ตอนที่ 5
ทานตะวันรีบวิ่งออกมาจากห้องของธาราธรอย่างร้อนรน ตอนนี้หัวใจของเธอเต้นตุบๆแทบจะไม่เป็นจังหวะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทำไมเราถึงต้องใจเต้นแรงแบบนี้ด้วยนะ” เธอได้แต่พูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะรีบเดินลงไปยังห้องรับประทานอาหารข้างล่าง “เป็นไงลูกพี่เขื่อนทำอะไรอยู่” คุณนายดารินทร์ถามขึ้นเมื่อตะวันเดินตรงมายังโต๊ะรับประทานอาหาร “เอ่อ...คุณเขื่อนเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จค่ะแม่ดาก็เลยลงมาช้าหน่อย” “มิน่าล่ะ คงจะตื่นสาย งั้นเราก็ทานกันก่อนเลยแล้วกัน ถ้าเสร็จเขาก็คงลงมาเอง” “นั่นไง เดินมาโน่นแล้ว” ท่านธีระพูดขึ้นเมื่อเห็นลูกชายคนโตของบ้านเดินมาที่ห้องรับประทานอาหาร ก่อนธาราธรตะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับตะวันเด็กสาวที่เขาเกลียดแสนเกลียด “มาๆลูกทานข้าวกัน เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นหมดซะก่อน” คุณนายดารินทร์พูดขึ้นเมื่อทุกคนต่างก็ลงมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ก่อนจะพากันรับประทานอาหารเช้า ธาราธรเหลือบมองเด็กสาวตรงหน้าเป็นระยะ ส่วนอีกคนก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทานหารตรงหน้า “แล้ววันนี้จะไปไหนกันหรือเปล่าลูก” ท่านธีระถามขึ้น “ผมว่าจะแวะเข้าไปดูโรงบ่มไวน์สักหน่อยครับพ่อ” “อืม ดีๆ พ่อเองก็อยากจะคุยเรื่องการปรับสูตรผสมไวน์ตัวใหม่กับลูกเหมือนกัน” “ครับ” “แล้วขิมละลูก อยากออกไปไหนหรือเปล่า” คุณนายดารินทร์ถามลูกสาวขึ้นมาบ้าง เพราะอยู่กรุงเทพหลายปีอาจจะเบื่อและอยากออกไปเที่ยวสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง “คงไม่ค่ะคุณแม่ ขิมคงจะอยู่เคลียร์งานในไร่นี่แหละค่ะ ว่าจะเข้าไปตรวจเช็คดูบัญชีรายรับรายจ่ายในไร่สักหน่อย เรียนจบแล้วก็อยากจะช่วยงานในไร่ให้เต็มที่ค่ะ” “ดีแล้วล่ะลูก…ว่าแต่ตะวันล่ะลูกวันนี้จะไปไหนไหม?” “ตะวันมีนัดทำรายงานส่งอาจารย์ค่ะ ไปทำที่บ้านยัยเจน” “หึ! ให้มันรายงานจริงๆเถอะ ไม่ใช่รายงานเรื่องเด็กใจแตกหรอกนะ!” น้ำเสียงเข้มที่มีแต่ความขุ่นเคืองเอ่ยขึ้นภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดของตัวเองที่เอ่ยออกมา “ตาเขื่อน!! ไปว่าน้องแบบนี้ได้ยังไงลูก” คุณนายดารินทร์พูดขึ้นมาอย่างไม่ค่อยจะพอใจกับคำพูดของลูกชายสักเท่าไหร่นัก “ผมก็พูดไปงั้นแหละ ถ้าลูกรักของคุณแม่ไม่ได้เป็นอย่างที่พูดก็ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไรหนิ” ธาราธรพูดขึ้นและไม่สนใจเด็กสาวตรงหน้า ก่อนทานตะวันจะลุกขึ้นและขอตัวขึ้นไปบนห้อง “ตะวันขอตัวก่อนนะคะ” “อ้าว อิ่มแล้วหรอลูกเพิ่งทานไปได้นิดเดียวเอง” “อิ่มแล้วค่ะแม่ดา เดี๋ยวตะวันขอไปเตรียมของก่อนนะคะ” “จ้ะลูก” คุณนายดารินทร์ได้แต่มองตามหลังเด็กสาวที่เลี้ยงมาตั้งแต่ตอนอายุ8ขวบอย่างห่วงใย ก่อนจะหันมาต่อว่าลูกชาย “ตาเขื่อน! ไปพูดกับน้องแบบนั้นได้ยังไงกัน เห็นไหมน้องทานข้าวไม่ลงเลย” “ผมก็แค่พูดไปงั้นๆ แล้วจะสนใจไปทำไมครับถ้ามันไม่จริง จริงไหม” “แต่พี่เขื่อนไปพูดกับตะวันแบบนั้น น้องคงจะเสียใจนะคะ พี่เขื่อนไม่เห็นสีหน้าตะวันหรอ” ขิมพูดขึ้นมาอย่างนึกตำหนิพี่ชายที่เอาแต่ตั้งแง่รังเกียจทานตะวันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ “เอาล่ะๆ อย่าเพิ่งเถียงกันเลย รีบทานข้าวกันต่อเถอะเดี๋ยวจะไม่เจริญอาหารกันพอดี” เมื่อขึ้นมาบนห้องเด็กสาวก็รีบจัดเตรียมของใส่กระเป๋าเพื่อจะต้องไปทำรายงานที่บ้านของเพื่อน ก่อนจะเดินลงไปยังด้านล่าง “จะไปเดี๋ยวนี้เลยหรอลูก” คุณนายดารินทร์ถามขึ้นเมื่อเห็นเด็กสาวสะพายกระเป๋าเป้เดินลงมา “ค่ะแม่ดา” “เดี๋ยวให้ตาวิรัตน์แกไปส่งนะลูก” “ค่ะแม่ดา” เมื่อเด็กสาวขึ้นมาบนรถแล้วก็มุ่งตรงไปยังบ้านของเจนจิราเพื่อนสนิทของเธอทันที เมื่อถึงที่หมายแล้วตะวันก็เห็นเพื่อนสนิทของเธอยืนรอตรงบริเวณหน้าบ้านอยู่ก่อนแล้ว “ทำไมมาช้าจังตะวัน เจนรอตั้งนาน” เจนจิราเพื่อนสนิทของตะวันถามขึ้น เมื่อเห็นอีกคนเดินลงมาจากรถ “ขอโทษน๊าที่ให้รอนาน” “อืมๆ งั้นเราไปกันเถอะ พี่เจตน์รอตะวันนานแล้ว” เจนพูดขึ้นพร้อมกับดึงมือเพื่อนสาวเข้าไปในบ้านอย่างเร่งรีบ เมื่อเจตนิพัทธ์ชายหนุ่มอายุ23ปีซึ่งเป็นพี่ชายเพียงคนเดียวของเจนจิรารออยู่ในบ้าน เจตน์แอบรักทานตะวันเพื่อนของน้องสาวมาตั้งแต่เจนจิรารู้จักกับตะวันใหม่ๆ และนั่นเจนจิรารู้ดีและเชียร์ให้พี่ชายและเพื่อนสาวชอบกัน แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า เมื่อตะวันไม่มีวี่แววว่าจะรักจะชอบพอเจตนิพัทธ์เลยสักครั้ง “พี่เจตน์กลับมาจากกรุงเทพแล้วหรอเจน” “กลับมาแล้ว มีของฝากมาฝากตะวันด้วยน๊า” “เกรงใจพี่เจตน์แย่เลย กลับมาทีไรต้องซื้อของมาฝากตลอด” “เอาน่า...พี่เจตน์ก็ซื้อให้แค่เฉพาะคนสำคัญๆเท่านั้นแหละ” เจนจิราจับมือตะวันกึ่งเดินกึ่งลากเพื่อนสาวคนสนิทเข้ามาภายในบ้าน ซึ่งมีเจตนิพัทธ์กำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างใจจดใจจ่ออยู่ตรงโซฟา ก่อนชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งจะเงยหน้าขึ้นมามองสองสาวที่กำลังเดินเข้ามา “อ้าวมาแล้วหรอครับน้องตะวัน” “สวัสดีค่ะพี่เจตน์” ทานตะวันยกมือขึ้นไหว้ผู้ที่มีอายุเยอะกว่าอย่างนอบน้อม “สวัสดีครับ แล้วนี่น้องตะวันทานอะไรมาหรือยัง” ชายหนุ่มถามเด็กสาวตรงหน้าขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรเมื่อเจอคนที่ตัวเองแอบมีใจให้ “ตะวันทานมาเรียบร้อยแล้วค่ะ ทานเสร็จก็มาที่นี่เลย” “ว่าแต่ตะวันจะค้างที่นี่กับเราไหมคืนนี้” เจนจิราถามขึ้น ในใจตอนนี้อยากจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้เพื่อนสนิทอยู่ที่นี่ให้นานที่สุด เพื่อพี่ชายของเธอจะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดตะวันมากขึ้น “คงไม่ได้ค้างหรอกเจน ตะวันไม่ได้บอกแม่ดาไว้ล่วงหน้า เกรงใจแม่ดาจ้ะเดี๋ยวตะวันจะโดนดุเอา” “เฮ้อ เสียดายจัง” “งั้นเรารีบทำรายงานให้เสร็จกันดีกว่า เดี๋ยวจะเสร็จไม่ทัน” “โอเคจ้า งั้นลุยกันเลย” สองสาวต่างพากันทำรายงานที่ครูมอบหมายมาอย่างตั้งอกตั้งใจ จนเวลาล่วงเลยมาถึงเวลาบ่ายโมง เจตนิพัทธ์เห็นว่าทั้งสองยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำรายงานจนเลยเวลาเที่ยงวันแล้วแต่ยังไม่ได้ทานอะไร เลยเดินมาบอกให้ทั้งสองสาวหยุดทำรายงานแล้วให้มาทานข้าวเที่ยงกันก่อน “เอาละสาวๆ มาทานข้าวเที่ยงกันก่อนแล้วค่อยทำต่อ นี่ก็เลยเวลาอาหารเที่ยงแล้วเดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะกันนะถ้าหากทานข้าวไม่ตรงเวลา” “คร่า…คุณพ่อ” เจนจริราพูดจีบปากจีบคอประชดผู้เป็นพี่ชายอย่างไม่ค่อยจริงจังนัก หลังจากธาราธรได้เข้าไปตรวจดูโรงบ่มไวน์เสร็จแล้วก็เดินกลับเข้ามาภายในบ้านเพื่อจะขึ้นไปอาบน้ำอาบน้ำท่า แต่ก็เจอเข้ากับผู้เป็นแม่ที่กำลังยืนบ่นอุบอิบๆ เขาจึงเดินเข้าไปสอบถาม “คุณแม่บ่นอะไรอยู่คนเดียวครับ” “อ้าวตาเขื่อน ตรวจงานเสร็จแล้วหรอลูก” “ครับเพิ่งเสร็จ เลยว่าจะขึ้นไปอาบน้ำหน่อยจะได้สบายตัว แล้วนี่คุณแม่ทำอะไรอยู่ครับ เห็นยืนบ่นๆอยู่คนเดียวมีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามขึ้นประกอบกับคิ้วหนาที่ขมวดกันมุ่น “ก็ตาวิรัตน์น่ะสิลูก มาท้องเสียเอาอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้ นี่ก็ใกล้จะได้เวลาไปรับตะวันแล้ว ยังวิ่งเข้าออกห้องน้ำเป็นสิบๆรอบอยู่เลย ป่านนี้ทานตะวันคงรอนานแล้ว” “ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ รอนิดรอหน่อยจะเป็นไรไป” “เดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อนน่ะสิ นี่ก็ไม่รู้จะหายไหม วิ่งเข้าวิ่งออกจากห้องน้ำหลายรอบแล้ว ถ้าขืนเป็นแบบนี้มีหวังคงต้องไปโรงพยาบาล” คุณนายดารินทร์พูดไปบ่นไปก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “งั้นลูกไปรับน้องแทนตาวิรัตน์ได้ไหมตาเขื่อน” “อะไรนะครับ!! ทำไมผมต้องไปรับยัยเด็กนั่นด้วย ถ้าไม่มีใครไปรับก็ปล่อยให้ยัยนั่นเดินกลับเอง หรือไม่ก็ให้ที่บ้านนั้นมาส่งสิ ไปยังไปเองได้กลับก็ต้องกลับเองได้สิครับ!” ธาราธรพูดขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ก่อนจะเดินละไปจากตรงนั้นโดยไม่สนใจผู้เป็นแม่ “ตาเขื่อน!!!…ไอ้เจ้าลูกคนนี้ มันจะอคติอะไรกับตะวันนักหนาตั้งแต่เด็กยันโต!” คุณนายดารินทร์พูดบ่นๆขึ้นตามหลังลูกชายอย่างเหลืออด ทางด้านของเด็กสาวก็ชะเง้อมองออกไปตรงหน้าบ้านบ่อยครั้ง เพราะจนป่านนี้แล้วลุงวิรัตน์คนขับรถประจำไร่ธาราธรยังไม่มารับเธอเลย ตะวันได้แต่ชะเง้อมองครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่แบบนั้น “ตกลงคนที่บ้านเขาจะมารับตะวันไหม ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีก นี่ก็จวนจะหกโมงเย็นแล้วนะ” เจนจิราพูดขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนเอาแต่ชะเง้อมองออกไปตรงหน้าบ้าน “นั่นสิ! น้องตะวันให้พี่ไปส่งไหมครับเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน ให้พี่กับยัยเจนไปส่งก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กสาวที่เขาแอบรักเอาแต่ชะเง้อมองไปบริเวณหน้าบ้านอยู่แบบนั้น “เอ่อ ค่ะ พี่เจตน์คงไม่ว่าอะไรนะคะถ้าตะวันจะรบกวนให้พี่เจตน์ไปส่งที่ไร่ธาราธร” “ไม่รบกวนอะไรเลยครับ งั้นเราไปกันเถอะเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน” ทั้งสามคนกำลังจะเดินไปขึ้นรถเพื่อไปส่งตะวันที่ไร่ธาราธร แต่ทันใดนั้นก็มีรถยนต์คันหรูวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วก่อนจะมาจอดอยู่ตรงบริเวณลานหน้าบ้าน “นั่นใครน่ะตะวัน?!” เจนจิราถามขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งกำยำหน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรก้าวขาลงมาจากรถ และกำลังมุ่งหน้าเดินตรงมายังที่พวกเธอยืนอยู่ “คุณเขื่อน!!” ตะวันพูดขึ้นด้วยความแปลกใจที่ชายหนุ่มตรงหน้ามาปรากฏตัวที่นี่ “จะกลับได้รึยัง?!” เขาพูดขึ้นเสียงแข็งพลันเด็กสาวก็รีบหลบสายตาคมกริบนั้นทันทีโดยไม่กล้าจะสบตากับคนตรงหน้า “อะ เอ่อ…ค่ะ!” ทานตวันก้มหน้าก้มตาตอบรับ “เอ่อ คุณเขื่อนคะ นี่เจนจิราเพื่อนตะวันเองค่ะ และนี่คือพี่เจตน์พี่ชายของเจนค่ะ...ส่วนนี่คือคุณเขื่อนเจ้าของไร่ธาราธรค่ะ” เด็กสาวพูดแนะนำเพื่อนและพี่ชายของเพื่อนขึ้น และแนะนำชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของไร่ธาราธรให้กับเพื่อนและพี่ชายเพื่อนได้รู้จัก “สวัสดีค่ะ/สวัสดีครับ” เจนจิราและเจตนิพัทธ์ต่างยกมือไหว้ทักทายผู้ชายตรงหน้าอย่างเป็นมิตร ก่อนชายหนุ่มหน้าตาคมคายจะรับไหว้เช่นกัน “ฉันมารับเธอแทนลุงวิรัตน์ พอดีแกท้องเสียหนักเลยมารับเธอไม่ได้” ธาราธรพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เอ่อ ค่ะ” เด็กสาวตอบรับก่อนจะบอกลาเพื่อนและพี่ชายของเพื่อนทันที “งั้นตะวันกลับก่อนนะเจน ตะวันกลับก่อนนะคะพี่เจตน์” เด็กสาวพูดขึ้นก่อนจะหันหลังเดินตามธาราธรเพื่อไปขึ้นรถ “เดี๋ยวก่อนครับน้องตะวัน!!” เจตนิพัทธ์เรียกชื่อเธอไว้ก่อนจะเดินเข้าไปหาและยื่นถุงใบเล็กๆให้กับทานตะวัน ซึ่งสิ่งของที่อยู่ในนั้นคือน้ำหอมแบรนด์ดังที่เขาตั้งใจเลือกซื้อมาฝากผู้หญิงที่เขาแอบชอบซึ่งก็คือเธอ “นี่ครับ ของฝากพี่ซื้อมาฝากตะวัน “เอ่อ ขอบคุณนะคะพี่เจตน์ พี่ไม่น่าลำบากซื้ออะไรมาฝากตะวันเลย ตะวันเกรงใจ” “ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่เต็มใจ” เจตน์พูดขึ้นพร้อมกับยิ้มกว้างๆให้กับคนตัวเล็กอย่างจริงใจ ~ปี๊ก ปี๊ก ปี๊กกกกก~!! เสียงบีบแตรดังขึ้นเพื่อเป็นการเตือนให้อีกคนรีบขึ้นรถ ธาราธรเห็นเจตนิพัทธ์ยื่นสิ่งของบางอย่างให้กับทานตะวัน อีกทั้งยังส่งรอยยิ้มพร้อมกับสายตาหวานหยาดเยิ้มให้กับเด็กสาวเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ จึงแกล้งบีบแตรใส่ “ตะวันไปแล้วนะคะพี่เจตน์ สวัสดีค่ะ ไปแล้วนะเจนไว้เจอกันที่โรงเรียนนะ บ๊ายบาย” ตะวันบอกลาเพื่อนและพี่ชายของเพื่อน ก่อนจะรีบเดินขึ้นไปบนรถที่อีกคนกำลังทำหน้าตาถมึงทึงอยู่อย่างคนไม่พอใจ ก่อนคนตัวโตจะขับรถออกไปอย่างเร่งรีบ…ตอนที่ 47 (จบบริบูรณ์) ~ 4 ปีผ่านไป ~ “โสนน้อยเรือนงามของลุงภูผาอยู่ไหนน๊า… ไหนใครเอ่ยบอกว่าอยากได้ชุดเจ้าหญิงเอลซ่า วันนี้ลุงภูผาได้มาตั้งสามชุดแน่ะสวยๆทั้งนั้นเลย” “ลุงภูผามาแล้ว…!!” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ ศุภรดา ศิรชล หรือน้องโสน (สะ-โหน) วัยสามขวบครึ่งรีบวิ่งแจ้นออกมาหาลุงภูผา ก่อนเขาจะก้มลงไปอุ้มสาวน้อยชูขึ้นมาแนบอกด้วยความรักและเอ็นดู “ไหนชุดเจ้าหญิงเอลซ่าของโสนล่ะคะลุงภูผา” “หื้ม…ต้องหอมแก้มลุงก่อนนะคะถึงจะได้เห็นชุดสวย” ฟอด ฟอด!! “แก้มลุงภูผาหอมชื่นใจจังเลยค่ะ” “แหม๋…พอได้ยินเรื่องของฝากนี่รู้งานเลยนะลูก” ทานตะวันพูดขึ้นเมื่อเห็นลูกสาวตัวน้อยกำลังออดอ้อนคุณลุงภูผา โสนติดลุงภูผาของเขามากเพราะมักจะคอยได้ของเล่น ของกิน และชุดสวยๆจากลุงภูผาอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะอยากได้อะไรเธอก็มักจะออดอ้อน และภูผาเองก็มักจะตามใจหลานสาวตัวน้อยๆคนนี้เสมอจนโสนเองได้ใจจนเคยตัว และภูผาจึงกลายเป็นแขกคนสำคัญประจำบ้านศิรชลไปแล้ว “วันนี้พี่ภูอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันที่นี่นะคะ” “ครับ” ทานตะวันและภูผานั่งคุยกันภายในห้องรับแขก ส่วนคุณนายดารินทร์ ท่านธีระและขิมเดินท
ตอนที่ 46 …1 เดือนต่อมา… ~วันแต่งงาน~ ขบวนขันหมากตั้งขบวนร้องเพลงแห่เสียงดังขับขานมาตั้งแต่ด้านหน้าของไร่ธาราธร ทุกคนสนุกสนานครื้นเครงต่างร้องเพลงขับขานดังก้องไปทั่วท้องถนน วันนี้เป็นฤกษ์งามยามดีของคู่บ่าวสาวป้ายแดง ธาราธรเดินขบวนขันหมากตามประเพณีไทยเพื่อเข้าสู่พื้นที่ภายในไร่องุ่นอันกว้างขวางที่จัดเตรียมงานไว้อย่างอลังการ แขกเหรื่อในงานต่างเริ่มทยอยกันมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นแขกผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดและกลุ่มเพื่อนๆของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงที่ทั้งสองเชิญมา เจนจิราและเจตนิพัทธ์ก็มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย แม้ตัวเจตนิพัทธ์เองจะอกหักและไม่ค่อยจะกินเส้นกับเจ้าบ่าวป้ายแดงสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังคงมาแสดงความยินดีกับคนที่ตัวเองแอบรักอย่างจริงใจ นอกจากนี้ยังมีภูผาที่มาร่วมแสดงความยินดีในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะตัดขาดความสัมพันธ์การเป็นเพื่อนระหว่างเขากับธาราธรไป อย่างน้อยตอนนี้เขาก็พอจะยอมรับความจริงได้บ้างแล้ว ในเมื่อทานตะวันและเพื่อนของเขารักกัน หากทั้งสองตัดสินใจที่จะแต่งงานและใช้ชีวิตคู่ด้วยกันเขาก็ควรจะยินดีกับทั้งสองคน วัน
ตอนที่ 45 ธาราธรเปิดประตูเข้าไปในห้องก็พบว่าคนตัวเล็กนอนอยู่บนเตียงนอน เขาเดินอ้อมมาหยุดอยู่ตรงหน้าทานตะวันที่กำลังนอนหลับตาพริ้ม “นอนอย่างกับคนไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลยนะยัยตัวแสบ” ธาราธรบ่นเบาๆคนเดียวก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากมนเกลี้ยงเกลาของเธอเบาๆอย่างรักใคร่หวงแหนก่อนจะเลื่อนริมฝีปากหนาลงมาประกบริมฝีปากอวบอิ่มของเธอเบาๆ เขาอดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบเธอ บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอทำของใส่หรือเปล่าเขาถึงได้หลงหัวปักหัวปำขนาดนี้ ธาราธรยังคงจูบริมฝีปากเธอเบาๆอย่างอ้อยอิ่งอยู่แบบนั้นจนคนตัวเล็กเริ่มรู้สึกตัว “อื้อ” “ตื่นแล้วหรอ” “พี่เขื่อน...เข้ามาทำไมคะ” “พี่เอาไอ้นี่มาให้ตะวันตรวจน่ะ” ธาราธรยื่นที่ตรวจครรภ์ให้กับทานตะวันก่อนจะส่งรอยยิ้มหวานให้กับเธอ “นี่มัน...ที่ตรวจครรภ์นี่คะ!” “ใช่ครับพี่อยากให้ตะวันลองตรวจดู!!” “ตรวจทำไมเหรอคะ?” “คุณแม่บอกว่าอาการที่ตะวันเป็นอยู่ตอนนี้ เหมือนตอนที่คุณแม่...ท้อง” “ทะ ท้องเหรอคะ” “อื้ม” “แล้วถ้าตะวัน ทะ ท้องขึ้นมาจริงๆ ตะวันจะเลี้ยงลูกได้ไหมคะ ตะวันจะ
ตอนที่ 44 ~ 2เดือนผ่านไป~ หลังจากเหตุการณ์วันนั้นที่ห้องอาหารของโรงแรมดัง อาทิตย์ต่อมาโซเฟียก็เข้ามาหาธาราธรที่ไร่องุ่นแต่ครอบครัวของธาราธรไม่มีใครต้อนรับเธอ โดยเฉพาะคุณนายดารินทร์ที่ขัดขวางทุกอย่าง เพราะไม่อยากให้โซเฟียเข้ามามีบทบาทในชีวิตของลูกชายอีก จึงจำเป็นจะต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เพราะผู้หญิงอย่างโซเฟียอาจจะมาสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตคู่ของธาราธรและทานตะวันที่ซึ่งกำลังจะแต่งงานกันในเดือนหน้านี้ คุณนายดารินทร์เลยสั่งให้คนงานในไร่ห้ามโซเฟียเข้ามาภายในไร่ธาราธรเด็ดขาด ถ้าใครปล่อยให้เข้ามาได้โทษคือไล่ออกสถานเดียว ทางด้านโซเฟียเองเมื่อรู้ว่าธาราธรกำลังจะแต่งงานกับทานตะวัน และตัวเธอเองแทบจะมองไม่เห็นทางไหนเลยสักทางที่จะสามารถแย่งเอาชายหนุ่มกลับมาได้ เพราะตอนนี้หัวใจของธาราธรมีให้กับผู้หญิงที่ชื่อทานตะวันเพียงแค่คนเดียว โซเฟียเลยเลือกที่จะยอมถอยออกมาดีกว่าที่จะดันทุรัง ช่วงนี้ภายในไร่ธาราธรกำลังยุ่งๆเรื่องเตรียมงานแต่ง ทั้งตัวธาราธรและทานตะวันเองก็วุ่นวายกับการเลือกชุดเลือกการ์ดแต่งงานและถ่ายพรีเวดดิ้ง เพราะงานแต่งงานของเจ้าของไร่องุ่นที่กว้างขวางที่สุด
ตอนที่ 43 โซเฟียยอมลุกออกมานั่งที่โต๊ะของตัวเองแต่ก็ยังไม่วายคอยเฝ้ามองดูคนสองคนที่กระหนุงกระหนิงกันเป็นพิเศษจนเธอรู้สึกหมั่นไส้ จากที่ไม่ค่อยชอบทานตะวันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้เธอกลับรู้สึกเกลียดเด็กคนนี้มากกว่าเข้าไปอีก ธาราธรเองก็ดูเปลี่ยนไปเยอะมาก และที่เขาเปลี่ยนไปก็คงจะเป็นเพราะเด็กสาวคนนี้ ไหนจะท่าทางที่ดูเอาอกเอาใจเด็กสาวนั่นอีก คงจะหลงเด็กคนนี้ไม่เบาเลยสินะ โซเฟียได้แต่คิดในใจอย่างหมั่นไส้ “คงจะแอบแซ่บกันแล้วล่ะสิ!” โซเฟียพูดขึ้นเบาๆคนเดียวอย่างเหยียดๆ ธาราธรคอยตักอาหารจานโน้นทีจานนี้ทีให้กับคนตัวเล็กอย่างเอาใจ ตอนนี้หน้าตาที่ดูเรียบเฉยจนดูเย็นชาของเธอมองจากดาวอังคารเขาดูออกว่าเธอกำลังโกรธเขา จากที่จะพาเธอออกมาหาอะไรทานกันข้างนอกเหมือนกับคู่รักทั่วๆไป แต่กลับต้องมาเจอกับบุคคลที่ไม่อยากจะเจอเลยพลอยทำให้เสียบรรยากาศไปหมด “ตะวันอิ่มแล้วค่ะ” มือเรียวสวยรวบช้อนก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มโดยไม่ยอมมองหรือสบตากับคนตรงหน้า และเธอก็ไม่สนใจเขา “ทำไมอิ่มเร็วจังเพิ่งทานไปนิดเดียวเอง” “ตะวันทานไม่ลงค่ะ” “ตะวันโกรธอะไรพี่หรือเปล่า?
ตอนที่ 42 ธาราธรถอนตัวตนอันใหญ่โตของเขาออกจากร่องสวาทของเธอ ก่อนจะมองดูน้ำรักขาวขุ่นผลงานของตัวเองที่ไหลย้อนออกมาจากร่องรักของเธออย่างไม่วางตา เขาพอใจกับผลงานชิ้นเอกของตัวเองก่อนจะยกยิ้มมุมปาก สายตาคมกริบเหลือบมองไปเห็นใบหน้าหวานของเธอที่แดงซ่านด้วยความอายอย่างน่ารัก ก่อนคนตัวเล็กระรีบเบือนหน้าหนีไปด้วยความอับอาย “ไม่ต้องอายพี่หรอกเพราะร่างกายทุกส่วนของตะวัน…พี่เห็นมาหมดแล้ว” ‘บ้าจริง ทำไมหัวใจของเธอต้องเต้นแรง ร่างกายของเธอร้อนรุ่มทุกครั้งที่เขาสัมผัส อีกทั้งเธอยังไม่เคยที่จะปฏิเสธเขาได้เลย’ ทานตะวันได้แต่คิดในใจอย่างนึกอาย.. “ที่ผ่านมาตะวันเจ็บมากใช่ไหม?” “……” ทานตะวันไม่ตอบเธอทำได้แค่มองสบตาคนตัวโตที่ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนเธอยังเด็ก ตอนนั้นเธออายุ8ขวบ เขาเองอายุ18ปี อายุของเขากับเธอห่างกัน10ปี เขาคิดแค่ว่าเขาเกลียดเธอ เกลียดเด็กที่พ่อแม่รับมาอุปการะ เกลียดเพราะคิดว่าเธอจะมาเป็นภาระให้กับครอบครัว เกลียดเพราะกลัวเธอจะมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากเขาและน้องสาวของเขา ทั้งที่เธอเองเป็นเด็กดี และน่ารัก