสียนพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในตัวพี่ชาย
“ท่านแม่เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่าขอรับอย่ายืนอยู่ตรงนี้กันเลย”
“เสี้ยวเอ๋อร์ ลูกเก็บยอดหญ้าน้ำมาทำอันใดรึ มันกินไม่ได้หรอกนะลูก แล้วไหนจะหน่อไม้นี่อีก มันขมเสียขนาดนั้นมันไม่อร่อยหรอกนะลูก แม่ขอโทษพวกเจ้าพี่น้องที่แม่ไม่มีความสามารถมากกว่านี้นะลูก ทำให้พวกเจ้าต้องหิวโหยหลายต่อหลายครั้ง” เสิ่นซื่อเห็นสิ่งที่ลูกชายเก็บกลับมาก็น้ำตารื้นขึ้นมาทันที
“ท่านแม่ ยอดหญ้าน้ำพวกนี้กินได้ขอรับ ข้าเคยเห็นคนหมู่บ้านอื่นเก็บไปกินกัน มันมีชื่อว่าผักบุ้งขอรับ เพียงแค่ผักบุ้งชนิดนี้เจริญเติบโตได้ดีในน้ำ เป็นคนละพันธุ์กับผักบุ้งที่เราปลูกขอรับ ส่วนหน่อไม้ข้าจะคิดหาวิธีกำจัดความขมของมันออกไปขอรับ”
“ท่านแม่ขอรับ พี่ใหญ่ยังจับปลาตัวใหญ่ได้ตั้ง 4 ตัว ท่านแม่ดูสิขอรับ เท่านี้เราก็มีเนื้อกินแล้ว” หยางเสียนพูดไปรื้อของในตะกร้าออกจนหมด เสิ่นซื่อมองลงไปในตะกร้าก็เห็นปลาตัวใหญ่ ขนาดน่าจะหนักถึงตัวละ 5 ชั่งอยู่ 4 ตัว
“นี่พวกเจ้าจับปลามาได้อย่างไรกัน ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าลงไปในลำธารใช่หรือไม่ ไม่ถูกสิปลาพวกนี้ว่ายน้ำเร็วมาก พวกลูกไม่รู้วิธีจับปลาเหตุใดถึงได้จับปลามาได้ ขนาดท่านพ่อของพวกเจ้า ยังไม่เคยจับปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ได้เลยนะ”
“ท่านแม่ขอรับ พี่ใหญ่รู้วิธีดักปลาขอรับ ท่านแม่อย่าไปบอกใครเชียวล่ะ นี่เป็นความลับของพี่ใหญ่”
“เจ้าลูกคนนี้นี่ แม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรพูด เจ้าเห็นแม่เป็นเด็ก ๆ หรือยังไง เอาล่ะบอกความจริงแม่มาได้แล้ว”
“ท่านแม่ขอรับ พวกเราไม่ได้ลงไปในลำธารขอรับ เพียงแต่ข้าลองขุดหลุมดักปลาขึ้นมาตามที่ข้าบังเอิญได้ยินนายพรานต่างหมู่บ้านพูดกันตอนตามท่านพ่อไปขายสัตว์ป่าในเมืองขอรับ ข้าก็เลยลองทำตามที่ได้ยินมาเท่านั้น ปรากฏว่ามันได้ผล ต่อไปนี้พวกเราจะมีปลากินทุกวันขอรับ ท่านแม่ขอรับ เราแบ่งปลาไปให้บ้านท่านปู่ท่านย่า 2 ตัวได้หรือไม่ขอรับ ลุงใหญ่เองก็ไม่อยู่ ป้าสะใภ้เองก็เจ็บไข้อยู่ตลอดเวลา ท่านย่าเองก็อายุมากแล้ว จะได้ต้มน้ำแกงบำรุงร่างกาย”
“ได้สิ ทำไมถึงจะไม่ได้ล่ะ เช่นนั้นหน่อไม้กับผักบุ้งของลูกจะทำยังไงกับมัน”
“ท่านแม่ช่วยข้าปอกเปลือกหน่อไม้ จากนั้นนำไปต้ม ตอนต้มใส่เกลือลงไปเล็กน้อย ต้มจนหน่อไม้สุกจากนั้นท่านแม่นำออกมาล้างน้ำและชิมดู ถ้ายังขมท่านแม่นำกลับไปต้มอีกครั้งขอรับ ข้าคิดว่าเท่านี้น่าจะได้แล้ว”
“ตกลงแม่จะลองดู วิธีนี้ลูกก็ได้ยินพวกนายพรานพูดกันอีกหรือ”
“ขอรับ” หยางเสี้ยวได้แต่แอบเอานิ้วไขว้กันอยู่ด้านหลัง เขาไม่ได้อยากจะโกหกสักหน่อย แต่มันจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว
สองพี่น้องเดินจับจูงมือกันไปบ้านของท่านปู่ หยางเสี้ยวสะพายตะกร้า ระหว่างที่เดินไปบ้านของท่านปู่นั้นเด็กชายรู้สึกได้ว่าหมู่บ้านลี่จวงแห่งนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ฐานะยากจนเสียส่วนใหญ่ มีเพียงหลานชายของหัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้นที่มีโอกาสได้เรียนหนังสือในตำบล ทั้งสองคนเดินมาได้ไม่นานก็มาถึงบ้านของท่านปู่ ถึงแม้ว่าบ้านของท่านปู่จะมีสภาพดีกว่าบ้านของเขาอยู่เล็กน้อย แต่รวม ๆ แล้วคือมันเก่าจวนเจียนจะพังลงมาเสียให้ได้ ไม่รู้ว่าด้วยสภาพบ้านแบบนี้พวกเขาจะผ่านฝนผ่านหนาวไปได้อย่างไร
“ท่านปู่ ท่านย่า พวกข้ามาแล้ว มีใครอยู่บ้างขอรับ ป้าสะใภ้อยู่บ้านหรือไม่ขอรับ” หยางเสียนยังคงเป็นเด็กน้อยร่าเริงที่ส่งเสียงดังเรียกหาคนในบ้าน
“เสียนเอ๋อร์เองหรอกหรือ เสี้ยวเอ๋อร์ก็มาด้วย หลานหายดีแล้วหรือ ถึงได้ออกมาข้างนอก” หานซื่อถามไถ่หลานชายด้วยความเป็นห่วง
“ท่านย่า ข้าหายดีแล้วขอรับ วันนี้ข้ากับน้องจับปลาได้เลยเอามาให้ท่านป้าสะใภ้ต้มน้ำแกงบำรุงให้ท่านปู่ท่านย่ากินขอรับ แล้วนี่ท่านปู่ไปที่ใดหรือขอรับ”
“ปู่ของเจ้าออกไปเก็บฟืนประเดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะ ส่วนป้าสะใภ้ของเจ้าไปซักผ้าอีกเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วล่ะ"
“เช่นนั้นข้าเอาปลาไปไว้ที่ห้องครัวนะขอรับท่านย่า”
“ไม่ต้อง ๆ ย่าเอาไปเองได้ เจ้ากับเสียนเอ๋อร์นั่งรอย่าที่นี่ล่ะ” หานซื่อยกตะกร้าเข้าไปในครัว หลังจากเอาใบไม้ที่ปิดอยู่ด้านบนออก ก็ต้องตกใจเพราะปลาที่หลานชายนำมาให้นั้นตัวใหญ่มากทีเดียว
“เสี้ยวเอ๋อร์ ครั้งหน้าไม่ต้องแบ่งปลามาให้ย่ามากขนาดนี้ หลานเอาไปขายให้บ้านตาเฒ่าฟู่กุ้ย จะได้มีเงินเอาไว้ใช้ในบ้าน”
“ท่านย่า นี่ถือเป็นความกตัญญูจากพวกเรานะขอรับ อีกอย่างข้ามีวิธีจับปลา แต่ว่าจะมากพอนำไปขายหรือไม่นั้นต้องดูอีกที แต่ข้าอยากให้ท่านย่าท่านปู่ ท่านป้าสะใภ้ รวมถึงทุกคนในครอบครัวของพวกเราร่างกายแข็งแรงมากกว่าขอรับ ถ้าหากร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยเราก็ไม่ต้องหาเงินเพื่อจ่ายค่ายาแบบนี้ดีกว่าขอรับ ท่านย่ากินน้ำแกงปลาให้สบายใจได้เลย พรุ่งนี้ข้าจะเอาปลามาให้อีกนะขอรับ ตอนนี้ข้ากับน้องกลับบ้านก่อนท่านแม่อยู่บ้านคนเดียว”
“เช่นนั้นก็กลับบ้านดี ๆ ล่ะ ขอบใจหลานมาก”
“ข้ากลับก่อนนะขอรับท่านย่า”
หลานชายทั้งสองกลับไปแล้ว หานซื่อได้แต่มองตามแผ่นหลังของเด็กทั้งสองคน นางมีลูกทั้งหมดสามคน ลูกชายสองคน ส่วนลูกสาวคนเล็กนั้นแต่งออกไปอยู่หมู่บ้านอื่นไม่รู้ว่าจะได้รับความลำบากใจจากแม่สามีบ้างหรือไม่ เพราะครอบครัวของนางยากจน สินเดิมเจ้าสาวไม่สามารถจัดหาได้มากมายนัก ถึงแม้ว่าลูกเขยจะเป็นคนดีมากคนหนึ่ง แต่หน้ามือก็มารดาหลังมือก็ภรรยาย่อมลำบากใจอยู่บ้าง
หลินซื่อกลับมาจากซักผ้าเห็นแม่สามียืนเหม่ออยู่หน้าบ้าน ไม่รู้ว่าในใจนางคิดอะไรอยู่ดูแล้วท่าทางทุกข์ใจไม่น้อย นางเองก็ร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่คลอดลูกคนเล็ก ทำให้ไม่สามารถทำงานหนัก ๆ ได้เหมือนเดิม ภาระทั้งหลายจึงตกอยู่ที่แม่สามี
“ท่านแม่ ทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้เจ้าคะ แล้วนี้ เด็ก ๆ ยังไม่กลับจากตัดหญ้าให้หมูหรือเจ้าคะ”
“อ่อ ข้าออกมาส่งเสี้ยวเอ๋อร์กับเสียนเอ๋อร์น่ะ พวกเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ยังไม่กลับมาหรอก เจ้ารีบไปตากผ้าเถอะ ประเดี๋ยวแม่จะไปทำกับข้าวรอพ่อเจ้า วันนี้เสี้ยวเอ๋อร์กับเสียนเอ๋อร์เอาปลามาให้ตัวใหญ่เลยล่ะ”
“ปลาหรือเจ้าคะ ปลาจากที่ใดกัน” หลินซื่อถามออกมาด้วยความตกใจ หยางเสี้ยวอายุน้อยกว่าลูกชายของนางถึง 2 ปี
“เห็นบอกว่าจับมาจากลำธารหลังบ้าน เลยแบ่งมาให้พวกเราต้มน้ำแกงบำรุงร่างกาย”
“เจ้าค่ะ”
หญิงต่างวัยทั้งสองคนแยกกันทำงาน หลินซื่อนำผ้าที่ซักขึ้นตากเสร็จพอดี พ่อสามีก็แบกฟืนกลับมาพร้อมด้วยลูกชายทั้งสามคนของนาง หยางเซวียน อายุ 10 ขวบพี่เป็นใหญ่ หยางชิง อายุ 8 ขวบเท่ากับหยางเสี้ยว หยางอิน อายุ 6 ขวบเท่ากับหยางเสียน
“โอ๊ะ ท่านย่าทำอันใดกินหอมมาก ท้องข้าร้องประท้วงแล้ว” หยางอินตัวน้อยวิ่งเข้ามาในลานบ้านพร้อมกับตะโกนออกมา
“น้องสาม เก็บความตะกละเอาไว้บางเถอะ” หยางชิง
“พี่ใหญ่พี่รองว่าข้า” หยางอินฟ้องพี่ชาย
“พอได้แล้วพวกเจ้าสองคน เอาผักป่าพวกนี้ไปให้หมูก่อนจะได้ล้างมือมากินข้าว เซวียนเอ๋อร์หลานพาน้องเอาผักป่าพวกนี้ไปที่เล้าหมูก่อนแล้วค่อยมากินข้าว อย่านานล่ะ”
“ขอรับท่านปู่”
หยางไห่นำฟืนที่หามาได้วันนี้ไปเก็บไว้ในห้องเก็บฟืน จากนั้นก็รีบไปล้างมือเพื่อเตรียมกินมื้อกลางวันที่ล่าช้ามานาน เพราะวันนี้พวกเขาปู่หลานออกไปหาฟืนและตัดหญ้าเพื่อนำมาเลี้ยงหมูไกลกว่าเดิม ทำให้เสียเวลาไปกลับนานกว่าปกติ
“ยายเฒ่าข้ากลับมาแล้ว วันนี้เจ้าทำอันใดกิน ข้าได้กลิ่นเหมือนน้ำแกงปลา”
“จมูกดีจริงนะตาเฒ่า ข้าก็ทำน้ำแกงปลาน่ะสิ เสี้ยวเอ๋อร์กับเสียนเอ๋อร์เอาปลามาให้ตัวใหญ่เชียวล่ะ”
“หลานไปเอาปลามาจากไหน”
“เห็นบอกว่าจับมาจากลำธารหลังบ้าน”
“จริงรึ เสี้ยวเอ๋อร์จับเองเลยรึ”
“เอ๊ะ ตาเฒ่านี่ เสี้ยวเอ๋อร์บอกว่าจับเองก็จับเองสิ เจ้าไม่เชื่อในตัวหลานหรือ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าเพียงแต่คิดว่าปลาว่ายน้ำเร็วมาก เสี้ยวเอ๋อร์อาจจะมีวิธีจับปลาก็เป็นได้ หากว่าข้าจะไปถามหลานเจ้าว่าจะเป็นการเห็นแก่ตัวหรือไม่”
“เจ้าไม่ต้องไปถามหลาน หากหลานอยากบอกหลานจะบอกเอง อย่าทำให้หลานลำบากใจ เสี้ยวเอ๋อร์ยังบอกว่าหากจับปลาได้อีกจะเอามาให้ เจ้ารอกินก็พออย่าไปสร้างความอึดอัดใจให้หลาน”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หยางเสี้ยวกลับมาถึงบ้านเสิ่นซื่อก็ต้มหน่อไม้สุกพอดี เมื่อชิมดูแล้วไม่หลงเหลือรสขมอีก มีเพียงรสหวานเท่านั้น เสิ่นซื่อดีใจจนน้ำตาไหล นางตั้งใจว่าจะไปขุดหน่อไม้แล้วนำมาต้มตากแดดเพื่อเก็บไว้เป็นเสบียง หลังจากจัดการหน่อไม้เสร็จแล้ว หยางเสี้ยวล้างผักบุ้งมาส่งให้ที่ห้องครัว เสิ่นซื่อผัดผักบุ้งใส่เพียงเกลือนิดหน่อยเท่านั้น และผัดหน่อไม้ตามคำแนะนำของลูกชายอีกหนึ่งจาน อาหารวันนี้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์กว่าวันไหน ๆ มีผัดหน่อไม้ ผัดผักบุ้ง น้ำแกงปลา อาหารธรรมดาแต่ดูหรูหราสำหรับครอบครัวชาวบ้านจน ๆ
“เสียดายที่ท่านพ่อยังไม่กลับมา ไม่เช่นนั้นท่านพ่อก็จะได้กินน้ำแกงปลาแล้ว” หยางเสียน