ดวงตากลมตวัดมองร่างกำยำในชุดลำลองสบาย ๆ บ่งบอกให้รู้ว่าวันนี้เป็นวันหยุด เขาเองก็จ้องมองมายังเธอด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าเรียบนิ่งภายในใจคงอยากจะดึงBeretta สีเงินใต้ชายเสื้อมาจ่อยิงหัวเธอเต็มทน
“คุณฌอนจะไล่พวกเขาออกไม่ได้นะคะ พวกเขาไม่ได้ผิดอะไร หนึ่งเป็นคนผิดเองที่ไปไหนไม่บอก เมื่อวานหนึ่งก็บอกคุณไปแล้วว่ารีบ”
“แล้วยังไง?”
เขายืดตัวตรงยกขาขึ้นไขว่ห้าง เดฟเหลือบตามองผู้เป็นเจ้านายเป็นระยะ ๆ ไม่รู้ว่าจะเอายังไงกันแน่ เดาความคิดไม่ค่อยออก
“...เพราะถึงยังไงพวกเขาก็ทำผิดสัญญา ข้อเจ็ดของสัญญาจ้างอยู่ดี”
ปึก!
ฌอนดึงแฟ้มบนโต๊ะโยนลงไปต่อหน้าหญิงสาว เธอรีบก้มหยิบขึ้นมาก่อนแล้วต้องเบิกตาขึ้น เหมือนสัญญาทาสมากกว่าที่ต้องมาคอยติดตามเธอดั่งเงา หากทำผิดขึ้นมาทั้งหมดก็จะถูกไล่ออกและยังต้องถูกปรับเงินอีก
สิบเท่าของเงินเดือน
เห็นแก่เธอที่วิ่งออกมาปกป้อง...เดฟนายไม่ต้องปรับเงินพวกเขาถึงสิบเท่าหรอกนะ เอาสักครึ่งหนึ่งก็พอ” น้ำเสียงกดต่ำ มุมปากยกยิ้ม
สีหน้าแบบนั้นนับหนึ่งรู้ดีว่าผู้นำของเดียร์มาสต้องการอะไร
เขาแค่อยากทำให้เธอทุกข์ใจหรือทรมานจนต้องเป็นคนขอหย่า แล้วทุกอย่างจะได้กลับไปเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์
ตอนนี้เธอยังทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะแม่ยังป่วยอยู่ ค่ารักษาต่างประเทศค่อนข้างสูง โดยเฉพาะประเทศเสรีการค้าอย่างประเทศนี้ แต่เพราะเดียร์มาสกรุ๊ปมีโรงพยาบาลในเครือหลายสิบแห่งและมีคุณภาพการรักษาดี เธอจึงยังจำเป็นที่จะต้องทนอยู่และให้เขาตราหน้าว่าเห็นแก่เงิน
“พี่เพชร...หนึ่งขอร้อง”
เป็นคำขอร้องเรียบง่าย แต่คนถูกเรียกกลับเกลียดที่ได้ยินชื่อนี้ เธอจะเรียกขื่อนี้ของเขาอีกทำไม เพระยิ่งได้ยินเหมือนเป็นการตอกตะปูลงรอยแผลเป็นให้กลับมาเป็นแผลสดได้อีกครั้ง
“อ๊อก!”
ร่างสูงดีตัวลุกขึ้นบีบปลายคางใบหน้าอวบจนยู่เข้าหากัน ความเจ็บส่งผลให้มือทั้งสองข้างยกขึ้นตีแขนเขาเรา ๆ เดฟขยับปลายเท้าจนเข้ามาห้ามแล้วต้องชะงักลง
“อย่ายุ่ง!”
ขนาดมือขวาคนสนิทยังทำอะไรไม่ได้แล้วลูกน้องและเด็กรับใช้ปลายแถวอย่างพวกเขาจะไปทำอะไรได้ นอกจากก้มหน้างุด
...สังคมชายเป็นใหญ่คงมีอยู่ทุกประเทศสินะ
“หนึ่งเจ็บค่ะ! ปล่อย!”
“อย่าเรียกชื่อนั้นให้ฉันได้ยินอีก”
ปลายมือสะบัดอย่างแรงจนร่างอ้วนเซถลา โชคดีกลุ่มคนที่กำลังจะถูกไล่ออกรับเอาไว้ได้ทัน พวกเขาพยายามบอกเธอว่าไม่เป็นไรและแสดงอาการอยากปกป้องเต็มที่ ชายหนุ่มไม่พอใจมีแต่คนรักและห้อมล้อมจึงก้าวเท้าจะเดินออกไปจากห้องนั้น
“คุณฌอน ทำโทษหนึ่งแทนพวกเขาก็ได้ค่ะ”
ขายาวหยุดลงหลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ใบหน้าหล่อหันกลับไปมองเธอช้า ๆ ดวงตาดุดันจนน่ากลัว แน่นอนว่าคนทำผิดก็ต้องได้รับโทษ ผู้หญิงคนนี้ก็เช่นกัน
“...แต่อย่าไล่พวกเขาออกเลยนะคะ”
สองมือยกขึ้นไหว้เหนืออกแบบชาวไทย ขอบตาชื้นไปด้วยหยดน้ำใส พยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้แต่มันก็แสดงออกมาเป็นการสั่นไหวของหัวไหล่
ฌอนหันกลับมายืนตรงหน้าเธออีกครั้ง ดวงตากลมนั้นสะท้อนความกลัวให้เห็น นับหนึ่งในวัยเด็กยังคงอยู่ในห้วงความคิดเขาเช่นกัน
ครืด...ครืด...ครืด
ท้องฟ้าส่งเสียงคำรามตามด้วยแสงสว่างจ้าของสายฟ้าตามมาเป็นระยะ ปลายนิ้วเชยคางเธอเงยขึ้นให้สบตาตนเอง
“ไม่ใช่แค่พวกเขาที่ต้องถูกทำโทษ แต่เธอก็ต้องโดนเหมือนกัน แต่ในเมื่อเธอเห็นใจคนพวกนั้น ฉันก็จะทำตามที่เธอขอ...”
ดวงตาดุดันแต่เป็นประกายนั้น ทำให้นับหนึ่งรู้แล้วว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ
ที่จะไล่บอดี้การ์ดหรือแม่บ้านออกตั้งแต่แรก แต่แกล้งทำเพื่อที่จะหาเรื่องทำร้ายจิตใจและร่างกายเธอเท่านั้น เพียงเพราะต้องการใบหย่า
“คุณฌอน จะให้หนึ่งทำอะไรคะ” หวังเอาไว้อย่างเดียวว่ามันคงไม่โหดร้ายเกินไป
คำสั่งของเขาไม่ได้เป็นคำพูดเพียงแค่หันหน้าไปยังประตูบ้าน ซึ่งยามนี้ฝนห่าใหญ่กำลังตกหนักอย่างบ้าคลั่ง เธอรู้ได้ทันทีว่าบทลงโทษที่เธอจะได้รับเป็นอะไร
“แน่ใจเหรอครับ ว่าจะปล่อยให้คุณนับหนึ่งนั่งคุกเข่าตากฝนอยู่
อย่างนั้น ผมเกรงว่า...”
“หรือนายอยากไปนั่งแทน” ตวัดตามองดุ เดฟส่ายหน้าปฏิเสธรัว
“เลิกงานแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่กลับไปอีก”
“กลังจะกลับครับ แต่ว่ามีงานด่วนเข้ามาก่อน”
“งานอะไร?” ยังงมีงานด่วนอะไรที่เขายังจัดการไม่หมดอีกเหรอ
เดฟ ครูซ เลื่อนโทรศัพท์ให้คูคลิปของชายสูงอายุคนหนึ่ง กำลังเดินพูดคุยกับศัตรูต่างแก๊ง เขาขบฟันแน่นกับการถูกหักหลัง และไม่รักษาคำพูดอยากเลาะหนังปากไปโยนให้เป็ดกินจริงๆ
“อืม เดี๋ยวฉันคิดหาวิธีจัดการเอง”
“ครับ” เดฟค่อมหัวเล็กน้อยแล้วถอยหลังออกจากห้องไป เพียงเสี้ยววินาทีที่ประตูปิดลงชายหนุ่มก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า
ปลายนิ้วเคาะโต๊ะไปมา แล้วสะบัดหัวไล่ความคิดเมื่อหน้าใครบางคนลอยเข้ามาก่อกวนความรู้สึก
เขาลุกขึ้นเดินไปเปิดผ้าม่านตรงหน้าต่าง ดวงตาทอดมองร่างกลม ๆ ที่กำลังนั่งคุกเข่าท่ามกลางสายฝน หน้าอกข้างซ้ายรู้สึกหน่วงอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็พยายามกลบมันไว้ด้วยความโกรธและความเกลียด
การที่ลงโทษแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน เมื่อไรที่เธอทนไม่ได้ ใบหย่าก็คงได้มาง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องลงมือทำอะไรมากมาย
“แกเป็นยังไงบ้างเจ็บมากหรือเปล่า” วิลันดาเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าเพื่อนทำท่าเหมือนจะร้องไห้“เจ็บมากเลยแก เจ็บทั้งใจเจ็บทั้งตัวเสียทั้งลูก” ปากเรียวฉีกยิ้มให้กับเพื่อนแต่ดวงตากลับคลอไปด้วยหยดน้ำใส“โธ่ ยัยกรีน ทำไมแกต้องมาเจอเรื่องแย่ ๆ แบบนี้ด้วยฉันไม่คิดเลยว่าคุณชรัณต์เขาจะทำร้ายแกได้ลง” ร่างเล็กของวิลันดาก้มลงกอดเพื่อนแม้จะมีเหล็กกั้นเตียงเป็นอุปสรรคอยู่บ้างแต่มันก็ไม่สามารถกั้นความเป็นห่วงของเพื่อนที่คอยดูแลกันมาตั้งแต่เด็กได้“ฉันขอบใจแกมากนะที่คอยไปดูร้านให้”“ไม่เป็นไรเรื่องแค่นี้สบายมาก ว่าแต่แกเถอะจะเอายังไงต่อไปเรื่องคุณชรัณต์” ที่ถามแบบนี้เพราะหล่อนรู้ดีว่าเพื่อนเธอรักเขามากแค่ไหนแต่ว่าทำร้ายกันขนาดนี้ถ้าเพื่อนเธอยังให้อภัยได้ก็แกร่งเกินคนแล้ว ส่วนเธอก็เตรียมกินอาหารเม็ดแทนข้าวได้เลย“แกช่วยหาทนายเก่ง ๆ สักคนให้หน่อยได้ไหม”หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามเพื่อนแต่พอวิลันดาได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้ารับและพอเข้าใจความหมายจึงไม่ได้ถามอะไรต่อจนกระทั่งพ่อกับย่าศรีไพรเข้ามาเยี่ยมเธอจึงขอตัวลากลับทางด้านอรจิราซึ่งก็รู้สึกผิดกับเรื่องที่ตัวเองร่วมก่อจึงเดินทางมาเยี่ยมกวินตาเหมือนกันแต่เธอไม่ยอ
บริเวณหน้าห้องฉุกเฉินชรัณต์ยังคงมองผ่านช่องกระจกใสเข้าไปด้านใน ทีมแพทย์และพยาบาลต่างวุ่นวายกับการรักษาเสียงร้องจากความเจ็บปวดของคนเป็นเมียดังเล็ดรอดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ เสียงที่ได้ยินมันช่างบาดลึกลงไปก้นบึ้งของหัวใจ“ยัยกรีนอยู่ไหน หลานย่าอยู่ที่ไหน”หญิงชราเดินโอนเอนด้วยความเร็วเข้ามาโดยที่มีพ่อของกวินตาประคองเข้ามา ชรัณต์รีบเดินเข้าไปหาเพื่อที่จะเอ่ยขอโทษที่ดูแลกวินตาไม่ดีโดยที่คิดว่าพวกท่านไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือแรง ฝ่ามือจากคนเป็นพ่อตา“คุณพ่อ”“ไม่ต้องมาเรียกผมว่าพ่อ คุณทำกับลูกสาวผมแบบนี้ได้ยังไง” สองมือขยุ้มคอเสื้อสรรพนามที่เรียกลูกเขยเปลี่ยนไปเป็นห่างเหินจากที่เมื่อก่อนท่านเคยรักและเอ็นดูยามนี้แทบไม่อยากจะเผาผีผู้ชายตรงหน้าด้วยซ้ำ ใบหน้าคมคายสลดลงดวงตาแดงก่ำร่างสูงสั่นคลอนไปมาตามแรงเขย่า“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”“ไม่ได้ตั้งใจเหรอคุณกล้าพูดคำนี้ออกมาได้ยังไง ฮะ!” ยิ่งชรัณต์พูดก็เหมือนกับแก้ตัวมันกลับยิ่งเพิ่มแรงเขย่ามากขึ้นไปอีกจนก้านแก้วต้องรีบเข้ามาห้ามปราม“พอเถอะค่ะคุณ ต้นเหตุเรื่องทุกอย่างมันเป็นเพราะฉันเอง”“ก้านแก้ว เธอมาอยู่ที่นี่ได้ย
เสถียรรู้ดีว่าในสายตาของลูกชายเมียเก่าของเขานั้นเป็นเหมือนนางฟ้าใจที่มีจิตใจดี แต่ใครจะรู้ว่านั่นมันคือเปลือกนอก“ไม่จริง พ่อโกหกผมเพื่อปกป้องมัน” ดวงตาคมแดงก่ำลำคอแข็งเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่“ถ้าไม่เชื่อแกก็เอานี่ไปอ่าน จดหมายส่งมาจากเรือนจำถ้าอ่านแล้วแกไม่เชื่อก็ไปหาไอ้ภากรได้เลย ที่พ่อปิดเรื่องนี้เอาไว้ก็เพราะไม่อยากเห็นแกต้องเสียใจ คุณก้านแก้วเขายอมรับบทเป็นคนร้ายให้แกทำร้ายมานานเกินไปแล้วตารัณต์”คนเป็นพ่อยื่นจดหมายให้ลูกพร้อมกับเอื้อมมือไปตบไหล่ ชายหนุ่มมองหน้าพ่อตัวเองแล้วไม่อยากจะเชื่อกับความจริงที่ได้รับรู้ก้านแก้วเดินเข้าไปประคองเสถียรด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าช่วงนี้สุขภาพของคนเป็นสามีไม่ค่อยดี เธอได้แต่ยกมือไหว้และยิ้มขอบคุณที่อย่างน้อยสามีเธอก็เป็นคนมีเหตุผล ความผูกพันที่เธอได้อยู่กันมามันหล่อหลอมเป็นความเข้าใจมือสั่นเทาเปิดอ่านจดหมายทีละคำด้วยทุกบรรทัดมันได้เล่ารายละเอียดเรื่องราวที่ทำให้เขาฝั่งใจจนเก็บเป็นความแค้นเอาลงกับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาช้า ๆ เขาร้องไห้มันออกมาโดยที่ไม่อายใครแต่แล้วความแค้นที่เขาได้ก่อไว้มันกำลังจะหวนกลับมาคืนสนองเ
รุ่งเช้าของวันใหม่กวินตาตื่นขึ้นมาภายในห้องนอนของตัวเอง เธอมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความเจ็บปวดยิ่งมือบางสัมผัสเตียงนอนที่พวกเขามาเสวยสุขกันบนนี้เธอยิ่งรู้สึกรังเกียจร่างเล็กดีดตัวลุกจากเตียงแล้วกระชากผ้าปูที่นอนออกไปกองไว้กับพื้น แค่คิดถึงเรื่องอย่างว่าที่พวกเขาทั้งสองมาเหยียบย้ำหัวใจเธอมันก็เกิดอาการอยากอาเจียนขึ้นมาจึงรีบวิ่งเข้าไปอ้วกในห้องน้ำบนโต๊ะอาหารเช้าทุกคนต่างลงมานั่งรอทานอาหารด้วยกันเว้นเพียงกวินตาที่ยังไม่ได้ลงมาจากด้านบนเพียงแค่คนเดียว“แล้วนี่กวินตาไปไหน ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ฉันยังไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นลงมากินอาหารเช้าร่วมกับคนอื่นเลยนะ”อยู่ ๆ เสถียรก็ถามหากวินตาขึ้นมาทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่สนใจเสียด้วยซ้ำและไม่เคยยอมรับว่ากวินตาเป็นลูกสะใภ้“ฉันก็ไม่ทราบเลยค่ะ ยังไม่เห็นเธอลงมาจากบนห้องเลยตั้งแต่เช้า”ก้านแก้วเองก็รู้สึกเป็นห่วงลูกอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งได้ยินเรื่องเมื่อวานเย็นที่ป้านวลเห็นเรื่องบัดสีของชรัณต์กับอรจิราแล้วนำมาเล่าให้ฟังเธอยิ่งรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวจับใจบทสนทนาของคนเป็นพ่อกับแม่เลี้ยงอรจิราได้ยินทุกคำแล้วหันไปมองหน้าชรัณต์ที่นั่งกินข้าวเหมือนทองไม่รู้ร้
หายไปไหนมา รู้ไหมนี่มันกี่โมงแล้ว” น้ำเสียงที่ตะโกนถามตั้งแต่กวินตายังเดินไม่พ้นขอบประตูบ้านเสียด้วยซ้ำ ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นใครไม่รู้ว่าวันนี้ไปกินรังแตนจากที่ไหนมาถึงได้มาฉุนเฉียวใส่หน้าเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกของวัน“สองทุ่มค่ะ ยังไม่ได้ดึกด้วย” น้ำเสียงราบเรียบที่ตอบหญิงสาวไม่รู้เลยว่าได้สร้างความเดือดดาลให้กับชรัณต์มากขึ้นไปอีก“แล้ววันนี้ไปไหนมา ผมโทรไปที่ร้านคุณก็ไม่ได้เข้าไปที่นั่น” มือหน้าคว้าเข้าไปที่ต้นแขนพร้อมกับออกแรงบีบจนขึ้นรอยแดงแม้มันจะเจ็บแต่กวินตาก็ไม่เอ่ยร้องออกมาเหมือนทุกครั้งในเมื่อเขาอยากจะทรมานเธอเพื่อระบายความแค้นเธอก็จะยอมทนแต่เมื่อใดที่เธอหลุดพ้นไปแล้วเธอสัญญาว่าจะไม่หวนกลับมาอย่างแน่นอน“ไปกับวิมาค่ะ เรานัดทานข้าวด้วยกัน”“แล้วทำไมถึงไม่บอกคนที่บ้านไว้ ไปไหนมาไหนทำไมถึงไม่บอก”ชรัณต์ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองกลายเป็นคนจู้จี้ไปตั้งแต่เมื่อไร เมื่อก่อนหญิงสาวจะไปไหนมาไหนเขาแทบจะไม่เคยเอ่ยปากถามเลยเสียด้วยซ้ำ“จำเป็นด้วยเหรอคะ เพราะยังไงการที่กรีนอยู่บ้านหลังนี้ก็เหมือนวิญญาณที่ไร้ตัวตนอยู่แล้ว จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ต่างกัน”คางเล็กเชิดขึ้นมองตาคนที่สูงกว่าเห
“ป้านวล หนูกรีนยังไม่ลงมาทานข้าวอีกเหรอ” ก้านแก้วหันไปถามแม่บ้านที่กำลังยกทัพพีตักข้าวให้กับเสถียร“คุณกรีนออกไปข้างนอกตั้งแต่รุ่งสางแล้วค่ะ ไม่ได้บอกไว้ว่าไปไหนแต่เห็นบอกว่าคืนนี้จะไม่กลับมานอนที่นี่นะคะ”ชรัณต์ที่นั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเช้าอยู่เมื่อได้ยินอย่างนั้นถึงกับ ขบกรามแน่น เขาไม่พอใจที่เธอไปไหนมาไหนไม่บอกจึงวางช้อนลงพร้อมกับลุกออกจากโต๊ะอาหาร“คุณอิ่มแล้วเหรอคะรันต์ อรเห็นทานแค่ไม่กี่ช้อนเองนะ” อรจิราเอ่ยทักท้วงเมื่อเห็นเขาลุกขึ้นยืน“กินไม่ลง เห็นหน้าฆาตกรแล้วชวนอ้วก” ไม่ได้แค่เอ่ยประโยคทิ่มแทงออกมาแต่ดวงตาคมยังตวัดมองก้านแก้วซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกด้วยชรัณต์เดินออกมาบริเวณหน้าบ้านโดยที่มีอรจิราเดินตามหลังออกมาพร้อมกับถือกระเป๋าสะพาย“แล้วนี่คุณจะไปไหน” เมื่อเห็นหญิงสาวจะเดินไปยังโรงเก็บรถชรัณต์จึงเอ่ยปากถาม“คุณรันต์อย่าลืมสิคะว่าอรก็มีงานที่จะต้องทำไม่ได้มีหน้าที่เล่นละครรับบทบาทเป็นเมียหลวงอย่างเดียวนะ” รอยยิ้มอ่อนผุดขึ้นบนใบหน้าชรัณต์มองตามหลังรถของอรจิราที่เคลื่อนออกไปแล้วจึงยกโทรศัพท์โทรหากวินตาแต่ทว่าโทรไปเท่าไรเจ้าตัวก็เอาแต่ตัดสายทิ้งแถมสายล่าสุดยังปิดเครื