หยาดฝนชโลมลงบนเนื้อตัว ความเหน็บหนาวเริ่มแทรกซึมผ่านผิวหนังสู่ก้อนเนื้อหัวใจ สองแขนยกขึ้นกอดอกเพื่อคลายความเย็น
ยะเยือก แม้มันจะไม่ได้ผมสักเท่าไรก็ตาม
ใบหน้าอวบอิ่มเงยขึ้นมองหน้าต่างห้องของผุ้ที่เป็นทั้งสามีและ
เจ้าชีวิต ไฟในห้องดับไปครู่ใหญ่แล้ว เขาใจร้ายกับเธอเหมือนเดิมไม่เหลือความใจดีช่วงเยาว์วัยเลยสักนิด
“มาเรีย เราจะทำยังไงดีคะ ถ้านั่งอยู่แบบนั้นทั้งคืนคุณนับหนึ่งได้ป่วยกันพอดี”
มิก้ายืนสั่นขาเรา ๆ อยู่ด้านหลังมาเรีย ซึ่งกำลังมองออกไปยัง
สนามหญ้า ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก หลังกลับมาจากทำธุระด้านนอกเธอก็เพิ่งทราบเรื่องราว แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรมาดามของคฤหาสน์แห่งนี้ได้
“ป่วยก็ต้องรักษา ขนาดคุณนับหนึ่งเป็นเมียยังโดนขนาดนั้นเลย พวกเราเป็นแค่ลูกจ้างจะไปทำอะไรได้”
“โธ่...มาดาม”
หญิงสาวครางชื่ออกมาแผ่วเบาด้วยความสงสาร มันก็จริงอย่างที่มาเรียว่า ลูกข้างอย่างพวกเธอจะไปทำอะไรได้
“กลับไปดูแลคุณอรนิด หากเธอถามหาคุณนับหนึ่งให้บอกไปว่าอยู่ปฏิบัติคุณฌอนอยู่เรือนหลังใหญ่”
หันไปบอกมิก้า เจ้าตัวรับคำแล้วเดินกลับไปยังเรือนหลังเล็กตามคำสั่งทันที ส่วนมาเรียเลือกเดินขึ้นไปด้านบนและตรงไปยังห้องของคุณฌอน แม้เห็นว่าไฟจะดับแล้วแต่เธอมั่นใจว่าเขายังไม่นอน
เคาะประตูได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงเอ่ยอนุญาตจากด้านใน เธอจึงรีบเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่เห็นคือภายในห้องเปิดไฟสลัวตรงหัวเตียง ส่วนผู้เป็นเจ้าของห้องนั่งอยู่เก้าอี้มุมหนึ่ง ในมือมีแก้วไวน์โคลงไปมา
เพียงเห็นสีหน้าของแม่บ้านเก่าแก่เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามาหาตนเองเรื่องอะไร
“ดิฉัน...มาขอร้อง” เป็นคำพูดสั้น ๆ ไม่ได้กล่าวเปิดอ้อมอะไรมากมาย
“กฎก็ต้องเป็นกฎ ถ้าไม่อย่างนั้นใครจะเกรงกลัว”
น้ำเสียงยังราบเรียบเหมือนเดิม ทว่านัยน์ตาของชายหนุ่มมันตรงกันข้ามกับคำพูด เธอเลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิดทำไมจะไม่รู้จักนิสัยว่าเป็นอย่างไร
“คนอื่นฉันไม่ทราบ และไม่คิดสนใจ แต่คุณหนึ่งเป็นภรรยานะคะ”
“ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนั้นเป็นเมีย ก็แค่ของเล่นถูกกฎหมาย...”
“แน่ใจแล้วเหรอคะว่าของเล่น สองปีที่แล้วก็เห็นหวงของเล่นจนเกือบอุ้มฆ่าเพื่อนของเธอมาแล้ว ความผิดของเธอไม่ได้ร้ายแรง...ไ
ปัง!
ยังพูดไม่ทันจบร่างแม่บ้านสูงอายุต้องสะดุ้งสุดไหล่ เมื่อฌอนตบโต๊ะเสียงดังลั่นด้วยความไม่พอใจ
“ความผิดไม่ร้ายแรง...มาเรียกล้าพูดออกมาได้ยังไง”
“กะ ก็แค่...ออกไปด้านนอกโดยไม่มีผู้ติดตาม การที่คุณฌอนลงโทษเธอแบบนั้นก็เพราะเป็นห่วงไม่ใช่เหรอคะ”
แม้จะกลัวแต่มาเรียก็ยังโพล่งออกไป แต่มันกลัยเหมือนเป็นการสาดน้ำมันลงกองไฟ เขาไม่เคยเป็นห่วงเธอ ไม่เคยคิดเป็นห่วงแม้แต่นิดเดียว
“ผม แค่ไม่อยากเสียทุกอย่างของตระกูลไคโร”
น้ำเสียงของคำตอบเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด มาเรียรู้ดีว่าผู้กุมอำนาจของเดียร์มาส ยังคงเป็นคนปากแข็งเหมือนเคย ตอนเด็ก ๆ เป็นอย่างไร โตขึ้นมาเขาก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
“ต่อไปอาจจะต้องเสียหัวใจตัวเองไปด้วยก็ได้นะคะ”
มาเรียพูดจี้ใจดำอีกครั้งแล้วค่อมศีรษะขอตัวโดยไม่เปิดโอกาสให้
ฌอน ไคโร ได้โต้เถียงเลยแม้แต่คำเดียว
คฤหาสน์กว้างใหญ่ไพศาล มีคนดูแลนับร้อย่แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเหลือมาดามหญิงของไคโรสักคน ได้แต่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ หากคนเจ้าเนื้อล้มฟุบลงไปอย่างน้อยก็คงพาไปรักษาตัวทัน
ความหนาวเย็นเคลือบไปทั้งกระดูกจนต้องยกแขนขึ้นกอดอก พลางยกมือเช็ดหยาดน้ำฝนบนใบหน้าเป็นระยะ ร่างกายโรยแรงเพราะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า ในหัวหนักอึ้งดวงตาปรือปรอยแล้วสติของเธอก็ดับวูบ
ร่างอ้วนกำลังจะร่วงหล่นลงพื้น แขนแกร่งของใครบางคนเข้ามารับเอาไว้ได้ทัน หญิงสาวปรือตาขึ้นมองแล้วครางชื่อแผ่วเบาผ่านลำคอ
“พี่เพชร...”
ฌอนพ่นลมหายใจออกมา แม้จะไม่มีสติแต่คนในอ้อมกอดยังคงจดจำชื่อนี้ของเขาได้เป็นอย่างดี ทำไมไม่ลืมมันไปเพราะถึงอย่างไรแล้วความสัมพันธ์ของเราคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ยาก
...หากเธอไม่เป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น ป่านนี้หัวใจของเขาคงมอบให้เธอไปนานแล้ว
“ไปเอาเสื้อผ้าเธอมาให้ฉัน”
ร่างสูงหันไปสั่งแม่บ้านเสียงเข้ม แล้วอุ้มคนเจ้าเนื้อ ผ่านหน้าไปทุกคนต่างหันไปยิ้มน้อย ๆ ถึงจะเห็นทั้งคู่บึ้งตึงใสกันมาตลอด แต่ลึก ๆ แล้วต่างคนต่างก็เป็นห่วงกันและกัน
ฌอนจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอเรียบร้อยและถอยตัวเองกลับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม พลางปิดเปลือกตา เขาหายใจเข้าออกสม่ำเสมอและเข้า
สู่ห้วงนิทราไปในที่สุด
ทั้งคืน...เขานอนเฝ้าเธออยู่อย่างนั้นทั้งคืน นับหนึ่งลืมตาขึ้นในเช้าของวันถัดมา เธอยังคงจับจ้องใบหน้าหล่อของฌอนไม่วางตา การกระทำบางอยางของผู้ชายคนนี้ทำให้ความรู้สึกของเธอสับสน
เขาเกลียดเธอจริง ๆ เหรอ? แล้วทำไมบางครั้งถึงดูเป็นห่วงมากกว่าที่บอกว่าเกลียด
สิบห้าปีที่แล้ว...“หนึ่งหลับตาลูก อย่าดู” มือเรียวยกขึ้นปิดตาเด็กหญิงตัวป้อมพลางกดหัวลงต่ำราวกับว่ากลัวใครมาเห็น เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นตามไรผมจนไหลหยดลงมาข้างแก้มตกสู่คางเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้น และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเห็นเธอกับลูกเลย อุตส่าห์หนีมาอยู่ไกลถึงที่นี่แล้ว อรนิดกระชับลูกไว้ในอกแน่น “อรนิด” เสียงเรียกนั้นมาพร้อมกับการเอื้อมมือมาแตะไหล่ เธอสะดุ้งเฮือกใหญ่ “อย่าทำอะไรฉันกับลูกเลย” ร่างเล็กร้องขอชีวิตออกมาสุดเสียง สองมือพนมไหว้สั่นงก ทั้งที่ดวงตายังไม่ทันได้ลืมขึ้นเสียด้วยซ้ำ“อรนิด ฟังก่อน! นี่ผมเอง” มือหนาเอื้อมมาจับสองไหล่เขย่าแรง ๆ สติของเธอจึงกลับมา เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเป็นสามีของเพื่อน“คุณเชน”“คุณกับลูกปลอดภัยดีใช่ไหม” หญิงสาวพยักหน้ารับ ขอบคุณเขาที่มาช่วย แม้จะหอบลูกหนีกลับมาประเทศไทย ไม่คิดเลยว่าเดลเลอร์จะส่งคนมาตามล่า แค่ชีวิตสามีเธอมันยังไม่พออีกเหรอ“คุณอยู่ประเทศไทยไม่ปลอดภัย ภรรยาผมให้มาตามคุณกลับไปกอเทียร์”“ขนาดหนีมาไกลถึงที่นี่ยังไม่ปลอดภัย คิดเหรอว่ากลับไปที่นั้นแล้วชีวิตฉันกับลูกจะมีความสุข” หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าปอ
เสียงพูดคุยกันของใครบางคนดังอยู่ในรับรองทำให้เรียวขาสวยหยุดลงแล้วถอยกลับไปหลบอยู่มุมหนึ่งของประตูทางเข้า คนหนึ่งเธอจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นพี่ชายตัวเอง แต่อีกคนเธอไม่คุ้นน้ำเสียงมาก่อนแม้ว่าจะพยายามเอียงหูฟังเท่าไรแต่ก็ไม่ได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องอะไรกัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเดียร์มาสกรุ๊ปหรือเปล่า เธอแค่อยากรู้เรื่องเดียวก็คือกระดุมเม็ดนั้นเป็นของใคร “คุณเรย์มีนมายืนทำอะไรตรงนี้คะ”เสียงทักนั้นทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง เมื่อหันกลับไปเจอแม่บ้านสาวยืนอยู่ เธอถลึงตาใส่ เรย์เดนได้ยินเสียงพูดคุยอยู่หน้าห้องจึงจบบทสนทนาแล้วเดินไปเปิดประตู“มีอะไรกันแล้วมายืนทำอะไรหน้าห้อง”มองสาวรับใช้สลับกับน้องสาว เรย์มีนยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะแก้ตัวว่ามาชวนเขาออกไปกินข้าวด้านนอก เพราะเบื่ออาหารที่แม่บ้านทำแล้ว“อารมณ์ไหนถึงได้มาชวนพี่ไปกินข้าว วันนี้พี่นึกว่าแกจะนอนกอดหมอนร้องไห้ เพราะสุดดวงใจเพิ่งประกาศว่ามีเมียไปเมื่อคืน”รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นมุมปากสองแขนยกขึ้นกอดอก หญิงสาวหันขวับไปมองผู้เป็นพี่ชายด้วยสายตาไม่พอ “อย่าพูดเรื่องนี้ได้ไหม ตกลงจะไปหรือไม่ไป”“อ๊ะๆ ไปก็ได้ ... คุณกลับไปก่อนนะ เราค่อยไปคุยกัน
บรรยากาศในรถเงียบเชียบจนได้ยินเครื่องปรับอากาศ คนที่ร้อน ๆ หนาว ๆ คงหนีไม่พ้นคนขับรถ ต่อให้เคยชินกับการนิ่งเงียบใส่กันของผู้เป็นเจ้านาย แต่บรรยากาศก็ไม่มืดครึ้มขนาดนี้“ขะ ...ขอโทษ” เอ่ยเสียงเบาผ่านลำคอ ได้รับเพียงความเงียบกลับคืนมา เธอชำเลืองมองเขาด้วยหางตา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองตรง ๆ คนเป็นมาเฟียยังคงนิ่งเงียบ ... เงียบกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น เธอไม่อยากให้เขาเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยส่งสายตาเย็นชามาก็ยังดี “คุณฌอนคะ หนึ่ง...”รถจอดเทียบชานบันไดหน้าคฤหาสน์ ขายาวก้าวลงจากรถโดยไม่สนใจคนเจ้าเนื้อที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา เธอตัดสินใจวิ่งไปดักหน้า สองมือกางออกขวางทางเพื่อไม่ให้เขาเดินผ่านเธอไป มาเฟียหนุ่มตวัดนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองคนเจ้าเนื้อ โกรธ โมโห เขาไม่รู้ว่าจะเลือกใช้คำไหน เพราะมีคำว่า ‘เป็นห่วง’ เข้ามาแทนที่ทั้งหมด“หนึ่งขอโทษ ขอโทษจริงๆ หนึ่งแค่...”“แค่เห็นแก่เงิน” เขาสวนขึ้นเสียงเข้มเธอเม้มปากขึ้นเส้นตรงไม่กล้าเถียงแม้แต่คำเดียว เพราะมันคือความจริง เงินจำนวนนั้นมั่นล่อตาล่อใจ จนเธอตกปากรับคำภายในเสี้ยววินาทีโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อนสองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าจ้องหน้าน
“สวัสดีครับทุกท่าน” เสียงแหบพร่ากล่าวทักทายคนในงานดวงตาทุกดวงจับจ้องไปยับนับหนึ่งเป็นตาเดียวเพื่อฟังว่าตาเฒ่าแห่งแก๊งสเตนกำลังจะพูดอะไรต่อกันแน่ก่อนที่เดลเลอร์จะกล่าวอะไรต่อ พนักงานก็เริ่มเดินเสิร์ฟขนมไทยสีเหลืองฉ่ำวาวให้กับทุกโต๊ะ“ก่อนที่ผมจะประกาศเรื่องราวดี ๆ ที่ถูกปิดบังมาอย่างยาวนานให้กับทุกคนได้ทราบ และร่วมยินดี ผม ... อยากให้ทุกคนได้ลองชิมขนมตรงหน้าดูก่อน”เดลเลอร์มองสบตาไปยังฌอน พร้อมกับยิ้มเหยียดมุมปากฌอนรู้ได้ทันทีว่าสเตนต้องการประกาศเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับนับหนึ่งออกไปให้คนอื่นรู้ เพราะคิดว่าเธอเป็นจุดอ่อนของตัวเขา มันอาจจะใช่และก็ไม่ใช่ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าตาเฒ่านั้นเล่นถูกจุดอยู่ไม่น้อยบอดีการ์ดนับสิบคนเดินเข้ามาประจำจุดของตัวเองตามที่ได้รับคำสั่ง เขาไม่สนใจกฎระหว่างแก๊งแล้ว หากกล้าหยามหน้ากันขนาดนี้ เขาเองก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกันร่างสูงลุกขึ้นเต็มสูบราวกับว่าจะประกาศศึกกับอีกฝ่าย ผู้คนในงานต่างเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของงานเลี้ยงในวันนี้ แม้แต่ประธานาธิบดีเองยังเดินทางกลับก่อนเวลา“ขนมที่ทุกท่านได้ทานอร่อยดีใช่ไหมครับ”เป็นคำถา
ดนตรีในงานบรรเลงสบาย ๆ แบบผ่อนคลาย ซึ่งตรงกันข้ามกับอารมณ์ผู้ทรงอำนาจของผู้นำเดียร์มาสกรุ๊ป เรย์มีนซึ่งนั่งอยู่อีกกลุ่มโต๊ะหนึ่งไม่ไกลเท่าไรสังเกตเห็นสีหน้าเรียบนิ่งแต่แววตาไม่สู้ดี แต่ก็ยังไม่กล้าเดินเข้าไปหาเพราะมีพี่ชายนั่งคุมอยู่ไม่ห่างมือหนายังคงรัวพิมพ์ข้อความผ่านโทรศัพท์ เพื่อสั่งงานกับลูกน้อง‘ส่งคนของเราออกตามหาให้ทั่ว ตรวจกล้องวงจรปิดทุกตัวบริเวณนั้น’ผู้รับคำสั่งเปิดอ่านทุกตัวอักษรแล้วพิมพ์ตอบรับคำสั่งด้วยมือสั่นเทา ขนาดบอกผ่านตัวหนังสือยังรู้สึกเสียวไปทั้งสันหลัง หากต้องอยู่ต่อหน้าไม่อยากจะคิดเลยว่าสีหน้าผู้เป็นนายจะเป็นอย่างไร“เฮ้ย! ตรวจดูให้ทั่วทุกตารางนิ้ว” หันกลับไปสั่งบอดีการ์ดที่ถูกตามมาช่วยงานสำคัญ ทุกอย่างต้องทำแบบเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ผู้คนแตกตื่น และสำคัญเลยคือ ... อย่าให้ต่างแก๊งรู้เรื่องนี้ร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำไม่ได้กังวลเรื่องการเจรจาเรื่องธุรกิจแล้ว ยามนี้เขาเป็นห่วงคนตัวกลมเสียมากกว่า ก่อนหน้านี้คนของเขารายงานมาว่าบอดี-การ์ดที่คอยติดตามเธอถูกพบหมดสติอยู่ด้านหลัง สอบถามได้ความเพียงว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนรุมทำร้ายเขา และถามหามาดามหญิงของไคโรดวงตาคู่คมกวา
สบถออกมาได้แค่คำนั้น รู้สึกได้ถึงแรงกระชากจากด้านหลัง เพียงชั่วพริบตา ร่างเธอก็ถูกชายฉกรรจ์ลากไปจากตรงนั้นโดยไร้เสียงร้องขอความช่วยเหลือแสงไฟสีเหลืองนวลอ่อนถูกเปิดไปทั่วบริเวณ แม้ไม่สว่างมากแต่ก็มองเห็นใบหน้าของผู้มาร่วมงานอย่างชัดเจน ผู้คนที่ถูกเชิญมาร่วมงานมีทั้งชาวกอเทียร์ และชาวต่างชาติการปรากฏตัวของฌอน ไคโร ทำเอาผู้คนต่างหันมามองเป็นตาเดียว รูปร่าง หน้าตา มีสง่า และทรงอำนาจมากกว่าประธานาธิบดีที่เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ“ผมสั่งเปลี่ยนโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วครับ”เดฟ ซึ่งเดินประกบหลังเมื่อครู่ก้าวเท้าขึ้นมาเดินเทียบข้าง เอ่ยบอกเบา ๆ พร้อมกับผายมือไปยังอีกด้านหนึ่ง แทนที่จะเป็นโต๊ะเดียวกันกับประธานาธิบดีเหมือนเช่นทุกงานที่ได้ไปเขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปทักทายผู้นำของประเทศตามมารยาท แม้จะถูกเลื่อนเก้าอี้เชิญให้นั่ง ทว่าเขากลับปฏิเสธแล้วเดินไปยังโต๊ะของนักธุรกิจชาวไทย“คนนั้นเหรอที่เดียร์มาสกรุ๊ปอยากร่วมงานด้วย” หนึ่งในผู้มาร่วมงานเอ่ยถามเพื่อนร่วมโต๊ะ พลางพยักพเยิดหน้าไปยังผู้นำของแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่ง“อืม ... ใช่ เห็นว่าคนนั้นเป็นนักธุรกิจที่มีอำนาจกว้างขวางในเมืองไ