การเมินเฉยจากผู้นำของเดียร์มาสที่มีต่อเธอมันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เว้นแค่เมื่อวานเท่านั้นที่เขาทำอะไรแปลกไปจากเมื่อก่อน ไม่ดุ หรือด่า ที่เธอกล้าขัดคำสั่ง แต่ทำร้ายความรู้สึกด้วยความเย็นชา
วันแรกของการก้าวเท้าเข้ามาเหยียบคฤหาสต์หลังนี้ เธอรู้สึกตื่นเต้นค่อนข้างมาก เพราะไม่เคยอยู่บ้านหลังใหญ่เท่านี้มาก่อน ทุ่งหญ้าด้านหลังคือสถานที่แรกที่เราได้พบเจอกัน
เด็กหนุ่มใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว สวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำ กางเกงขายาวสีเดียวกัน กำลังควบม้าอยู่ไกล ๆ เด็กหญิงเจ้าเนื้อไม่รู้หรอกว่า
เขาเป็นใคร รู้แค่ว่าเท่มากๆ
จนกระทั่งทั้งคู่ได้รู้จักกันในฐานะลูกของแม่บ้าน พ่อบ้านของคฤหาสน์ และเขาคือคนที่ช่วยชีวิตเธอจากการเกือบถูกงูมีผิดกัด
“ขนมค่ะ หนูทำเองเลยนะคะ”
“ขนมอะไร น่าตาประหลาด” เขารับมันมาแล้วพลิกหน้าพลิกหลังหลายรอบ แต่ก็ยังไม่กล้าเอาเข้าปาก
“เขาเรียกเม็ดขนุนค่ะ เป็นขนมไทย หนูกับแม่ช่วยกันทำเมื่อเช้า”
เขาพยักหน้ารับน้อย ๆ แล้วหยิบเข้าปาก ดวงตาคู่คมเบิกขึ้น เคี้ยวช้าๆเหมืนละเมียดละไมเจ้าก้อนเหลือง ๆ ทีละน้อย หวานไม่มาก กำลังพอดีเลยแถมยังก้อนพดดีคำ
“หนูรู้จักคุณมาเกือบสองเดือนแล้ว ยังไม่รู้จักชื่อคุณเลยค่ะ”
เด็กตัวกลมเก็บกล่องใส่ในตะกร้ากำลังจะหิ้วกลับ จึงนึกขึ้นได้เลยหันกลับไปถาม เจอกันทีไรเธอคุยเพลินจนลืมถามชื่อทุกที
เด็กหนุ่มย่นคิ้วใช้ความคิด ว่าจะบอกชื่อจริง ๆ ไปเลยดีไหมเพราะเด็กเจ้าเนื้อตรงหน้าเข้าใจว่า ตนเองเป็นลูกพ่อบ้าน แม่บ้านที่ดูแลคฤหาสน์แห่งนี้ ถ้าบอกไปเขากับเธอจะยังสนิทและพูดคุยกันได้เหมือนเดิมไหม
“เพชร” เขาตอบกลับคำเดียวและเลือกใช้ชื่อนี้เพราะพ่อชอบเรียกเวลาไปดูธุรกิจที่ประเทศไทย
เด็กหญิงขมวดหัวคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย เด็กหนุ่มมองหน้าแล้วยิ้มออกมายกมือลูบหัวด้วยความเอ็นดูในท่าทีขี้สงสัย แล้วอธิบายว่าชื่อนี้มีแค่คนสนิทเท่านั้นที่จะเรียกได้
“งั้นหนูเรียกคุณว่าพี่เพชรนะคะ” เขาพยักหน้ารับน้อย ๆ แล้วเอ่ยถามกลับบ้าง “แล้วเราล่ะชื่ออะไร”
“นับหนึ่งค่ะ เรียก หนึ่งเฉย ๆ ก็ได้”
รอยยิ้มกว้างและสดใสจนทำให้เด็กหนุ่มวัยสิบหกปีจดจ้องไม่วางตา จนกระทั่งมองเด็กหญิงตัวอ้วนวิ่งหายไป พอเดินตามไปดูจึงรู้ว่าเธอพักอยู่เรือนหลังเล็ก
หัวคิ้วจรดเข้าหากัน เพราะปกติแล้วเรือนรับรองหลังเล็กจะเปิดใช้ก็ต่อเมื่อมีญาติ หรือคนสำคัญมาพักอาศัยเท่านั้น เด็กหนุ่มเก็บความสงสัยเอาไว้แล้วเดินกลับไปคฤหาสน์หลังใหญ่
“ฮัมเพลงมาแต่ไกลเลยนะ มีเรื่องอะไรน่ายินดีเหรอ เจ้าซาลาเปา”
อรนิดเห็นลูกสาวคนเดียวเดินเข้ามาจึงร้องทักทาย นับหนึ่งวิ่งแจ้นเอาตะกร้ากับกล่องไปเก็บ แล้วบอกว่าผู้มีพระคุณของเธอเขาชอบขนมไทยมาก
“มิน่าล่ะ ยิ้มจนแก้มปิดตาแล้ว” ยกมือวางทาบบนหัว โยกไปโยกมาเบา ๆ
“หนูรู้จักชื่อเขาแล้วนะคะ เขาชื่อพี่เพชรค่ะ”
“จ้า รู้แล้วจ้า อ้อ...ว่าแต่ลูกไม่ได้ไปวิ่งเล่นแถวคฤหาสน์หลังใหญ่
ใช่ไหม จำได้หรือเปล่าที่แม่บอกว่าอย่าให้คุณหนูของบ้านเห็นเราสองคน”
“ไม่ได้ไปค่ะ หน้าเขาหนึ่งยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ”
“รู้จักแต่หน้าพี่เพชรของหนูใช่ไหม เอะ? หรือว่าเขาจะกลายเป็น
รักแรกของลูกไปแล้ว”
ผู้เป็นแม่เอ่ยแซว พร้อมทั้งหรี่ตาลงจ้องจับผิด แก้มกลม ๆ เปลี่ยนเป็ฯสีแดงระเรื่อราวกับลูกตำลึงสุก
“ไม่ใช่สักหน่อย หนึ่งไม่คุยกับแม่แล้ว ไปทำการบ้านดีกว่า”
เด็กหญิงนับหนึ่งทำเสียงแห้วใส่ผู้เป็นมารดาแล้ววิ่งขึ้นบันไดบ้านไป ปฏิเสธเสียงสูงขนาดนั้น ต้องใช่แน่ ๆ เธอไม่เคยเห็นลูกสนิทกับใครหรือพูดถึงใครบ่อย ๆ เท่านี้มาก่อนเลย คิดแล้วก็อยากเห็นหน้าเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นขึ้นมาเลย
ภาพเหตุการณ์ในอดีตวนเข้ามาในความทรงจำ จนเผยรอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าอวบอิ่ม ทว่ามันก็ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อมีเสียงร้องเรียกหาจากด้านนอก รอยยิ้มเมื่อครู่หุบลง ถ้วยจานในมือถูกวางลงในอ่างเหมือนเดิม
“มีอะไรเหรอมีก้า ร้องเรียกฉันเสียงดังเชียว เดี๋ยวคุณแม่ก็ตื่นหรอก ท่านเพิ่งหลับไปเมื่อครู่เองนะ”
น้ำเสียงดุบอกกับมิก้า สาวใช้คู่กายที่อยู่กับเธอมาร่วมสิบปี หญิงผอมรีบก้มหัวเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอโทษ พลางชี้นิ้วไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่
“เกิดเรื่องแล้วค่ะ ตอนนี้คุณฌอนกำลังไล่แม่บ้านและบอดี้การ์ดที่คอยติดตามมาดามออก เพราะเมื่อวาน...”
ประโยคนั้นยังไม่ทันจะพูดจบ ขาป้อมสั้นก็ก้าวยาว ๆ เดินออกประตูตรงไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ทันที ทำไมเธอไม่เอะใจกับท่าทีเรียบเฉยของเขาเมื่อวานนี้นะ ‘มันคลื่นใต้น้ำชัด ๆ ’
“หยุด! หนึ่งบอกให้หยุด”
คนเจ้าเนื้อเดินเข้าไปขวางลูกน้องมือขวาของเขาที่กำลังยื่นซองสีขาวแจกจ่ายให้กับกลุ่มคนที่ต้องคอยติดตามเธอทุกฝีก้าว
พวกเขาต่างก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของตัวเอง ต่อให้วันนี้มาดามของอาณาจักรเดียร์มาสกรุ๊ปจะมาช่วยก็คงไม่ได้ผล
...เพราะรู้ดีว่าอำนาจอยู่ในมือใคร
“แกเป็นยังไงบ้างเจ็บมากหรือเปล่า” วิลันดาเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าเพื่อนทำท่าเหมือนจะร้องไห้“เจ็บมากเลยแก เจ็บทั้งใจเจ็บทั้งตัวเสียทั้งลูก” ปากเรียวฉีกยิ้มให้กับเพื่อนแต่ดวงตากลับคลอไปด้วยหยดน้ำใส“โธ่ ยัยกรีน ทำไมแกต้องมาเจอเรื่องแย่ ๆ แบบนี้ด้วยฉันไม่คิดเลยว่าคุณชรัณต์เขาจะทำร้ายแกได้ลง” ร่างเล็กของวิลันดาก้มลงกอดเพื่อนแม้จะมีเหล็กกั้นเตียงเป็นอุปสรรคอยู่บ้างแต่มันก็ไม่สามารถกั้นความเป็นห่วงของเพื่อนที่คอยดูแลกันมาตั้งแต่เด็กได้“ฉันขอบใจแกมากนะที่คอยไปดูร้านให้”“ไม่เป็นไรเรื่องแค่นี้สบายมาก ว่าแต่แกเถอะจะเอายังไงต่อไปเรื่องคุณชรัณต์” ที่ถามแบบนี้เพราะหล่อนรู้ดีว่าเพื่อนเธอรักเขามากแค่ไหนแต่ว่าทำร้ายกันขนาดนี้ถ้าเพื่อนเธอยังให้อภัยได้ก็แกร่งเกินคนแล้ว ส่วนเธอก็เตรียมกินอาหารเม็ดแทนข้าวได้เลย“แกช่วยหาทนายเก่ง ๆ สักคนให้หน่อยได้ไหม”หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามเพื่อนแต่พอวิลันดาได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้ารับและพอเข้าใจความหมายจึงไม่ได้ถามอะไรต่อจนกระทั่งพ่อกับย่าศรีไพรเข้ามาเยี่ยมเธอจึงขอตัวลากลับทางด้านอรจิราซึ่งก็รู้สึกผิดกับเรื่องที่ตัวเองร่วมก่อจึงเดินทางมาเยี่ยมกวินตาเหมือนกันแต่เธอไม่ยอ
บริเวณหน้าห้องฉุกเฉินชรัณต์ยังคงมองผ่านช่องกระจกใสเข้าไปด้านใน ทีมแพทย์และพยาบาลต่างวุ่นวายกับการรักษาเสียงร้องจากความเจ็บปวดของคนเป็นเมียดังเล็ดรอดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ เสียงที่ได้ยินมันช่างบาดลึกลงไปก้นบึ้งของหัวใจ“ยัยกรีนอยู่ไหน หลานย่าอยู่ที่ไหน”หญิงชราเดินโอนเอนด้วยความเร็วเข้ามาโดยที่มีพ่อของกวินตาประคองเข้ามา ชรัณต์รีบเดินเข้าไปหาเพื่อที่จะเอ่ยขอโทษที่ดูแลกวินตาไม่ดีโดยที่คิดว่าพวกท่านไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือแรง ฝ่ามือจากคนเป็นพ่อตา“คุณพ่อ”“ไม่ต้องมาเรียกผมว่าพ่อ คุณทำกับลูกสาวผมแบบนี้ได้ยังไง” สองมือขยุ้มคอเสื้อสรรพนามที่เรียกลูกเขยเปลี่ยนไปเป็นห่างเหินจากที่เมื่อก่อนท่านเคยรักและเอ็นดูยามนี้แทบไม่อยากจะเผาผีผู้ชายตรงหน้าด้วยซ้ำ ใบหน้าคมคายสลดลงดวงตาแดงก่ำร่างสูงสั่นคลอนไปมาตามแรงเขย่า“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”“ไม่ได้ตั้งใจเหรอคุณกล้าพูดคำนี้ออกมาได้ยังไง ฮะ!” ยิ่งชรัณต์พูดก็เหมือนกับแก้ตัวมันกลับยิ่งเพิ่มแรงเขย่ามากขึ้นไปอีกจนก้านแก้วต้องรีบเข้ามาห้ามปราม“พอเถอะค่ะคุณ ต้นเหตุเรื่องทุกอย่างมันเป็นเพราะฉันเอง”“ก้านแก้ว เธอมาอยู่ที่นี่ได้ย
เสถียรรู้ดีว่าในสายตาของลูกชายเมียเก่าของเขานั้นเป็นเหมือนนางฟ้าใจที่มีจิตใจดี แต่ใครจะรู้ว่านั่นมันคือเปลือกนอก“ไม่จริง พ่อโกหกผมเพื่อปกป้องมัน” ดวงตาคมแดงก่ำลำคอแข็งเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่“ถ้าไม่เชื่อแกก็เอานี่ไปอ่าน จดหมายส่งมาจากเรือนจำถ้าอ่านแล้วแกไม่เชื่อก็ไปหาไอ้ภากรได้เลย ที่พ่อปิดเรื่องนี้เอาไว้ก็เพราะไม่อยากเห็นแกต้องเสียใจ คุณก้านแก้วเขายอมรับบทเป็นคนร้ายให้แกทำร้ายมานานเกินไปแล้วตารัณต์”คนเป็นพ่อยื่นจดหมายให้ลูกพร้อมกับเอื้อมมือไปตบไหล่ ชายหนุ่มมองหน้าพ่อตัวเองแล้วไม่อยากจะเชื่อกับความจริงที่ได้รับรู้ก้านแก้วเดินเข้าไปประคองเสถียรด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าช่วงนี้สุขภาพของคนเป็นสามีไม่ค่อยดี เธอได้แต่ยกมือไหว้และยิ้มขอบคุณที่อย่างน้อยสามีเธอก็เป็นคนมีเหตุผล ความผูกพันที่เธอได้อยู่กันมามันหล่อหลอมเป็นความเข้าใจมือสั่นเทาเปิดอ่านจดหมายทีละคำด้วยทุกบรรทัดมันได้เล่ารายละเอียดเรื่องราวที่ทำให้เขาฝั่งใจจนเก็บเป็นความแค้นเอาลงกับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาช้า ๆ เขาร้องไห้มันออกมาโดยที่ไม่อายใครแต่แล้วความแค้นที่เขาได้ก่อไว้มันกำลังจะหวนกลับมาคืนสนองเ
รุ่งเช้าของวันใหม่กวินตาตื่นขึ้นมาภายในห้องนอนของตัวเอง เธอมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความเจ็บปวดยิ่งมือบางสัมผัสเตียงนอนที่พวกเขามาเสวยสุขกันบนนี้เธอยิ่งรู้สึกรังเกียจร่างเล็กดีดตัวลุกจากเตียงแล้วกระชากผ้าปูที่นอนออกไปกองไว้กับพื้น แค่คิดถึงเรื่องอย่างว่าที่พวกเขาทั้งสองมาเหยียบย้ำหัวใจเธอมันก็เกิดอาการอยากอาเจียนขึ้นมาจึงรีบวิ่งเข้าไปอ้วกในห้องน้ำบนโต๊ะอาหารเช้าทุกคนต่างลงมานั่งรอทานอาหารด้วยกันเว้นเพียงกวินตาที่ยังไม่ได้ลงมาจากด้านบนเพียงแค่คนเดียว“แล้วนี่กวินตาไปไหน ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ฉันยังไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นลงมากินอาหารเช้าร่วมกับคนอื่นเลยนะ”อยู่ ๆ เสถียรก็ถามหากวินตาขึ้นมาทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่สนใจเสียด้วยซ้ำและไม่เคยยอมรับว่ากวินตาเป็นลูกสะใภ้“ฉันก็ไม่ทราบเลยค่ะ ยังไม่เห็นเธอลงมาจากบนห้องเลยตั้งแต่เช้า”ก้านแก้วเองก็รู้สึกเป็นห่วงลูกอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งได้ยินเรื่องเมื่อวานเย็นที่ป้านวลเห็นเรื่องบัดสีของชรัณต์กับอรจิราแล้วนำมาเล่าให้ฟังเธอยิ่งรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวจับใจบทสนทนาของคนเป็นพ่อกับแม่เลี้ยงอรจิราได้ยินทุกคำแล้วหันไปมองหน้าชรัณต์ที่นั่งกินข้าวเหมือนทองไม่รู้ร้
หายไปไหนมา รู้ไหมนี่มันกี่โมงแล้ว” น้ำเสียงที่ตะโกนถามตั้งแต่กวินตายังเดินไม่พ้นขอบประตูบ้านเสียด้วยซ้ำ ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นใครไม่รู้ว่าวันนี้ไปกินรังแตนจากที่ไหนมาถึงได้มาฉุนเฉียวใส่หน้าเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกของวัน“สองทุ่มค่ะ ยังไม่ได้ดึกด้วย” น้ำเสียงราบเรียบที่ตอบหญิงสาวไม่รู้เลยว่าได้สร้างความเดือดดาลให้กับชรัณต์มากขึ้นไปอีก“แล้ววันนี้ไปไหนมา ผมโทรไปที่ร้านคุณก็ไม่ได้เข้าไปที่นั่น” มือหน้าคว้าเข้าไปที่ต้นแขนพร้อมกับออกแรงบีบจนขึ้นรอยแดงแม้มันจะเจ็บแต่กวินตาก็ไม่เอ่ยร้องออกมาเหมือนทุกครั้งในเมื่อเขาอยากจะทรมานเธอเพื่อระบายความแค้นเธอก็จะยอมทนแต่เมื่อใดที่เธอหลุดพ้นไปแล้วเธอสัญญาว่าจะไม่หวนกลับมาอย่างแน่นอน“ไปกับวิมาค่ะ เรานัดทานข้าวด้วยกัน”“แล้วทำไมถึงไม่บอกคนที่บ้านไว้ ไปไหนมาไหนทำไมถึงไม่บอก”ชรัณต์ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองกลายเป็นคนจู้จี้ไปตั้งแต่เมื่อไร เมื่อก่อนหญิงสาวจะไปไหนมาไหนเขาแทบจะไม่เคยเอ่ยปากถามเลยเสียด้วยซ้ำ“จำเป็นด้วยเหรอคะ เพราะยังไงการที่กรีนอยู่บ้านหลังนี้ก็เหมือนวิญญาณที่ไร้ตัวตนอยู่แล้ว จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ต่างกัน”คางเล็กเชิดขึ้นมองตาคนที่สูงกว่าเห
“ป้านวล หนูกรีนยังไม่ลงมาทานข้าวอีกเหรอ” ก้านแก้วหันไปถามแม่บ้านที่กำลังยกทัพพีตักข้าวให้กับเสถียร“คุณกรีนออกไปข้างนอกตั้งแต่รุ่งสางแล้วค่ะ ไม่ได้บอกไว้ว่าไปไหนแต่เห็นบอกว่าคืนนี้จะไม่กลับมานอนที่นี่นะคะ”ชรัณต์ที่นั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเช้าอยู่เมื่อได้ยินอย่างนั้นถึงกับ ขบกรามแน่น เขาไม่พอใจที่เธอไปไหนมาไหนไม่บอกจึงวางช้อนลงพร้อมกับลุกออกจากโต๊ะอาหาร“คุณอิ่มแล้วเหรอคะรันต์ อรเห็นทานแค่ไม่กี่ช้อนเองนะ” อรจิราเอ่ยทักท้วงเมื่อเห็นเขาลุกขึ้นยืน“กินไม่ลง เห็นหน้าฆาตกรแล้วชวนอ้วก” ไม่ได้แค่เอ่ยประโยคทิ่มแทงออกมาแต่ดวงตาคมยังตวัดมองก้านแก้วซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกด้วยชรัณต์เดินออกมาบริเวณหน้าบ้านโดยที่มีอรจิราเดินตามหลังออกมาพร้อมกับถือกระเป๋าสะพาย“แล้วนี่คุณจะไปไหน” เมื่อเห็นหญิงสาวจะเดินไปยังโรงเก็บรถชรัณต์จึงเอ่ยปากถาม“คุณรันต์อย่าลืมสิคะว่าอรก็มีงานที่จะต้องทำไม่ได้มีหน้าที่เล่นละครรับบทบาทเป็นเมียหลวงอย่างเดียวนะ” รอยยิ้มอ่อนผุดขึ้นบนใบหน้าชรัณต์มองตามหลังรถของอรจิราที่เคลื่อนออกไปแล้วจึงยกโทรศัพท์โทรหากวินตาแต่ทว่าโทรไปเท่าไรเจ้าตัวก็เอาแต่ตัดสายทิ้งแถมสายล่าสุดยังปิดเครื