เข้าสู่ระบบความริษยาผสมปนเปกับความเจ็บใจ กลายเป็นเชื้อเพลิงร้อนแรงที่เผาผลาญอยู่ในอกและกลายเป็นความอยากได้
และอะไรที่เธออยากได้ เธอต้องได้!!!
เธอปล่อยให้มันเสวยสุขมาพอแล้ว ตอนนี้เป็นทีของเธอบ้าง
เมื่อเวลาผ่านมาจนวิศรุตเข้าสู่วัยทำงาน เขากลายเป็นคนที่น่าจับตามองเข้าไปใหญ่เขาเป็นหนุ่มไฟแรงอนาคตไกล ยิ่งทำให้ศศิจันทร์รักใคร่หลงใหลและในครั้งนี้เธอต้องการวิศรุตเป็นสามีโดยชอบธรรม และไม่สนใจความชอกช้ำของพี่สาวต่างแม่เลยสักนิด
เธอต้องชนะแพรพรรณให้ได้สักครั้ง แน่นอนว่าคนเป็นแม่ย่อมสนับสนุน โดยไม่สนใจว่าจะถูกหรือผิด
“อีกสองวัน บริษัทของเจ้าสัวไพบูลย์จะจัดงานเปิดตัวสินค้าใหม่ และวันนั้นเราจะประกาศให้ทุกคนรู้ว่าลูกกับวิศรุตจะหมั้นกัน”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสตรีสูงวัยทันทีที่พูดจบ สำหรับเธอแล้ว ไม่ว่าอะไรที่ลูกสาวต้องการ เธอก็พร้อมที่จะทำ!
“ดีจังเลยค่ะคุณแม่ ศศิแทบรอไม่ไหวแล้ว!” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข ดวงตาเปล่งประกายเมื่อคิดถึงสิ่งที่จะเป็นจริง
“พี่รุตจะต้องเป็นของศศิคนเดียว!”
ก่อนจะเอ่ยคำสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเจือความอาฆาตอย่างน่าขนลุก
“นังแพร! แกอย่าได้หวังเลยว่าจะได้พี่รุตไปจากฉัน!”
“ใช่แล้วลูก คนอย่างนังแพรไม่สมควรที่จะได้ผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างวิศรุตไปครอง ต้องเป็นลูกของแม่เท่านั้น ทั้งสวยกว่า น่ารักกว่า และเก่งกว่าเป็นไหน ๆ หากยอมรับนังแพรเป็นเมียแล้วละก็คงโง่เง่าเต็มที ทรัพย์สมบัติมันก็ไม่มีติดตัวเป็นแค่นังเด็กที่มีแม่มาจากบ้านนอก แค่นี้มันก็ยังไม่รู้จักเจียมตัว!”
เสียงหัวเราะคิกคักของสองแม่ลูกดังขึ้นในห้องอย่างอารมณ์ดี เมื่อศศิจันทร์ต้องการสิ่งใด มีหรือรังรองจะไม่หามาให้
เพียงแค่เอ่ยปากเท่านั้น เพราะศศิจะต้องไม่อยู่ใต้เงาของใคร ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยเดิมอย่างแน่นอน ไม่เหมือนครั้งที่เธอและสามีในวันวาน ตอนนี้แค่เอ่ยปาก ทุกอย่างก็พร้อมจะกลายเป็นของลูกสาวเธอทันที
เพราะสำหรับรังรองแล้ว ศศิจะต้องไม่อยู่ในเงาของใคร เธอจะไม่ยอมให้ลูกสาวซ้ำรอยเธอเด็ดขาด
ความแค้นและความเจ็บปวดที่ฝังลึกในใจของรังรอง นั้นเจ็บลึกเกินจะเยียวยา เมื่อมีหนทางให้แก้แค้นและเหยียบย่ำมีหรือเธอจะไม่คว้าโอกาสนั้นไว้
วันเสาร์ที่สามของเดือน
บรรยากาศภายในงานแถลงข่าวเปิดตัวสินค้าใหม่จากต่างประเทศของบริษัทวิศรุตเต็มไปด้วยความคึกคัก ผลิตภัณฑ์รุ่นล่าสุดเกิดจากความร่วมมือระหว่างวิศวกรของบริษัทตัวเอง และต่างประเทศ
ภายในงานอัดแน่นไปด้วยแขกผู้มีเกียรติ ทั้งเซเลบริตี้ชื่อดัง นักธุรกิจระดับแนวหน้า รวมถึงบริษัทคู่แข่งคนสำคัญอย่างคุณวิชัยที่ก็มาร่วมงานเช่นกัน
แพรพรรณก็ได้เข้ามาร่วมงานนี้ด้วยในฐานะลูกสาวคนโต แม้รังรองกับศศิจันทร์จะไม่ชอบใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะวิชัยเองก็เป็นคนมีหน้ามีตา หากงานนี้ไม่มีลูกสาวมาครบทั้งสองคนย่อมกลายเป็นเรื่องให้ผู้คนหยิบยกไปวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก
ยิ่งตั้งแต่วันที่คุณวิชัยพา รังรอง และ ศศิจันทร์ ออกมาปรากฏตัวอย่างเปิดเผย หลายคนก็เริ่มตั้งคำถามว่าเหตุใดลูกสาวถึงโตเป็นสาวขนาดนี้ ในขณะที่ภรรยาเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน ข่าวลือเรื่องคุณวิชัยมีบ้านเล็กบ้านน้อย แอบเลี้ยงผู้หญิงอีกคนไว้ กลายเป็นประเด็นร้อนในวงสังคมทันที
แน่นอนว่าเรื่องนี้กลายเป็นหัวข้อซุบซิบนินทาที่ผู้คนหยิบยกมาพูดถึงอยู่พักใหญ่ แต่เรื่องราวก็ถูกจมหายไปเพราะในวงสังคมมักจะมีเรื่องฉาวอื่นเข้ามาทดแทนเสมอ ทำให้ผู้คนในตอนนี้ไม่ค่อยมีพูดเรื่องนี้มากนัก แต่ก็ยังมีซุบซิบกันอยู่บ้าง ตามประสาสังคมที่ชอบเมาส์
คืนนี้ ศศิจันทร์และรังรองต่างแต่งองค์ทรงเครื่องราวกับเป็นเจ้าภาพงานเสียเอง สร้อยเพชรระยิบระยับถูกเลือกมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้สวมใส่เข้ากับชุดราตรีหรูหรา ทั้งสองคนเดินยิ้มหน้าบาน ตั้งใจจะประชันความงามกับเหล่าดาราและแขกเหรื่อผู้มีเกียรติในงาน
แต่ใครจะโดดเด่นเกินกว่าแพรพรรณ ผู้กุมหัวใจของวิศรุตคงไม่มีอีกแล้ว
หญิงสาวมาปรากฏตัวในชุดเดรสยาวสีครีมปาดไหล่ มีเพียงสร้อยเส้นที่มีจี้รูปหัวใจเป็นเครื่องประดับเท่านั้น และสร้อยเส้นนั้นเขาจำได้ดีเพราะว่าเขาเป็นคนซื้อให้เธอเองกับมือ เพียงเท่านี้กลับดูงดงามตรึงตาไม่แพ้ใคร หรือบางทีอาจเป็นเพราะในสายตาของเขา มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น
ทันทีที่เห็นคนรักเดินเข้ามาในงาน เขาอยากเข้าไปแสดงความรักกับเธอเหลือเกิน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคู่แข่งเรื่องการทำงานทั้งหมด แต่เมื่อต่างคนต่างมาร่วมงาน เขาทำได้เพียงยิ้มให้เธอ และทักทายกันเล็กน้อยเท่านั้น
“ไม่นึกว่าคุณจะมาด้วยแพร แต่คุณดูหน้าซีด ๆ นะ ไม่สบายหรือเปล่า” เขาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เสียงของเขานุ่มลงโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้สบตากับเธอ แต่แพรพรรณกลับเพียงส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงจากไปโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคำทักทาย
ท่าทางเมินเฉยของเธอทำให้หัวใจของชายหนุ่มกระตุกวูบ สีหน้าเจื่อนลงก่อนจะเดินกลับมารวมกลุ่มกับครอบครัวเหมือนเดิม
แต่ไม่ทันไรคนที่เขาไม่อยากให้มาที่สุด กลับเดินแทรกเข้ามาท่ามกลางวงสนทนาของครอบครัวเขาอย่างไม่สนใจมารยาท ก่อนจะประกาศเรื่องสำคัญที่ไม่มีใครคาดคิด เสียงเธอดังฟังชัด ราวกับตั้งใจให้ทุกคนในงานได้รับรู้
“อย่างที่ฉันพูดออกไปนั่นแหละ คุณต้องรับผิดชอบศศิจันทร์ลูกสาวฉัน ก็ในเมื่อทุกอย่างในคืนนั้นมีหลักฐานที่แน่ชัด คุณไม่มีสิทธิ์โต้แย้งนะคุณวิศรุต! เรื่องงานแต่งฉันจะเป็นคนจัดการทุกอย่างเอง”
รังรองยืนเชิดหน้าพูดอย่างไม่อายปากคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า
“นี่มันหมายความว่ายังไง เจ้ารุต! แกทำเรื่องแบบนี้ไม่คิดจะปรึกษาครอบครัวเลยหรือไง?!! ชื่อเสียงของอั๊วเสียหายป่นปี้หมดแล้ว!!” เจ้าสัวไพบูลย์กัดฟันถามออกมา เมื่อเห็นท่าทีของภรรยาคู่แข่งทางการค้าเดินเข้ามาประกาศงานหมั้นโต้ง ๆ ทั้งที่ตนเองกับภรรยาไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด
"เรื่องนี้ผมจัดการเองครับป๊า" วิศรุตเองก็เดือดดาลเช่นกัน เขาประเมินความบ้าของผู้หญิงคนนี้ต่ำไป เธอถึงเข้ามาประกาศอย่างหน้าด้าน ๆ แบบนี้ได้
"จัดการปิดข่าวเสียด้วย ถ้าแกไม่คิดจะหมั้นจริง ๆ " พูดจบคนเป็นบิดาก็เดินเลี่ยงออกไปทางอื่น เหลือเพียงคุณหญิงอาภาผู้เป็นมารดาที่มองมาอย่างเห็นใจ
"คุณแม่ตามป๊าไปเถอะ เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ผมจัดการได้"
หญิงสูงวัยพยักหน้าอย่างลังเล แต่เพราะลูกชายของเธอโตแล้ว ไว้เธอค่อยถามเอาทีหลังก็แล้วกัน
ทางด้านแพรพรรณนั้นทันทีที่รังรองประกาศเรื่องงานหมั้นเธอก็ตกใจไม่น้อย ความอ่อนไหวและความเสียใจถาโถมเข้ามาหาเธอจนยืนไม่อยู่ ดวงตาสั่นระริกอย่างสับสน หัวใจเต้นผิดจังหวะ ลมหายใจเริ่มขาดห้วง และในที่สุด...ร่างบางก็ทรุดลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
“กรี๊ดดด!! ตรงนี้มีคนเป็นลมอยู่!! ใครก็ได้!! เรียกรถพยาบาลที!!”
คนในงานกรีดร้องขึ้นมาเมื่อเห็นหญิงสาวล้มลงต่อหน้า ก่อนจะรีบเข้ามาประคองร่างไร้สติของแพรพรรณด้วยความตื่นตกใจ
ซึ่งวิศรุตเองก็ตกใจไม่ใช่น้อย ยังไม่ทันได้เคลียร์กับตัวการของเรื่อง พอเห็นว่าร่างของคนรักล้มลง เขาก็รีบวิ่งออกมาทันทีก่อนจะรวบร่างบางที่นอนแน่นิ่งขึ้นสู่อ้อมแขนอย่างรวดเร็ว และเดินพาเธอมุ่งหน้าไปยังรถโดยไม่แม้แต่จะสนใจสายตาใครทั้งสิ้น
“แพร คุณอย่าเป็นอะไรไปนะ ผมรักคุณนะแพร…”
ทันทีที่วิศรุตอุ้มแพรพรรณออกจากงานไป ศศิก็แทบจะดิ้นเร่าอยากจะวิ่งตามทั้งสองคนไป มีเพียงรังรองเท่านั้นที่พูดเตือนสติ รั้งเธอเอาไว้ เพราะหากลูกสาวเธอตามทั้งสองคนไปตอนนี้ เรื่องราวมันจะวุ่นวายมากกว่าเดิม ยังไงเสียเธอก็ประกาศงานหมั้นไปแล้ว แค่รออย่างใจเย็นเท่านั้นเอง ยังดีที่สามีเธอไม่อยู่ตรงนี้ เธอขี้เกียจอธิบายเต็มที
“ขอบคุณยาย ขอบคุณตานะจ๊ะ ที่ใจดีกับแพรและลูก"ท่ามกลางอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นยังมีเด็กหญิงตัวน้อยในผ้าอ้อมสีขาวสะอาดกำลังนอนหลับฝันดีอยู่ พาขวัญนอนหลับตาพริ้มขนตางอนหนาเด่นชัด แก้มกลมขึ้นสีชมพู ผิวพรรณเนียนผ่องดุจสำลีขาวสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่เป็นเหมือนดั่งของขวัญที่มีค่าที่สุดในชีวิต แม้จะเกิดมาไม่มีพ่อแต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยความรักจากครอบครัว แตกต่างจากชีวิตในวัยเด็กของแพรพรรณเอง ที่เติบโตมากับความรู้สึกขาดสิ่งเหล่านี้ จึงยิ่งทำให้เธอรู้ว่ารักจากตากับยายนั้นสำคัญสำหรับเธอเพียงใดหญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ทั้งน้ำตา ก่อนจะก้มลงกระซิบกับลูกน้อยในอ้อมแขนของผู้เป็นยาย“ถึงหนูจะไม่มีพ่อเหมือนใครเขา แต่แม่ก็รักหนูที่สุดในโลกเลยนะจ๊ะ ลูกรักของแม่”ตอนนี้ชีวิตของแพรมีความสุขตามอัตภาพ ใช้ชีวิตแบบสงบตามที่ตัวเองต้องการ และเธอก็เคยคิดว่าวิถีชีวิตนี้จะดำเนินต่อไปแบบนี้เรื่อย ๆ จนถึงอนาคตข้างหน้าแต่ความสงบก็ไม่ยั่งยืนเมื่อแพรพรรณเข้ามาทำงาน ความสวยสะพรั่งของเธอก็ถูกตาต้องใจใครหลายคนเพียงแค่เข้าทำงานได้ไม่ถึงเดือนก็มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เข้ามาตามจีบแต่เธอก็ปฏิเสธไปทุกราย เธอไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้ามาในชีวิต ตอนนี
ทางด้านวิศรุต หลังจากรับรู้เรื่องราวที่ไม่เป็นจริงจากศศิจันทร์ แต่เขากลับเชื่ออย่างสนิทว่าแพรพรรณตั้งท้องกับชายอื่นจริง ๆ ทำให้ตัวเขาหมดแรงที่จะต่อสู้เพื่อตัวเองและหญิงสาวแม้ในระหว่างนั้นจะมีรังรองและศศิจันทร์คอยให้ข่าวเรื่องที่เขากับเธอยังคงคบหากันอยู่เสมอแม้จะไม่ได้แต่งงานก็ตามวิศรุตความทุกข์ใจเสียใจมาทุ่มเทให้กับงานทั้งหมด โหมงานอย่างหนักจนไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น จากชายหนุ่มที่มีความอ่อนโยนรอยยิ้มอบอุ่น ตอนนี้เขากลายเป็นคนเงียบขรึมเขากลายเป็นผู้บริหารที่ผู้คนยำเกรงวิศรุตถูกจับตามองในฐานะของนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงทำให้ บริษัทของเขารุ่งเรืองและก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม แต่ในความสำเร็จกลับไม่มีคนข้างกายที่ตัวเองโหยหา ตลอดเวลาที่ไม่มีแพรพรรณ เขาไม่เคยเปิดใจให้ใครอีกเลย แม้ศศิจันทร์จะพยายามเอาตัวเข้ามาในชีวิต เปลี่ยนตัวเองแค่ไหนก็ตามแต่กลับวิศรุตก็ไม่ได้ให้ความสนใจเธอเหมือนเดิม"เมื่อไหร่พี่รุตจะเลิกคิดถึงนังแพรเสียทีคะคุณแม่!" เสียงบ่นของศศิจันทร์เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ทั้งที่เธอพยายามปรับปรุงตัวเองทุกอย่าง ทำทุกวิถีทางให้เขาหันมาสนใจแต่เขาก็ไม่หันมามองสักที"ลูกต้องให้เวลาเขาหน่อย เรื
ทางด้านแพรพรรณตอนนี้เธออาศัยอยู่ในห้องนอนเล็ก ๆ ในคอนโดที่เธอเช่าเอาไว้ ตอนนี้เธอเองก็คิดไม่ตก ทั้งเรื่องที่ศศิจันทร์ข่มขู่เรื่องลูกของเธอ ในตอนที่เธอกำลังนั่งจมอยู่กับความเครียดอยู่นั้น เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอมองไปที่หน้าจอ เป็นศศิจันทร์ที่โทรเข้ามา เธอไม่ได้กดรับในทันที เพียงแต่นั่งจ้องนิ่งอยู่แบบนั้น ปล่อยให้เสียงเรียกดังอยู่อย่างนั้นจนสายตัดไปเองและไม่นานนัก ข้อความก็เด้งขึ้นมา พร้อมกับรูปภาพที่ถูกส่งเข้ามารัว ๆ‘อย่าลืมยินดีกับฉันด้วยล่ะ’ปลายนิ้วจิ้มไปที่หน้าจอก่อนจะเห็นรูปบัตรเชิญงานแต่งและรูปถ่ายอีกหลายใบหัวใจของเธอแหลกสลาย ราวกับถูกบดขยี้ซ้ำ ๆ จนไม่เหลือชิ้นดี เธอปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างช้า ๆ แม้รักวิศรุตมากเพียงใด แต่ภาพนั้นมันยืนยันกับเธออย่างชัดเจนแล้วว่า เขาเลือกเดินต่อโดยไม่มีเธอการจากไปของเธออาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น แพรพรรณสูดลมหายใจเข้าลึก กดบล็อกเบอร์ของศศิจันทร์ พร้อมกับตัดช่องทางการติดต่อทุกอย่างจากแม่เลี้ยงและน้องสาว ตอนนี้เธอไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจริง ๆ สินะ” เธอพึมพำทั้งเสียงสะอื้น นึกถึงช่วงเวลาดี ๆ ก
“ขอบใจมาก และรับรู้เอาไว้ด้วยว่าเรื่องนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไปให้ใครรู้ เข้าใจใช่ไหม” เธอย้ำเตือนกับหญิงวัยกลางคน ซึ่งอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ“ค่ะคุณ”ความคิดเหยียบย่ำคนในครอบครัวไม่มีทางที่จะลดลง ศศิจันทร์ขับรถออกไปจากบริเวณนั้นทันทีเธอตรงมาที่บริษัทของวิศรุต เดินตรงดิ่งไปยังห้องทำงานและเปิดเข้าไปอย่างถึงวิสาสะวิศรุตเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียง แววตาคมดุฉายชัดถึงความหงุดหงิดทันทีที่เห็นผู้บุกรุก “ใครอนุญาตให้คุณเข้ามา ศศิ!” เขาพูดเสียงเข้ม กรามขบแน่น “ผมไม่มีธุระอะไรจะคุยกับคนอย่างคุณ!”แต่ศศิจันทร์กลับส่งยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน เธอเดินเข้าไปใกล้แล้ววางซองเอกสารลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา “ศศิแค่อยากให้พี่รุตตาสว่างเท่านั้นเองค่ะ" เธอยังคงยิ้มแล้วพูดต่อ"พี่รุตอยากรู้ไม่ใช่เหรอคะ ว่าแพรพรรณหายไปไหนมาตั้งสี่เดือนทันทีที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแสดงความหงุดหงิด ศศิจันทร์ก็ไม่รีรอ รีบเข้าเรื่องทันทีวิศรุตวางปากกาลงอย่างแรง ก่อนจะลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมายืนประจันหน้าเธอ แววตาแข็งกร้าว"เธอต้องการอะไรกันแน่?"เรื่องที่เธอบุกรุกเข้าบ้านเขาเพื่อทำร้ายแพรพรรณ เขายังไม่ทันเอาเรื่องด้วยซ้ำ แต่เธอกลับกล้
เช้าวันต่อมา ศศิจันทร์นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟากลางโถงห้องรับแขก มือเรียวกดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวต่างแม่ด้วยท่าทางเยือกเย็นเสียงสัญญาณดังไม่นาน ปลายสายก็กดรับ“รับเร็วดีนี่...” ศศิจันทร์แสยะยิ้มเยาะ ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสะใจ"ต้องการอะไร" เสียงปลายสายตอบกลับมาเรียบแต่ถ้าฟังดี ๆ จะสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวในน้ำเสียง“แค่อยากโทรมาแจ้งข่าวน่ะ” ศศิจันทร์พูดช้า ๆ อย่างจงใจ “ตอนนี้ฉันกับ พี่รุต เข้าใจกันดีแล้ว และเขาก็ ตกลงจะแต่งงานกับฉัน”“เมื่อไหร่...” เธอถามเบา ๆ ราวกับคนที่กำลังจะหมดแรง “เธอจะแต่งงานกับเขาเมื่อไหร่”เสียงเธอสั่นเครือจนแม้แต่คนใจร้ายอย่างศศิจันทร์ก็ยังรู้สึกถึงความสั่นไหวนั้น แต่มันยิ่งทำให้เธอยิ้มกว้างขึ้น“ไม่นานหรอกจ้ะ” ศศิพูดเสียงหวานหยัน “เสียใจด้วยนะ ในที่สุดพี่รุตก็เป็นของฉันจนได้”ปลายสายเงียบไป ก่อนจะพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความร้าวร้าน“แค่นี้ใช่ไหมศศิที่เธอต้องการ”“วันนี้เอาแค่นี้ก่อน อย่าเพิ่งทนไม่ไหวล่ะ!!”ศศิจันทร์ตัดสายทิ้งทันที แพรพรรณกำมือถือเอาไว้แน่น น้ำตาเจ้ากรรมไหลลงมาอีกแล้ว ครั้งนี้เธอร้องไห้โฮโดยไม่อายใครอยู่ในห้องที่วิศรุ
“ใช่!! ฉันใจดำอำมหิตก็เพราะเป็นแก และอยากจะให้แกไม่อยู่บนโลกใบนี้ด้วยซ้ำ แกไม่เคยรู้หรอกว่าฉันเสียใจขนาดไหน” ความในใจที่ค้างคาพรั่งพรูออกมาไม่หยุด“ในตอนที่ชีวิตแกมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของพ่อ แกไม่รู้หรอกว่าฉันกับแม่ต้องโดดเดี่ยวขนาดไหน แกไม่เคยรู้รสชาติของคนที่ถูกตามหน้าว่าไม่มีพ่อ มันเจ็บปวดยังไง!! ถึงเวลาแล้วที่ฉันก็จะแย่งสิ่งที่แกรักและหวงแหนมาไว้กับตัว คือคนที่แกรักที่สุดไงล่ะนังหน้าโง่!”ความเคียดแค้นของศศิจันทร์ไม่ใช่วันนี้หรือเมื่อวาน แต่มันคือปมด้อยในใจเมื่อครั้งอดีต ที่แม่และเธอเฝ้ารอคอยให้ครอบครัวตัวเองมีความสุขบ้างเหมือนกัน หากไม่มีแม่ของแพรพรรณมาขวางเอาไว้ ชีวิตเธอคงมีความสุขมากกว่านี้รังรองเป็นคนเอาความคิดชั่วร้ายมาใส่สมองของลูกสาวมาตั้งแต่เด็ก ทั้ง ๆ ที่รังรองเป็นคนวางยาวิชัยในคืนนั้นยัดเยียดสถานะเมียน้อย ตอนนั้นเธอเองยังพูดว่าเต็มใจและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนสุดท้ายแล้วรังรองก็อยู่อย่างหลบซ่อนมาเป็นสิบปี จนวันนึงเธอทนไม่ไหวขึ้นมา เธอเป็นคนส่งภาพความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างวิชัยกับเธอส่งให้พลอยใสดู ทำให้พลอยใสเสียใจและขับรถเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต ซึ่งเรื่องราวที่เก







