[พาร์ท : โหน]
ผมขับมอเตอร์ไซค์ออกมาจากวิทยาลัยอาชีวะ คิดเรื่องไอ้เค้กมาตลอดทางว่าผมควรจะทำยังไงกับมันดี
“ขอแค่ยังคุยกับกู ให้กูจีบเหมือนเดิม”
“ได้ แต่กูก็ยังจะเห็นมึงเป็นเพื่อนเหมือนเดิม แค่นั้น”
ทำแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ผมเปิดทางให้มันจีบผมต่อไปเรื่อยๆ แล้วถ้าเกิดชูใจรู้เขา เธอก็จะคิดว่าผมแม่งไม่จริงใจกับเธอ แล้วเธอก็คงไม่เปิดใจให้ผมอีกเลยตลอดไป
ผมผละมือจากแฮนด์รถข้างนึงมาลูบหัวตัวเองแรงๆ
พูดไปงั้นแล้ว เหมือนให้ความหวังมันเลยว่ะ ผมคิดอะไรอยู่ ทั้งๆ ที่ใจผมมีแค่ชูใจคนเดียว ไม่เคยมีใครแทรกเข้ามาแทนที่เธอได้ แต่ผมแม่งก็เป็นคนใจดีเกินไปเหมือนกัน มันเคยเป็นแฟนเก่า ผมเผลอเข้าใจความรู้สึกรักข้างเดียวของมันเหมือนที่ผมเป็นกับชูใจ
ความใจดีบางทีมันจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง จริงปะ
ผมขับมาถึงมหาลัยของชูใจ ใจผมตอนนี้มันตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวใจเธอ แต่ตั้งแต่ที่จูบเธอไป ชูใจก็ดูเหมือนจะประหม่าตอนที่ได้คุยกับผม มันพอบอกได้มั้ยว่าเธอเองก็มีใจ
ผมล้วงกาแฟกระป๋องมาจากถุงพลาสติกเซเว่นที่แวะซื้อก่อนมารับเธอ กระดกลงคอหนึ่งอึกแก้ง่วง ในขณะที่อีกมือก็กดเปิดหน้าจอมือถือ พิมพ์ไปหาเธอในแชทเฟส
ชื่อ โหน : ถึงแล้วนะ
ชูใจกดอ่าน แต่ไม่ขึ้นว่าเธอกำลังพิมพ์กลับมาเหมือนทุกที
ผมขมวดคิ้วทันที
ชื่อ โหน : เลิกเรียนยัง
เธอกดอ่านอีก แต่ไม่พิมพ์ตอบกลับมาอีกแล้ว คราวนี้ผมเลยถือวิสาสะโทรหาเธอ แต่ชูใจกดตัดสายทันที
อะไรวะ
ผมโทรหาอีก แต่ชูใจก็กดตัดสายทันทีอีกเหมือนกัน เธอเหมือนโกรธผมเลยว่ะ แต่ผมไม่รู้ว่าผมทำผิดเรื่องอะไร
ผมนั่งรอประมาณครึ่งชั่วโมง จนสุดท้ายทนไม่ไหวเลยกดเข้าหน้าเฟสเธอ เลื่อนดูโพสต์หน้าไทม์ไลน์เธอก็เห็นว่าไม่มีอะไรใหม่ มีแต่เพื่อนที่เพิ่มมาคนนึง
แต่... เดี๋ยวดิ
เพื่อนที่เธอเพิ่งเพิ่มมา มันไอ้เค้กไม่ใช่เหรอวะ?
“ชิบหาย”
ผมสบถออกมา ในขณะที่เหงื่อเริ่มไหลลงมาแถวขมับ งี้ชูใจก็รู้จากไอ้เค้กแล้วดิว่าผมเคยคบกับมัน
ไม่รู้ไอ้เค้กไปพูดไรไว้บ้าง ชูใจถึงได้โกรธขนาดนั้น
ผมกัดฟันกรอด จะโทรหาไอ้เค้กแต่คงไม่มีประโยชน์ ค่อยไปถามมันทีหลัง ตอนนี้ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าชูใจอยู่ไหน
ผมโทรหาชูใจอีกรอบ คราวนี้เธอกดตัดสายทิ้งอย่างไม่ใยดี
เวร... ชูใจ อย่าทำแบบนี้ดิวะ
ผมกวาดขายาวๆ ขึ้นไปนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์ กดข้อความส่งเข้าไปในแชทเฟสเธอรัวๆ
ชื่อ โหน : ชูใจ ถ้ารู้ไรมาอย่าเชื่อ 100%
ชื่อ โหน : เราไม่ได้มีใครตอนนี้
อ่านแล้ว
ชูใจกดอ่านทันที ในขณะที่ผมจะเอาที่วางโทรศัพท์บนรถไว้แล้วสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบกลับมาอีกแล้ว ในตอนนั้นเองที่ผมก็ได้ยินเสียง
ติ๊ง
ผมชะงัก ผละมือจากแฮนรถไปแตะหน้าจอเปิดเข้าช่องแชท เห็นชูใจพิมพ์มายาวมากเหมือนอัดอั้น
Shoujai Chutimon : ถ้าเราไม่ไปถามจากเค้า เราคงไม่รู้ว่าโหนไม่ได้จริงใจกับเรา
Shoujai Chutimon : ถ้ายังมีใจกันอยู่ งั้นจะมาทำตัวแบบนี้ใส่เราทำไม
เธอไปถามอะไรจากไอ้เค้ก?
ผมลูบหน้าตัวเองแรงๆ กัดขอบปากล่างอย่างเคร่งเครียดตอนที่ตอบเธอกลับไป
ชื่อ โหน : ฟังหน่อย
ชื่อ โหน : เราไม่ได้คิดไรกับไอ้เค้กจริงๆ
Shoujai Chutimon : เรากลับบ้านแล้ว ไม่ต้องโทรมานะ
Shoujai Chutimon OFFLINE
“แม่งเอ้ย” ผมต่อยแฮนด์รถไปทีนึงอย่างไม่ได้ดั่งใจ ชูใจเข้าใจผิด เธอคิดว่าผมชอบพอกับไอ้เค้กแล้วยังจีบกันอยู่ ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้คิดอะไรกับมันแล้ว ที่คบกันตอนนั้นก็แค่เรื่องสนุก
พอคิดจะจริงจังกะใครสักคน มันก็เป็นแบบนี้ทุกที
ผมนั่งนิ่งอยู่สักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจขับมอเตอร์ไซค์ไปที่หอของเธอ ในตอนนั้น ใจผมแม่งหน่วงๆ เพราะไม่เคยเจอใครที่รักจริงเป็นคนแรกอย่างเธอ แต่ผมแอบรักเธอมาหลายปีมาก
วันนี้ผม... รู้สึกหายใจลำบาก ที่เธอโกรธเรื่องผู้หญิง ไม่รู้มันเรียกว่าอะไร ผมไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอหึงผม มันคงแทบไม่มีทางเป็นไปได้
แต่อีกใจผมก็อยากคิด... อยากคิดขึ้นมาว่ะ
ผมเข้าข้างตัวเองได้ใช่มั้ยวะ
แค่นิดเดียวก็พอ
ผมมายืนอยู่หน้าประตูห้องของชูใจ ก้มลงมองโทรศัพท์ เห็นว่าเธอยังออฟไลน์อยู่
ผมพ่นลมหายใจ จัดทรงตัวเอง ก่อนที่จะเคาะประตู
ก็อกๆ
เคาะครั้งแรก ไม่มีใครตอบ ผมสังเกตเห็นว่ามันมีตาแมวจากข้างใน เลยหลบไปยืนข้างๆ ประตูเพราะรู้ว่าถ้าชูใจรู้ว่าเป็นผมเธอจะไม่เปิดประตูแน่ แล้วดัดเสียงเป็นคนส่งพัสดุ
“มีพัสดุมาส่งครับ”
นาทีนั้นผมได้ยินเสียงคนเดินมาที่หน้าประตู ก่อนที่มันจะเปิดออกพร้อมกับร่างเล็กที่ชะเง้อคอออกมามองข้างนอก ผมเห็นว่าหน้าเธอแดงๆ ตาแดงๆ ที่จมูกมีทิชชู่คาอยู่อย่างน่าขำ
ร้องไห้เหรอวะ?
ไม่หรอกมั้ง
“อะ” เธอสะดุ้งพอผมสไลด์ตัวมายืนข้างหน้า ชูใจทำหน้ามุ่ยทันที ทำท่าจะปิดประตู แต่ผมก็เอาขาเข้าไปขวางไว้ได้ทัน
“คุยกันก่อนได้มั้ย” ผมถามเธอ ชูใจมองผมตาขวาง
“ไม่มีอะไรต้องคุยนิ”
“ก่อนจะโกรธขนาดนั้น ถามเราก่อนมั้ย ว่าเรายังชอบไอ้เค้กอยู่รึเปล่า” ผมถามเข้าตรงประเด็น ชูใจสะอึกไป เธอมองหน้าผม ก่อนที่จะกอดอก
“แล้วทำไมเราต้องรู้ด้วยเหรอ ในเมื่อเราไม่ได้คิดอะไรกับโหน”
“...”
“เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ เราก็ไม่ได้สนใจสักหน่อย” ท้ายประโยคเธอสูดน้ำมูก ก่อนที่จะหันหน้าหนีพอผมเผลอไปเห็นว่าเธอมีน้ำตาคลอนิดๆ “จะเป็นอะไรกับคนนั้นก็เป็นไปเถอะ เรารู้ว่าเรามันก็เป็นแค่เพื่อนของโหน”
ผมนิ่งไป อยากคิดติดลบว่ะ เคยคิดอยากตัดใจพอได้ยินคำนั้น แต่ครั้งนี้อาการเธอมันแสดงออกมาก
ว่าเธอเองก็คิด
“แน่ใจว่าไม่ได้คิด?” ผมย้อน เลิกคิ้วถามเธอ ชูใจชะงักไป
“ใช่!” เธอขึ้นเสียงอย่างดื้อดึง “ทำไมอ่ะ ทำไมเราต้องคิด ไหนบอกหน่อยสิ”
ผมฉีกยิ้มออกมา นึกอยากแกล้งเธอนิดหน่อย
“ก็ไม่ต้องคิดอะไร” ผมพลั้งพูดมันออกไป “คิดว่าคืนนั้นเธอฝัน เราฝัน”
“...”
“แล้วเราแม่งก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”
ชูใจหน้าตื่นทันที ผมเปลี่ยนสีหน้าไปตีหน้าเศร้า ก่อนที่จะหันหลังหนี รู้สึกเกลียดตัวเองหน่อยๆ ตอนที่ได้ยินเธอสะอึกอยู่ข้างหลัง
“... แค่นี้เองเหรอ” เธอสะอื้นฮักออกมา “สุดท้ายก็มีความพยายามแค่นี้เองเนอะโหน”
“...”
“คอยดู เราจะไม่สนใจโหนอีกแล้วด้วย!” พูดพร้อมกับปากล่องทิชชู่ใส่หลังผมพร้อมกับชิงปิดประตูก่อนที่ผมจะหันกลับไป แล้วแม่งก็เป็นผมที่เหวอซะเอง แค่คิดจะแกล้งนิดหน่อย กลายเป็นดันทำให้เรื่องแย่ลงกว่าเดิม
ผมวกกลับไปเคาะประตูแล้วเรียกเธอ
“ชูใจ” ไม่มีเสียงตอบในนั้น เธอคงโกรธผมมาก ผมเลยแค่นหัวเราะ วางมือที่กำหมัดลงนาบกับประตูห้อง ก่อนที่จะกลั้นใจพูด “ก็ถ้าไม่อยากเป็นแค่เพื่อน แล้วไม่อยากให้ใครยุ่งกับเราขนาดนั้น”
“...”
“ก็คบกับเราสักทีดิ”
[จบพาร์ท : โหน]
ฉันยืนนิ่งอยู่หลังประตู เม้มริมฝีปากแน่นเมื่อโหนเริ่มขอคบเป็นแฟนอีกครั้ง
แต่เพิ่งเกิดเรื่องแบบนี้ไป เขาจะมาขอคบกันแบบนี้ได้ยังไง
... ก็ฉันไม่มั่นใจนี่
“ถะ...” ฉันอ้าปากขึ้นพูด ก่อนที่จะสะอึกออกมานิดนึง “ถ้ากล้าไปพูดกับผู้หญิงคนนั้นว่าไม่ได้ชอบ”
“...”
“เราอาจจะมาคิดดูอีกทีก็ได้”
โหนเงียบไป ฉันแอบหน้ามุ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเขาเงียบ หรือเพราะไม่อยากบอกล่ะ งั้นก็ไม่ต้องมาคุยเลยนะ
ฉันไม่ได้หึงอะไรทั้งนั้นแหละ!
แค่อยากให้เขาซื่อสัตย์ถ้าเกิดจะจีบฉันจริงๆ อ่ะ
“ได้ดิ” เขาโพล่งขึ้นมา ฉันชะงักไป “ก่อนอื่น เปิดประตูก่อนเลย”
“ทำไมต้องเปิดอ่ะ?”
“เธอก็ต้องไปด้วยไม่ใช่รึไง” ฉันทำหน้าเหวอออกมาทันที
“บ้าเหรอ!” ฉันโวยลั่นผ่านหลังบานประตู หน้าแดงก่ำอย่างสะเทิ้นอาย ถ้าเกิดทำแบบนั้นก็เท่ากับยอมรับสิว่าหวงเขาจริงๆ จนต้องตามไปเช็คให้แน่ใจ “ไม่ไปด้วย แค่ถ่ายรูปมาก็พอแล้วนี่ หรือไม่ก็ถ่ายวีดีโอมา หรือไม่ก็...”
“เธอจะเป็นแฟนเราแล้ว ยังกลัวผู้หญิงคนอื่นอีกเหรอ” ฉันชะงักไป เงียบปากฉับทันที เมื่อสิ่งที่เขาพูดมันดันตอกย้ำเต็มๆ ถึงคำท้าทายของฉันเมื่อกี้ ว่าฉันจะยอมเป็นแฟนเขาถ้าเกิดว่าเขาไปบอกกับผู้หญิงคนนั้นว่าไม่ชอบเธอแล้วจริงๆ
มันจวนตัวไปมั้ยเนี่ย
“นี่เราต้องเป็นแฟนโหนจริงๆ เหรอ” แค่พลั้งปากพูดไปเองนะ ฮือ
“แล้วอยากเป็นมั้ย” โหนถามกลับมาจากอีกฝั่งของประตู ฉันดึงทิชชู่ออกจากจมูก ก่อนที่จะโยนทิ้งไปที่ถังขยะข้างๆ แต่มันไม่ลง แต่ก็ช่างเถอะ
จะตอบว่าไม่อยากก็ไม่ใช่ จะตอบว่าอยากก็ไม่เชิงอ่ะ
“ไปพูดกับคนนั้นให้ได้ก่อนเถอะ”
“แล้วสรุปจะเปิดประตูได้ยัง จะได้พาไปตอนนี้เลย” ฉันเม้มริมฝีปาก คิดลังเลในใจ ก่อนที่จะหมุนตัวหันมาปลดล็อกประตูเปิดให้เขา
แกรก
โหนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ฉันหลบสายตาแวววาวของเขาทันที
“ถ้าเราบอกไอ้เค้กว่าไม่ชอบ จะเป็นแฟนเราจริงปะ?” ร่างสูงทวนถาม ฉันเหล่มองไปทางอื่นเพราะไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ ก็เล่นมองเหมือนจะกลืนลงคอแบบนั้นอ่ะ ใครจะไปกล้ามองลง
“คิดดูก่อนได้มั้ยล่ะ”
“ได้” เขาฉีกยิ้ม ก่อนที่จะจูงมือฉันแล้วลากให้เดินไปด้วยกันตอนที่ปิดประตูให้ฉันพร้อมกับล็อกประตูให้ ฉันก็ลืมไปเลยว่าโหนมีคีย์การ์ดสำรองของห้องฉันด้วย สมัยที่ฉันยังไม่รู้ว่าเขาชอบฉัน แต่เขาไม่ใช้มันตอนที่ฉันปิดประตูหนีหน้าเขาเมื่อกี้
“ก็แค่ไม่อยากเป็นผู้ชายที่เธอไม่ชอบ”
ฉันนึกถึงคำพูดของเขา ก่อนที่จะก้มลงมองมือเขาอย่างขัดเขิน
เอาเถอะ ก็แค่เป็นแฟนเอง... แค่เป็นแฟนเอง!
พอลงมาถึงข้างล่าง ฉันก็เห็นโหนกดมือถือเหมือนกำลังคุยแชทกับใครสักคน ฉันแอบเบ้ปากนิดๆ อย่างไม่รู้ตัวตอนที่ยื่นหน้าไปแอบดูแล้วเขาก็ไม่ได้ปิดบังอะไร แล้วก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงที่ชื่อเค้กคนนั้น
เธอหน้าตาดีนะ ดูแรงๆ เลย เหมาะกับผู้ชายแบบโหนดีอ่ะ
แล้วดูฉันสิ
ฉันก้มลงมองตัวเอง มองหน้าอกที่เล็กกว่าเธอ ท่าทางจืดชืดเหมือนน้ำเปล่าของตัวเอง ก่อนที่จะถอนหายใจ แต่พอรู้สึกตัวก็รีบสั่นหน้าหวือ
คิดอะไรอยู่! ก็ไม่ได้สนใจสักหน่อยว่าโหนจะชอบเราที่หน้าอกรึเปล่า
“แม่ง” อยู่ๆ โหนก็สบถออกมา ฉันหันกลับไปมองเขาตอนที่ร่างสูงยืนพิงรถมอเตอร์ไซค์ประจำตัว แปลกเนอะ ปกติก็มองเขาเป็นเพื่อนมาตลอด แถมไม่เคยรู้สึกอะไรด้วย แต่ตอนนี้อ่ะ
รอยสักที่คอของโหนตอนที่เขากลืนน้ำลายลงคอเพราะเครียดทำฉันต้องก้มหน้าหนี
ฉันไม่ชอบผู้ชายสัก มองว่ามันดูลายตาแถมน่ากลัว เอาเป็นว่าผู้ชายสักไม่ใช่สเป็คของฉันเลย แต่ดูสิ ฉันดันมาใจเต้นกับเขา ผู้ชายที่แทบไม่ได้อยู่ในสเป็คของฉันเลยเนี่ย
ช่างเถอะเนอะ!
“ไอ้เค้กมันติดงาน” เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉัน วินาทีนั้นใจฉันไหววูบ “ถ้ารอเลิกงานคงต้องเที่ยงคืน เธออยู่ดึกได้มั้ยชูใจ”
ฉันทำหน้ามุ่ยออกมาทันที
“พรุ่งนี้ไม่มีเรียน อยู่ได้อยู่แล้ว” โหนมองฉันอย่างอึ้งๆ ตอนที่ฉันใส่อารมณ์ ก่อนที่เขาจะหลุดขำ
“อะไรเนี่ย โกรธไรอีก” เขาเอามือที่กำหมัดหลวมๆ มาชนไหล่ฉันเบาๆ “ก็ไอ้เค้กมันไม่ว่างจริงๆ อีกอย่างจะไปบอกว่าจะคุยเรื่องเธอมันคงไม่มา”
“อ้างล่ะสิ” ฉันบุ้ยหน้า เมินหน้าหนี “จริงๆ แล้วก็หาเรื่องถ่วงเวลา คนไม่จริงใจก็งี้แหละ”
ไม่รู้สิ พอคุยไปเรื่อยๆ ก็กล้าเถียงเขามากกว่าเดิม ตอนเป็นเพื่อนกันยังไม่กล้างอนขนาดนี้เลย
“เธอนี่” ฉันหันกลับไปมองเขา เห็นว่าร่างสูงเอามือมาปิดปากตัวเอง ส่วนใบหูก็แดงก่ำ “ตอนหึงเพิ่งเคยเห็น”
“...!”
“น่ารักดีว่ะ”
หลังจากที่โหนชมฉันว่าน่ารัก ฉันก็ไม่พูดอะไรเพราะเขิน เขาบอกว่าเพื่อนนัดกินเหล้าตอนที่ขึ้นมาส่งฉันบนห้อง โหนยืนกระดิกขาไปมาเหมือนคนเป็นกังวลตอนที่ฉันทำหน้านิ่งตอนที่เขาบอกว่า
“พอเที่ยงคืนเดี๋ยวจะมารับที่ห้อง”
“อือ”
“เป็นไรปะ” เขาเลิกคิ้วถามพอเห็นว่าฉันตีหน้านิ่งแล้วตอบแค่คำว่าอือสั้นๆ หากแต่ฉันก็เชิดหน้าหนี
“เปล่านี่” แต่ที่จริงเป็นมาก! ฉันไม่ไว้ใจโหน กินเหล้าอีกแล้วเหรอ เท่าที่ฉันจำได้ ตลอดเวลาที่คบกับเขาโหนจะมีสังสรรค์กับเพื่อนของเขาทุกวัน ตอนนั้นฉันเห็นเขาเป็นแค่เพื่อนก็เลยไม่สนใจ แต่ตอนนี้ชักสนใจขึ้นมาแล้ว “รู้มั้ยว่าเหล้าทำให้ตับพังได้”
“นานๆ ที” เขาพูดแล้วเกาท้ายทอย ฉันบู้หน้าทันที นานๆ ทีกะผีอ่ะสิ! “ทำไม? หรือจะให้รออยู่ด้วยในห้อง”
“...”
“แต่มันจะทำให้เธอดูไม่ดีรึเปล่า”
“ไม่ต้องเลย” ฉันสั่นหน้า อันนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้วสิ แถมก็ไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์สองต่อสองกับโหนด้วย ถ้าโดนเขาจูบอีกที ฉันคงไม่กล้าสู้หน้าโหนอีกเลยแน่ๆ “เราจะไปด้วย ยังไงพวกพันก็เป็นเพื่อนโหนที่เรารู้จัก”
โหนตีหน้านิ่งบ้าง
“ไปทำไม”
“อ้าว ก็ต้องไปควบคุมการดื่มของโหนใช่มั้ยอ่ะ” ฉันพูดอย่างมั่นใจ “อีกอย่าง เราจะได้ดูด้วยว่าโหนไปเกเรที่ไหนต่อรึเปล่า เมาจนนอนข้างถังขยะรึเปล่า”
เขาที่ทำหน้านิ่งเปลี่ยนสีหน้าทันทีที่ฉันให้เหตุผล
“ตามไปคุมว่างั้น?” เขาเลิกคิ้วถาม ฉันชะงักไป ก่อนที่จะสั่นหน้า เพราะไม่อยากยอมรับว่านี่คือการคุมแฟนตัวเอง (เต็มปากเต็มคำเลยเรา)
ยังไงก็ตาม ตอนนี้เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันนะ จนกว่าโหนจะไปบอกเค้กว่าไม่ได้ชอบเธอ ฉันถึงจะยอมรับ
“ต้องเรียกว่า จับตาดูความประพฤติของโหน” ฉันพยายามเปลี่ยนเรื่อง “ถ้าสมมุติว่าโหนเกเรขึ้นมา หรือกินเกินลิมิต เราจะได้ดูแลได้”
เขากระตุกยิ้มออกมาทันที
“จริงด้วยว่ะ” เขาโพล่งขึ้นมา “เราเพิ่งนึกได้พอดีว่าเราคออ่อน”
“...”
“งั้นชูใจก็ไปกินเป็นเพื่อนเรา โอเคปะ?”
[พาร์ท : โหน]ผมนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์นิ่งงันShoujai Chutimon : โหนShoujai Chutimon : ว่างอยู่มั้ย เรามีอะไรจะปรึกษาหน่อยข้อความที่ไม่ได้อ่านของชูใจโผล่ขึ้นบนหน้าจอ ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ความพยายามที่จะลืมเธอพังลงก็วันนี้ไม่คิดว่าเธอจะทักมา ทำเหมือนเราเป็นเพื่อนกันอย่างสนิทใจขนาดนั้นเธอคงไม่รู้ ว่ามันลืมยากขนาดไหน กับการที่ต้องพยายามใช้ชีวิตโดยไม่มีเธอโดยที่ต้องเตือนตัวเองทุกวันว่ากูคือเพื่อน กูต้องเป็นเพื่อนแต่ก็คงเป็นเรื่องสำคัญมั้ง ถึงได้ทักมาได้ข่าวว่าไอ้ลูกโชนแทบไม่ยอมให้เธอออกห่างจากตัวเลยระหว่างสองอาทิตย์ที่ผ่านมา สองคนนั้นดูชัดเจนกันมากผมเคารพการตัดสินใจของเธอนะชื่อ โหน : รอเดี๋ยวนะชื่อ โหน : เราอยู่กับแฟนแต่ผมก็คงต้องเริ่มต้นใหม่เหมือนกันผมไม่ได้โกหก แค่พูดไม่หมดทุกอย่าง ว่าแฟนที่ว่าตอนนี้ก็แค่คุยๆ กัน ยังไม่ได้ตกลงคบกันจริงจัง เพราะผมยังตัดใจไม่ได้ชูใจชัดเจนขนาดนั้นแล้วว่ะ จะให้ผมเข้าไปแทรกกลางในฐานะอะไร ลูกก็ไม่มีแล้ว ไม่มีอะไรที่จะผูกมัดเราให้อยู่ด้วยกันอีก เข้าใจใช่ปะว่าแม่งไม่มีทางแล้วผมไม่ได้ไม่พยายาม แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันตัดกำลังกูไปหมดแล้ว
ผมเมามาย ขับมอเตอร์ไซค์กลับไปที่ห้อง นอนกดแชทเฟสดูข้อความเก่าๆ ของผมกับชูใจที่คุยกันผมนึกยิ้มตอนที่นึกไปถึงสมัยที่คบกับเธอแต่เป็นได้แค่เพื่อนสนิท ไม่สามารถเป็นไรที่มากกว่านั้น อาจเพราะใจผมไม่กล้าพอ หรือไม่เธอแม่งก็ซื่อบื้อเกินไปแต่ก็นึกเสียใจว่ะ ที่วันนี้มันไม่มีวันนั้นอีกแล้วเป็นเพื่อนก็คงดีกว่า เพราะว่าเพื่อนไม่มีวันเลิกกันติ๊งเสียงแจ้งเตือนเฟสทำให้ผมชะงักที่จะเลื่อนดูแชทของเรา พอเปิดเข้าไปดูก็เห็นว่าเป็นแจ้งเตือนเฟสของชูใจที่ผมตั้งติดตามเธอไว้เวลาเธออัพอะไร มันขึ้นเหมือนว่าเธอจะลงรูปใหม่ใจผมเต้น ตอนที่กดเข้าไปดูมันใช่รูปเธอกับไอ้ลูกโชน เป็นภาพที่เธอเซลฟี่คู่กับมัน ในฐานะแฟนผมมองภาพนั้น ใจแม่งชายิบ ฉีกยิ้มออกมาตอนที่กดพิมพ์ข้อความส่งไปในแชทของเธอสั้นๆชื่อ โหน : ยินดีด้วยนะชูใจกดอ่านทันที ผมเผลอคิดว่าเธอจะรอผมอยู่ แต่ก็ใจแฟบลงเมื่อเธอพิมพ์ตอบกลับมาShoujai Chutimon : ขอบคุณนะShoujai Chutimon : โหนเอง ก็เป็นเพื่อนที่ดีเหมือนกันจงใจใช่มั้ยวะจงใจพิมพ์คำว่าเพื่อนให้ผมรู้สถานะตัวเองในตอนนี้ใช่ปะผมรู้อยู่แล้วชื่อ โหน : ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะชูใจชื่อ โหน : เรายังเป็นเพื่อนเ
พี่ลูกโชนมาส่งฉันที่หอพักอย่างเคย เหมือนทุกๆ วันที่เขามาส่งฉันแต่ก็แปลกนะ... ที่ฉันไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลยหัวใจเล็กๆ ที่เติบโตอยู่ในท้อง มันถูกตีตราว่าเป็นลูกของเขาคนนั้น เป็นลูกของคนที่เลือกจะปล่อยฉันไปแค่เพราะว่าพ่อแม่ฉันไม่ยอมรับเขา“เลิกคบกับมันแล้วเหรอ น้องชูใจ” ฉันชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงของพี่ลูกโชนที่กำลังขับรถอยู่ตรงหน้า ผู้ชายที่มีความมั่นคง มีรถ บ้านมีฐานะ เรียนวิศวะ ผู้ชายแบบนี้สินะที่พ่อแม่ฉันต้องการ“หมายถึงใครคะ?”“ไอ้ขี้ก้างนั่น” เขาเรียกโหนแบบไม่มีความเกรงใจ ฉันคลี่ยิ้มบางออกมา“ไม่ได้คบหรอกค่ะ ทำไมเหรอ?”“พี่แค่อยากรู้ว่าหนูคิดยังไง ที่พ่อแม่หนูให้หนูหมั้นกับพี่” พี่ลูกโชนหันมาถามอย่างต้องการคำตอบ ฉันนิ่งไปฉันในตอนนี้ต้องรู้สึกอะไรเหรอ?ก็เป็นแค่ตุ๊กตาล้มลุกที่พ่อแม่จับให้เดินไปทางไหนก็ได้ แม้กระทั่งเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองฉันยังทำอะไรไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับการที่ฉันจะต้องแสดงความคิดเห็นกับเขาว่าฉันชอบหรือไม่ฉันยังคงยิ้มอยู่ แต่หัวใจแตกสลาย“ชูใจคงรู้สึกอะไรไม่ได้ นอกจากยินดีค่ะ” ฉันเลือกที่จะตอบอย่างเป็นกลางที่สุด แม้มันจะดูให้ความหวังคนตรงหน้าก็ตาม “พ่อแม่เลื
ผมเดินเข้าไปที่หลังตึกวิทยาลัยช่างที่เป็นอริกัน เห็นไอ้พันนั่งดูดบุหรี่อยู่กับเพื่อนวิทยาลัยนี้อยู่ไม่ไกลมือผมกำหมัดแน่น สูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้รู้ตัวว่าผมกำลังทำอะไรไอ้พันมันสังเกตเห็นผมก่อนตอนที่ผมเหยียบใบไม้แห้งเสียงดัง มันที่นั่งยองๆ อยู่ลุกขึ้นยืนแล้วล้วงกระเป๋าสบตาผม ในขณะที่ผมเองก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ามัน“มึงมาที่นี่ทำไมวะ” มันถามผมขึ้นมา ใจผมนึกถึงชูใจแล้วก็คลายหมัดออก สบตากับมันอย่างเงียบงัน “เราไม่ใช่เพื่อนกันแล้ว มึงคงไม่มีธุระอะไรกับกู”“...”“อีกอย่าง ช่วงนี้กูก็ไม่ได้ไปยุ่งกับเมียมึงแล้ว...”“แล้วถ้ากูอยากให้มึงกลับมายุ่งกับชูใจอีก มึงจะว่าไง?” ผมแทรกมันขึ้นมา ไอ้พันชะงักไป มันมีสีหน้าไม่เชื่อ“พูดบ้าอะไร”“กูยุ่งกับชูใจไม่ได้แล้วตอนนี้” ผมจ้องตามัน ก่อนที่จะแค่นยิ้ม “กูทำชูใจท้อง แล้วพ่อแม่ชูใจไม่คิดยอมรับกู”“...!”“ถ้าเป็นมึง เขาอาจจะยอมรับ อีกอย่างชูใจก็เคยชอบมึง”ไอ้พันเบิกตากว้างเมื่อผมสารภาพออกมาว่าผมทำชูใจท้อง มันเซไปนิดหน่อย แต่เพื่อนมันคว้าแขนไว้ ผมเข้าใจดี เอาจริงๆ มันก็รักชูใจไม่ต่างกับผม ผมมันก็แค่ไอ้ขี้ขลาด ถ้าไม่ใช่ผม มันคงเป็นใครก็ได้“ชูใจท้อง...?” มั
“เค้าไม่พร้อมจะมีลูก ไม่พร้อมเหี้ยไรทั้งนั้น”“...”“เค้าไม่มีอนาคตว่ะเธอ เค้าเรียนยังไม่จบ เค้าไม่มีงานเป็นหลักเป็นแหล่ง” ผมร้องไห้ออกมา สุดท้ายก็อ่อนแอต่อหน้าเธอ ผมรู้ว่าร้อยทั้งร้อย ผู้ชายอายุยี่สิบต้นๆ มาเจอเรื่องแบบนี้คงตันไปหมดทุกทางเหมือนผมผมไม่พร้อมเลยจริงๆ ว่ะ“...”“ให้เวลาเค้าหน่อยนะชูใจ” ผมพูดคำนั้นออกมา เพราะผมไม่รู้ว่าผมจะทำหน้าที่พ่อที่ดีได้มั้ย ในเมื่อทุกวันนี้ผมยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่เคยคิดถึงเรื่องอนาคต ลำพังที่ขยันเรียน เพราะหลงรักเธอแค่นั้น “ให้เวลาเค้าสักสองเดือน”“...”“เค้าขอเวลาแค่สองเดือน” ชูใจมองผมทั้งน้ำตา เธอเองคงเจ็บช้ำกับคำพูดผมมากพอ ลำพังแค่ทำตัวแบบนี้ก็ทำลายความเชื่อใจลงไปมากแล้วกับแฟนที่กำลังตั้งท้องอยู่ แถมยังให้เธอรอผมอีกรอแม่งตั้งสองเดือน เป็นใครก็ไม่รอหรอกว่ะ“... งั้นโหนก็ไปตามทางของโหนเถอะ” ชูใจโพล่งขึ้นมาอย่างหนักแน่น เหมือนเธอรู้แล้วว่าคนอย่างผมมันไม่มีอะไรดีจริงๆ“...”“เค้าพร้อมจะลาออกเมื่อท้องโต และเค้าจะเลี้ยงลูกเอง”ผมกลับมาที่ห้อง หลังจากเมามายไม่ได้สติผมทรงตัวไม่อยู่ ร้องไห้ตลอดเวลาเลยว่ะ ผมได้แต่โทษตัวเอง ว่าเป็นเพราะผม ชูใจถึงได้ท
[ชูใจมีน้องแล้วนะคะ!]หัวใจผมแทบหยุดเต้นซะเดี๋ยวนั้น ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มือถือที่กำไว้แทบหลุดจากมือหลังจากที่เพื่อนของชูใจโทรมาบอกว่าเธอท้อง ผู้หญิงคนนั้นบอกทางไปคลีนิคเสร็จสรรพก่อนจะวางสายไปเพราะต้องเข้าไปดูอาการชูใจ ผมก็ขับไปอย่างไร้จุดหมาย เรื่องที่ผมกลัวที่สุดแม่งเกิดขึ้นแล้ว ชูใจท้องแล้ว แล้วผมจะทำไงต่อไปดีวะ?ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะมีลูกมาก่อน เท่าที่คิดได้คือ... ต้องไปหาเธอต้องไปดูให้เห็นกับตาว่าเธอท้องจริงๆ!ผมเร่งความเร็วมากขึ้นกว่าเดิม แต่เพราะความเหม่อลอยของผม มารู้สึกตัวอีกทีรถมอเตอร์ไซค์ของผมก็พุ่งเข้าชนเสาอย่างแรงเปรี้ยง!!เฮือกสุดท้ายผมคิดถึงชูใจ ก่อนที่จะคิดถึงลูกลูกของผม[จบพาร์ท : โหน]ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาในความเงียบ พอรู้สึกตัวก็เห็นว่ามีมินตันนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเป็นห่วง เธอกุมมือฉันไว้ ในขณะที่ฉันเองก็รู้สึกอ่อนแรง“มินตัน...” ฉันเรียกชื่อเพื่อนออกมา ก่อนที่จะลูบหน้าท้องของตัวเองอย่างลืมตัว“ตื่นแล้วเหรอ” เธอสบตาฉัน ในความรู้สึกนั้นเหมือนเธอจะตำหนิกลายๆ ด้วยสายตา “ถ้ารู้ว่าไม่ไหวก็อย่าฝืนมาเรียนสิ”ฉันเม้มริมฝีปากแน่น ไม่อยากยอมรับว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ