LOGINนางรีบปฏิเสธพลางเหลือบมองหยู่ถิง กลัวว่าตนจะถูกตำหนิที่ทำท่าทางอิดออดไม่อยากรับใช้ พอเห็นว่าหยู่ถิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดก็รีบเอาเนื้อไปเก็บก่อน แล้วเดินย้อนกลับมาเอาผลไม้ภายหลัง ของที่ซื้อวันนี้เมิ่งฉีหิ้วเดินไปเดินมาจนเมื่อย ไม่ใช่แค่เนื้อกับผลไม้ แต่ถิงถิงมองเห็นสิ่งใดก็อยากได้อยากมีไปหมด ส่วนมารดาก็ใจดีไม่ขัดใจ เมิ่งฉีเที่ยวเดินขนของอยู่หลายรอบจนรองเท้าแทบสึก
“ท่านแม่ อีกไม่กี่วันจะเป็นเทศกาลปล่อยโคมลอย ข้ากับลู่ชิงอยากได้โคมลอย”
“โคมลอย" หยู่ถิงทำสีหน้าครุ่นคิดแต่ก็ยอมใจอ่อนให้ "เช่นนั้นตอนจุดโคมลอยก็ระวังๆ กันด้วยนะ"
ถิงถิงได้โคมลอยมาสมใจแล้วก็ไม่คิดอยากได้อะไรอีก ทั้งสามจึงเดินกลับมาที่รถม้า พอกลับมาถึงก็เห็นเมิ่งฉีนั่งปาดเหงื่ออย่างเหนื่อยล้า เห็นสภาพอิดโรยของสาวใช้แก่แล้วก็นึกขัน
หลังจากกลับมาถึงจวนแล้วหยู่ถิงเข้าครัวไปปรุงอาหารด้วยตนเอง ที่ต้องลงมือทำด้วยตนเองก็เพราะอยากระวังเรื่องการปรุงอาหารเป็นพิเศษ นางกลัวว่าแม่ครัวจะทำพลาดจนทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับแขกที่มาเยือน
ในตอนที่ซื้อของอยู่ร้านขายของแห้ง เมิ่งฉีได้ยินว่าแขกที่มาเยือนแพ้ฮ่วยซัว พอขนของที่ซื้อมาเข้าไปเก็บในห้องครัวเรียบร้อยแล้ว นางเดินลัดเลาะไปที่เรือนตะวันออกเพื่อคาบข่าวเรื่องที่แขกแพ้ฮ่วยซัวไปรายงานเหมยหลิน หลังจากนั้นก็ได้เงินเป็นค่าตอบแทนกลับมาหนึ่งตำลึง
ถิงถิงมองดูแผ่นหลังของสาวใช้แก่ที่เพิ่งเดินออกมาจากเรือนหลัก ในชาตินี้ก็คงจะเหมือนกับชาติที่แล้ว ดีที่เฉลียวใจให้แม่ครัวตักน้ำแกงที่เหมยหลินทำแยกไว้อีกถ้วยต่างหาก แล้วสั่งสาวใช้ให้นำน้ำแกงถ้วยนั้นสลับขึ้นโต๊ะแทน พอถึงเวลาอาหารค่ำก็จะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง
“คุณหนูมายืนทำอะไรตรงนี้”
ลู่ชิงเดินถือโคมลอยมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังแล้วเอ่ยถาม ถิงถิงสะดุ้งตกใจเล็กน้อยเพราะลู่ชิงเดินเข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง
“เราไปเล่นโคมลอยกันเถิดเจ้าค่ะ ให้พ่อบ้านเป็นคนจุดไฟให้"
“โคมลอยนี้ไม่ใช่ของพวกเราหรอก มันมีเจ้าของแล้ว"
“เอ๋ โคมลอยนี้มีเจ้าของแล้ว”
“ใช่”
รอยยิ้มที่มุมปากของถิงถิงปรากฏขึ้น นางรับโคมลอยมาจากมือของลู่ชิง พูดเสียงดังฉะฉาน
“ใกล้เทศกาลลอยโคมไฟแล้ว โคมลอยที่ซื้อมาจากตลาดอันนี้น่ารักมากจริงๆ”
ซืออิ่งที่กำลังนั่งเล่นอยู่คนเดียวได้ยินเข้าก็หันมามองตามเสียง เห็นว่าถิงถิงถือโคมลอยอยู่ในมือก็รีบวิ่งเข้ามาหา
“ข้าก็อยากเล่นโคมลอย”
“แต่โคมลอยนี้เป็นของอาลู่กับคุณหนู” ลู่ชิงค้าน
“เอามานี่ เอามาให้ข้า”
ซืออิ่งไม่ฟังที่ลู่ชิงพูด เข้ามาแย่งโคมลอยจากมือของถิงถิงไปทันที พอได้ไปแล้วก็ทำหน้าเยาะเย้ยพี่สาว
“คุณหนูนางแย่งของพวกเราไปอีกแล้ว”
“นางช่างชอบแย่งชิงเสียจริง อยากได้นักก็ให้นางไป”
ก็แค่เด็กน้อย จะมาอ่านความคิดข้าทันได้อย่างไร
พอเห็นอีกฝ่ายไม่มาแย่งคืนซืออิ่งก็เบะปากแล้วเอาโคมลอยเดินจากไป ลู่ชิงไม่พอใจถึงขีดสุด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะว่าตนเองเป็นเพียงบ่าวที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ด้วยเหตุการณ์นี้จึงทำให้นางรู้สึกน้อยใจถิงถิงจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่
“ดูท่าคุณหนูจะรักน้องสาวมาก นางอยากได้อะไรคุณหนูก็ยอมให้หมด อาลู่น้อยใจแล้ว”
“รักมากงั้นหรือ หึ...โคมลอยจะลอยไปตกที่ใดใครจะไปรู้”
ถึงโคมลอยไม่ไปตกบนหลังคาห้องเก็บสมบัติ วันนี้ถิงถิงก็ตั้งใจจะจุดไฟเผาที่นั่นอยู่ดี ที่ยินยอมให้โคมลอยแก่ซืออิ่งไปง่ายๆ เพียงเพราะอยากหาคนรับผิด ถ้าโคมลอยนี้ตนกับลู่ชิงเป็นคนปล่อยมีหวังได้ถูกลงโทษแน่ๆ การยืมมือซืออิ่งทำเรื่องวุ่นวายเป็นวิธีที่ดี ให้ความผิดนี้ไปตกอยู่ที่สองแม่ลูกนั่นก็แล้วกัน
ขณะนี้ผู้ใหญ่กำลังนั่งหารือการค้าอยู่ที่โต๊ะอาหาร คงไม่มีใครมาสนใจหรอกว่าเกิดไฟไหม้ขึ้นได้อย่างไร แต่อย่างน้อยๆ บ่าวในเรือนก็จะได้เห็นว่าคนที่เล่นโคมลอยในคืนนี้คือซืออิ่ง
หลังจากทานมื้อค่ำผ่านไปแล้วครึ่งก้านธูป แขกที่มาเยือนก็ยังไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เหมยหลินงุนงงเป็นอย่างมาก รอลุ้นอยู่นานภรรยาผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นก็ยังอาการปกติดี แถมยังเอ่ยปากชมอีกต่างหากว่ารสมือของหยู่ถิงอร่อยมาก ขณะที่การเจรจาค้าขายจบสิ้นลง เสียงร้องโวยวายของบ่าวก็ดังขึ้น
“ไฟไหม้! ไฟไหม้! รีบช่วยกันดับไฟเร็วเข้า”
ณ ตรอกฉงกุ่ยสถานที่ดวงตะวันไม่เคยส่องถึง ต่างทราบกันดีว่าที่แห่งนี้มีขอทานและคนจรจัดอาศัยอยู่มากที่สุด ท่ามกลางความสลัวรางมองเห็นเงาร่างผอมโซหลายชีวิต ผู้คนทรมานจากความหนาวเหน็บไร้ผ้าห่ม บ้างเจ็บไข้ บ้างนอนขดตัวอยู่ข้างพื้นถนนเย็นเฉียบ ส่งเสียงไอกระเสาะกระแสะให้ได้ยินเป็นระยะเป็นเวลาห้าเดือนเต็มที่เจียเฉิงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ไม่มีผู้ใดรู้จักเขา เขาก็ไม่ปริปากพูดคุยกับใครสักคำ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในมุมมืดมีชีวิตอยู่อย่างสิ้นหวัง รอให้แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า เพราะความไม่สุงสิงกับใครจนบางคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นใบ้หูหนวก ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้นรอเพียงแค่คนใจดีเอามาบริจาคกินไปพอประทังชีวิต อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง สำหรับเจียเฉิงไม่ได้สนใจเรื่องปากท้องแล้ว อยู่ก็ได้ตายไปก็ไม่เป็นไร“มีคนเอาอาหารมาแจกแล้ว มีคนเอาอาหารมาแจก รีบไปรับเร็วเข้า!”ขอทานน้อยตะโกนดังไปทั่วตรอก โดยปกติเจียเฉิงไม่ได้ออกไปรับอาหารเอง เพราะได้เจ้าขอทานน้อยผู้นั้นที่เป็นคนเอามาโยนให้ถึงที่ เนื่องด้วยทุกคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นใบหูหนวก จึงแสดงน้ำใจรับอาหารมาเผื่อแผ่จากตรงที่เจียเฉิงนั่งอยู่สามารถม
ห้าเดือนต่อมาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าในระยะเวลาเพียงแค่ห้าเดือนเจี้ยนกั๋วก็เบื่อซืออิ่งเสียแล้ว พอสิ้นวาสนาแม้แต่เสือก็ยังถูกสุนัขรังแก แรกๆ ในตอนที่ซืออิ่งแต่งเข้าจวนได้รับการปกป้องอยู่บ้าง แต่บัดนี้เจี้ยนกั๋วพาสตรีใหม่เข้าจวนเพิ่มอีกหนึ่งคน ความโปรดปรานที่มีต่อซืออิ่งจึงลดน้อยถอยลง จากที่เคยดีด้วยอย่างถึงที่สุดก็แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือยามนี้เจี้ยนกั๋วปล่อยปละละเลยไม่ปกป้อง เนื่องด้วยความหัวแข็งไม่ยอมคนจึงทำให้นางใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก บางวันถูกอนุของเจี้ยนกั๋วกลั่นแกล้งให้เจ็บตัว บางวันก็ถูกหาเรื่องใส่ความยัดเยียดความผิดให้ มิหนำซ้ำยังถูกกรอกยาทำให้แท้งลูกไปแล้วครั้งหนึ่ง หมอบอกว่าภายในเสียหายจนไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก เพียงแค่คิดว่าจะต้องอยู่ในจวนที่มีสภาพไม่ต่างจากคุกไปตลอดชีวิต ซืออิ่งก็ร่ำร้องอยากตายวันละหลายร้อยรอบหดหู่ สิ้นหวัง ทุกข์ระทมทรมาน นั่นคือทุกความรู้สึกที่ซืออิ่งกำลังเผชิญอยู่ฝ่ายเจียเฉิงที่ได้สัมปทานรังนกมาครอบครองแต่กลับมารู้ภายหลังว่าตนได้ครอบครองแค่ในนาม เพราะเจี้ยนกั๋วตลบหลังโกงทุกอย่างไปหมด อย่างที่ถิงถิงเคยบอกไว้ เจี้ยนกั๋วเป็นพวกเจ้าเล่ห์มากแผนการ
คุยกลับลู่ชิงเสร็จแล้วก็เดินกลับเข้ามาในห้อง หานอี้ควนนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ถิงถิงนึกว่าเขานอนต่ออย่างเช่นนางบอก จึงเดินเข้าไปกระชับผ้าห่มให้แนบแน่นขึ้น แล้วหมุนตัวคว้าเสื้อคลุมมาสวม จากนั้นเดินไปหยุดอยู่หน้าคันฉ่องมองเงาสะท้อนของตนเองแย้มยิ้มบางๆวันนี้เป็นวันแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในสถานที่ใหม่ นอกหน้าต่างท้องฟ้าสว่างสดใสไร้เมฆบดบัง เพียงครู่เดียวแสงแดดอ่อนๆ ก็ชโลมไล้พื้นดิน ถิงถิงยังคงทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างนิ่งงัน เสียงขยับตัวเบาๆ ของผู้ที่นอนอยู่บนเตียงทำให้ต้องละสายตาจากทิวทัศน์งดงาม มองกลับมาเห็นหานอี้ควนนั่งหน้าตึงอยู่“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”เขาลุกเดินไปแต่งกายให้เรียบร้อย นางจึงรีบเข้ามาช่วยปรนนิบัติตามหน้าที่ภรรยาพึงกระทำ เช้านี้ไม่รู้ว่าหานอี้ควนจะออกไปที่ใดหรือไม่ แต่ดูจากลักษณะอาภรณ์ที่เขาหยิบมาสวมใส่อย่างไม่เป็นทางการก็น่าจะอยู่ติดจวนไม่ออกไปไหน“ตกลงเลือกเรือนให้ข้าได้หรือยังเจ้าคะ”“ถ้าข้าไม่ทำอย่างที่เจ้าเสนอมาล่ะ”“ข้าคิดว่าความต้องการของท่านพี่คือต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือเจ้าคะ”“ความต้องการของเจ้าก็ต่างคนต่างอยู่อย่างนั้นหรือ”“ได้ทั้งนั้น”ค
“ถิงถิง”“เจ้าคะ”“แต่งงานกันแล้วก็ทำหน้าที่ภรรยา เจ้าจะทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างไร” น้ำเสียงของเขาคล้ายว่ากำลังขุ่นเคืองอยู่ นางเอียงคอมองใบหน้าครึ่งเสี้ยวนั้น นิ่งและเยือกเย็นจนต้องหันกลับมาดังเดิม มองนานเกินไปคงไม่ดี เพราะเดี๋ยวจะถูกความหล่อเหลาล่อลวงเอาได้ หากคืนนี้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นก็อย่ามาโทษที่ถิงถิงไม่ยับยั้งชั่งใจเป็นอันขาด“หน้าที่ภรรยาหรือเจ้าค่ะ ใช่ๆ ประมุขน้อยพูดถูก อย่าตำหนิที่ข้าไม่รู้ความเอาไว้วันหน้าข้าจะค่อยๆ ปรับปรุงตัว”“ท่านพี่”“อะ…อะไรนะ”“เรียกท่านพี่”ตัวนางออกจะแข็งกระด้างเช่นนี้ จะให้พูดจาอ่อนหวานเรียกขานเขาท่านพี่ก็ยังรู้สึกอายๆ จึงพูดย้ำประโยคเดิมให้ฟังอีกรอบ“เอาไว้วันหน้าข้าจะค่อยๆ ปรับปรุง เรื่องหน้าที่ภรรยาข้ารู้ตัวดีว่าต้องทำเช่นไร”พูดจบก็รีบเปลี่ยนท่านอนพลิกตัวหันหลังให้ ปิดเปลือกตาลงฝืนข่มใจให้หลับ“ไม่ เจ้าไม่รู้ตัว นี่แหละเรียกว่าไม่รู้ตัว"“แล้วเหตุใดประมุขน้อยต้องมาหาเรื่องตำหนิ ทั้งที่ข้าก็ทำตามที่ท่านเคยพูดไว้ทุกอย่าง ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่”หานอี้ควนแทบอยากทุบกำปั้นระบายอารมณ์กับกำแพง นางพูดถูกหมด เพราะทำตามคำพูดของเขาทุกอย่างก็เลยเว้นระ
เพราะตั้งใจหลีกเลี่ยงชุดเจ้าสาวสีแดงซึ่งเป็นการตีตัวเสมอภรรยาเอก ข้อนี้ซืออิ่งรับรู้และเข้าใจดีว่านั่นอาจแสดงถึงการไม่ให้เกียรติผู้ที่อยู่ก่อน ด้วยเหตุนี้เหมยหลินจึงให้นางสวมชุดเจ้าสาวสีชมพูอ่อน หากวันนี้สวมอาภรณ์สีแดงเข้าไปอนาคตจะต้องอยู่ในจวนเจี้ยนกั๋วอย่างยากลำบาก บรรดาอนุทั้งหลายต้องเขม่นไม่ชอบขี้หน้านางตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้า“จับนางเปลี่ยนชุด”“อย่านะ! ไม่! ข้าไม่ต้องการ อย่า! พวกเจ้าเป็นใครเหตุใดทำกับข้าเช่นนี้ คอยดูข้าจะฟ้องท่านพ่อ ท่านพ่อของข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้าทุกคน”กรี้ดดดดดดดปลายยามซวีจบจากพิธีการที่ยุ่งยากมาทั้งวัน ถิงถิงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมในห้องหอ นางกำลังรอให้เจ้าบ่าวมาเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวให้ตามธรรมเนียม สักพักเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกันนั้นเบื้องหน้าก็สว่างวาบเพราะผ้าคลุมถูกเปิดออก“เจ้าคงหิวเพราะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน” เขาถามพลางอมยิ้มน้อยๆ“ข้าซ่อนขนมโก๋ไว้ในแขนเสื้อแอบกินไปบ้างแล้ว ประมุขน้อยไม่ต้องห่วง”“เป็นเช่นนั้นหรือ”“เจ้าค่ะ ห่วงแต่ประมุขน้อยคงดื่มมามาก เอ่อ…หน้าท่านแดง”เขาดื่มมามากจริง พวกที่ยกจอกสุราให้ก็ยุให้ดื่มไม่หยุด แล้วตอนนี้หานอ
ท่านตาชอบเล่นใหญ่อยู่เสมอ ถิงถิงถอนหายใจเหนื่อยๆ เห็นว่าเจ้านายไม่ถามอะไรต่อลู่ชิงจึงพูดอีก“คนที่เร่งรัดหาใช่ใต้เท้าหานไม่ เป็นประมุขน้อยต่างหาก”ถิงถิงชะงักค้างครู่หนึ่ง หัวคิ้วจดกันแทบเป็นเส้นตรง“ประมุขน้อยคงต้องการเป็นผู้สืบทอดหอคุณธรรมไวๆ”“ไม่คิดว่าประมุขน้อยอาจจะชอบคุณหนูก็เลยเร่งรัดงานแต่งบ้างหรือเจ้าคะ”เขาเคยบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าจำเป็นต้องแต่งเพื่อเข้ารับเป็นผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ถิงถิงก็เลยเตือนใจตนเองอยู่เสมอไม่กล้าคิดไกลไปถึงขั้นนั้น ส่วนตัวเขาเองก็ไม่เคยบอกความในใจให้ได้ยิน แล้วอย่างนี้จะให้นางคิดทึกทักเอาเองคนเดียวได้อย่างไรว่ามีใจให้ ดีไม่ดีอาจถูกมองเป็นตัวตลกและถูกหัวเราะเอา“ไม่คิด”“วันนั้นที่คุณหนูถูกนายท่านเจียเฉิงลักพาตัวไปประมุขน้อยเป็นห่วงคุณหนูมากเลยนะเจ้าคะ ดูก็รู้ว่าประมุขน้อยชอบคุณหนู ใครๆ ก็รู้มีแต่คุณหนูที่ไม่รู้”“พอแล้วเจ้าเลิกเหลวไหล”ลู่ชิงหุบปากลงฉับแล้วอมลมไว้จนแก้มป่อง นึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากเช่นกันต้องรายงาน“ข้ายังมีอีกเรื่องเป็นเรื่องของตระกูลว่าน มีข่าวแว่วมาว่าคุณหนูซืออิ่งจะถูกส่งตัวไปจวนเกี้ยนกั๋วในอีกสามวัน ดังนั้นคุณหน







