เมื่อแสงสีทองจางหายไป นลินญาพบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ท้องฟ้าสีครามสดใส และสายลมที่พัดผ่านใบหน้าสวยเบา ๆ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากห้องนั่งเล่นที่เธอเพิ่งอยู่เมื่อครู่
“ที่นี่...คือที่ไหนกัน” นลินญาพูดกับตัวเองเบา ๆ ขณะที่เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณ ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกตาไปหมด ธรรมชาติที่อยู่ราบรอบตัวเธอช่างงดงามและสมบูรณ์แบบกว่าที่เคยเห็นในชีวิตประจำวัน ดอกไม้ป่าหลากสีส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมาในสายลม ชวนให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เธอรู้สึกหวั่นวิตกอย่างมาก
นลินญามองไปรอบ ๆ แต่ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคย ทุ่งหญ้าที่เธอยืนอยู่ทอดยาวไปจนสุดสายตา มีภูเขาสูงใหญ่เป็นฉากหลัง ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ห่างออกไปดูมีอายุเก่าแก่ราวกับผ่านกาลเวลาอันยาวนานมาแล้ว เธอรู้สึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่โลกที่เธอคุ้นเคยอีกต่อไป
“ฉัน... ฉันต้องฝันไปแน่ ๆ” นลินญาพยายามปลอบตัวเอง มือทั้งสองข้างกุมแผนที่ที่ยังอยู่ในมือแน่น แต่แผนที่กลับไม่เปล่งแสงอีกแล้ว มันกลายเป็นกระดาษเก่า ๆ ที่มีรอยขาดเหมือนดังเดิม
นลินญาก้าวเดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ ที่ตัดผ่านทุ่งหญ้า ความรู้สึกกลัวและสับสนเริ่มครอบงำจิตใจ แต่เธอก็พยายามข่มความกลัวไว้ เธอรู้ว่าการยืนนิ่งอยู่ที่เดิมคงไม่ช่วยอะไรได้
หลังจากเดินตามทางเดินมาได้สักระยะ นลินญาก็มองเห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก บ้านเรือนทำจากไม้ตั้งเรียงรายอยู่กลางทุ่งนา สายตาของเธอเบิกกว้างขึ้นเมื่อสังเกตเห็นผู้คนในหมู่บ้านนั้น สวมใส่เสื้อผ้าที่ดูโบราณ ท่าทางและการแต่งกายของพวกเขาช่างแตกต่างจากสิ่งที่เธอคุ้นเคย
“ที่นี่มันอะไรกันแน่ หรือว่านี่คือยุคโบราณ…” นลินญาเริ่มปะติดปะต่อความคิดในหัว ยิ่งมองไปรอบ ๆ เธอก็ยิ่งมั่นใจว่าสถานที่ที่เธออยู่ไม่ใช่โลกปัจจุบันอีกต่อไป
นลินญาตัดสินใจเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างช้า ๆ หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความกลัว แต่ความอยากรู้อยากเห็นกลับชนะทุกความรู้สึก ในที่สุด เธอก็เดินเข้าไปถึงกลางหมู่บ้าน ผู้คนเริ่มหันมามองเธอด้วยสายตาสงสัยเพราะเธอเป็นคนแปลกหน้าและการแต่งกายก็ดูแปลกแตกต่างไปจากพวกเขา
หญิงสาวคนหนึ่งในชุดผ้าฝ้ายสีขาวขลิบแดงที่เดินผ่านไปหยุดยืนมองนลินญาอย่างพินิจพิจารณา เธอมีดวงตากลมโตและผิวสีน้ำผึ้ง ริมฝีปากยิ้มเล็ก ๆ ก่อนจะเอ่ยทักทาย อย่างเป็นมิตร
“แม่หญิง แม่หญิงมาจากเมืองไหนหรือจ๊ะ”
นลินญารู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็พยายามตอบอย่างสุภาพ “ฉัน... ฉันหลงทางมาน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่”
หญิงสาวมองนลินญาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ที่นี่คือสุโขทัย แม่หญิงไม่รู้จริง ๆ หรือจ๊ะ” เสียงของเธอแฝงด้วยความสงสัยและประหลาดใจ
“สะ..สุโขทัย…” นลินญาทวนคำในใจ ความเป็นจริงที่ไม่น่าเชื่อค่อย ๆ กระจ่างขึ้นมาในความคิด นลินญาต้องหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อควบคุมสติของตนเอง
“ใช่จ้ะ สุโขทัย เป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน แล้วแม่หญิงเป็นใคร มาจากเมืองไหนล่ะจ๊ะ” หญิงสาวถามต่อด้วยความสุภาพและเป็นมิตร
นลินญาเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจว่าเธอควรจะบอกความจริงหรือไม่ จึงเลือกที่จะตอบเลี่ยง ๆ
“ฉัน...มาจากเมืองที่ห่างไกลมากค่ะ ฉันหลงทางมาที่นี่ ไม่รู้ว่าจะกลับไปยังไง”
หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้น ไปพักที่บ้านผู้ใหญ่บ้านก่อนดีไหมจ๊ะ ท่านเป็นคนใจดี คอยช่วยเหลือคนต่างถิ่นเสมอ”
นลินญาพยักหน้ารับข้อเสนออย่างลังเล แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า “ขอบคุณมากค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”
หญิงสาวพานลินญาเดินไปตามทางเล็ก ๆ ที่มีบ้านเรือนไม้ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง เสียงสุนัขเห่ารับเมื่อมีคนเดินผ่านไปมา บรรยากาศในหมู่บ้านเต็มไปด้วยความสงบและเรียบง่าย กลิ่นหอมของอาหารที่กำลังถูกปรุงลอยมาจากบ้านเรือนรอบ ๆ เสียงหัวเราะและการสนทนาของชาวบ้านทำให้นลินญารู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย แต่ลึก ๆ ในใจยังคงมีความกังวลอยู่
เมื่อถึงบ้านหลังหนึ่งซึ่งหญิงสาวที่นำนลินญามาเธอบอกว่าเป็นบ้านของผู้ใหญ่บ้าน หญิงสาวเคาะประตูไม้เบา ๆ ก่อนจะเปิดเข้าไป “ผู้ใหญ่จ้ะ มีแขกมาขอพึ่งพัก”
ผู้ใหญ่บ้านที่ดูมีอายุและใบหน้าที่เคร่งขรึมแต่ใจดี เดินออกมาต้อนรับ เขาสวมชุดผ้าไหมสีเข้ม ผิวสีแทนจากการทำงานกลางแดด ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยที่แสดงถึงประสบการณ์ชีวิตยาวนาน
“เข้ามาก่อนสิ แม่หญิง” ผู้ใหญ่บ้านเชิญนลินญาเข้าไปในบ้านด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น นลินญารู้สึกได้ถึงความปลอดภัยที่เริ่มเกิดขึ้นในใจ เธอก้าวเข้าไปในบ้านที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูอบอุ่น
“ขอบคุณค่ะ” นลินญากล่าวด้วยความเคารพ ก่อนจะนั่งลงบนพื้นเสื่อที่ปูอยู่กลางห้อง
“แม่หญิงเป็นใคร มาจากไหนหรือ” ผู้ใหญ่บ้านถามด้วยความสุภาพ แต่แฝงด้วยความสงสัยเช่นกันเพราะลักษณะท่าทางการแต่งกายและคำพูดไม่ได้เหมือนคนที่นี่เลย แต่โชคดีที่ยังพอสื่อสารกันได้รู้เรื่อง
นลินญานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูด “ฉัน...มาจากเมืองที่ไกลมากค่ะ ฉันไม่รู้ว่าจะกลับไปอย่างไร…”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าเบา ๆ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลไป ที่นี่พวกเรายินดีช่วยเหลือทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ขอให้แม่หญิงคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้าก็แล้วกัน”
คำพูดของผู้ใหญ่บ้านทำให้นลินญารู้สึกอบอุ่นในใจ แม้เธอจะยังคงไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำอย่างไรต่อไป แต่ในตอนนี้ เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
ในยามค่ำคืนเมื่อทุกสิ่งเงียบงัน นลินญามักจะเผลอคิดไปว่า ท่านขุนศรีกำลังทำอะไรอยู่ เขาจะปลอดภัยหรือไม่ เขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาหรือเปล่าเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วง ในขณะที่ท่านขุนศรีออกไปรบ เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เพียงแค่การห่างไกลกันชั่วคราว แต่มันอาจหมายถึงการเสี่ยงชีวิต นั่นทำให้เธออดที่จะกังวลไม่ได้ หลายครั้งที่นลินญาหลับตาลง เธอเฝ้าฝันเห็นท่านขุนศรีกลับมาหาเธอในยามค่ำคืน เธอมองเห็นเขาในชุดรบที่สง่างาม แต่ใบหน้าของเขายังคงอ่อนโยนเช่นเดิม รอยยิ้มที่เธอคิดถึง และอ้อมแขนที่อบอุ่น เมื่อเธอเอื้อมมือออกไปหาเขา ความฝันนั้นกลับเลือนหายไป กลายเป็นเพียงความว่างเปล่าที่ทำให้เธอต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับหัวใจที่เจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกัน นลินญาก็รู้ว่าเธอไม่สามารถปล่อยให้ความคิดถึงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธออ่อนแอได้ เธอต้องเข้มแข็งเพื่อท่านขุนศรีอิศราและเพื่อครอบครัวที่พวกเขาหวังจะสร้างร่วมกัน นลินญารู้ดีว่าท่านขุนศรีออกไปรบเพื่อปกป้องผู้คนในหมู่บ้าน และเธอเองก็ต้องดูแลบ้านและครอบครัวในช่วงที่เขาไม่อยู่ เธอรู้ว่าการรอคอยนั้นเป็นสิ่งที่ยาก แต่เธอก็เชื่อมั่นในความรักและคำมั่นสัญญาที่พวกเข
เวลาผ่านไปหลายวันแล้วหลังจากที่ท่านขุนศรีอิศราต้องเดินทางไปยังสนามรบเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องบ้านเมืองของชายชาตินักรบ นลินญาใช้ชีวิตด้วยความว้าเหว่อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทุกอย่างรอบตัวเงียบเหงาและว่างเปล่า ในแต่ละวันเธอต้องเผชิญกับความรู้สึกที่หลากหลายถาโถมเข้ามา ตอนนี้ในห้วงความคิดและห้องหัวใจของเธอ มีทั้งความรู้สึกห่วงใย ความคิดถึงที่มีต่อใบหน้าคมและรูปร่างท่าทางอันสง่างามของท่านขุนศรีอิศรา รวมถึงความกลัวว่าคนที่ไปทำหน้าที่นำทัพไปต่อสู้กับข้าศึกจะไม่ปลอดภัย ความรู้สึกต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในหัวใจทำให้เธอไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก ในแต่ละวันแต่ละนาทีที่ผ่านพ้นไปเธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอช่างไม่มีความสุขเอาเสียเลย เหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป การที่ท่านขุนศรีไม่อยู่ มันไม่มีรอยยิ้มของท่านขุน ไม่มีเสียงหัวเราะของเขา ทุกอย่างที่เคยดูสดใสกลายเป็นเงียบงัน เมื่อท่านขุนไม่อยู่ทำให้หมู่บ้านดูเงียบเหงาไปมากในสายตาของนลินญา ถึงแม้นว่าจะมีชาวบ้านรายล้อมและมีงานที่ต้องทำมากมายเหมือนเช่นเดิม แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดคิดถึงท่านขุนศรีชายที่ทำให้เธอได้ใช้เวลาในแต่ละวันอย่างมีความสุขได้เลย ใน
หลายวันก่อนที่ท่านขุนศรีอิศราจะได้กลับมาพบกับนลินญา เขาต้องออกเดินทางไปยังราชสำนักในเมืองสุโขทัยเพื่อรายงานสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองทัพจากเมืองอื่นที่เข้ามาใกล้ชายแดน อาณาจักรสุโขทัยต้องเตรียมการป้องกันอย่างเร่งด่วน ท่านขุนศรีอิศราถูกมอบหมายให้นำทัพไปยังชายแดนเพื่อสกัดกั้นกองกำลังที่อาจรุกรานการออกรบครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่ของท่านขุนศรี แต่เป็นการปกป้องบ้านเมืองที่เขารัก เขารู้ว่าความปลอดภัยของสุโขทัยและชาวบ้านทุกคน รวมถึงนลินญา ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของภารกิจนี้ขณะที่ท่านขุนศรีอิศราเป็นผู้นำทัพเข้าสู่สนามรบ ความคิดถึงแม่หญิงนลินญาอันเป็นที่รักก็ไม่เคยห่างหายไปจากใจของเขา แม้ท่านขุนศรีอิศราจะเป็นขุนศึกที่มีกล้าแกร่งมากประสบการณ์และเข้มแข็ง แต่ความรักที่เขามีต่อแม่หญิงนลินญากลับทำให้เขารู้สึกอ่อนไหวในแบบที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนในคืนแรกของการเดินทัพ ท่านขุนศรีอิศราได้แต่นั่งอยู่ข้างกองไฟในค่ายทหาร แสงไฟส่องใบหน้าหล่อคมของเขาให้ดูเคร่งขรึมและมุ่งมั่น แม้ว่าทหารคนอื่นจะหลับไปแล้ว แต่ท่านขุนศรีอิศรายังคงตื่นและมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ราวกับว่ากำลังส
หลังค่ำคืนที่งดงามในวันลอยกระทง ความสัมพันธ์ระหว่างนลินญาและท่านขุนศรีอิศราก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ความรู้สึกที่เคยเป็นเพียงแค่ความเคารพและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ได้กลายเป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งขึ้นทีละน้อย แม้ทั้งสองจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่การกระทำและความใส่ใจที่มีให้กันก็ชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ วันเวลาผ่านไป นลินญาได้ปรับตัวและเรียนรู้การใช้ชีวิตในยุคสุโขทัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในหมู่บ้าน ผู้คนต่างก็ให้ความรักและความเคารพเธอเหมือนกับสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน ทุก ๆ วันนลินญาจะได้พบกับท่านขุนศรีอิศรา ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานในหมู่บ้าน การเยี่ยมเยียนชาวบ้าน หรือการพูดคุยกันใต้ต้นไม้ใหญ่ในช่วงเย็น ความรักของทั้งสองคนเริ่มงอกงามขึ้นในบรรยากาศที่เรียบง่ายของสุโขทัย ความรักนี้ไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่งหรือการแสวงหา แต่เป็นความรักที่เติบโตขึ้นจากการที่ได้อยู่ร่วมกันและผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ มาด้วยกัน นลินญาและท่านขุนศรีมักจะใช้เวลาร่วมกันในงานของชาวบ้าน เมื่อใดก็ตามที่หมู่บ้านมีงานใหญ่ เช่น การเก็บเกี่ยวข้าวหรือการสร้างบ้านใหม่สำหรับครอบครัวในหมู่บ้านที่ยา
ค่ำคืนแห่งเทศกาลประเพณีลอยกระทงในอาณาจักรสุโขทัยมาถึงแล้ว บรรยากาศทั่วหมู่บ้านเต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้คนต่างพากันเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมพิธีสำคัญนี้ หญิงสาวและเด็ก ๆ นั่งประดิษฐ์กระทงจากใบตองและดอกไม้อย่างประณีต โดยแต่ละคนต่างตั้งใจทำกระทงของตัวเองให้สวยงามที่สุด ส่วนพวกผู้ชายก็ช่วยกันเตรียมไฟและจัดพื้นที่ริมแม่น้ำให้พร้อมสำหรับการลอยกระทง นลินญานั่งอยู่ลานหน้าบ้านพ่อเฒ่าผิน พลางช่วยแม่แย้มภรรยาของพ่อเฒ่าผินประดิษฐ์กระทงใบตอง เธอรู้สึกตื่นเต้นกับเทศกาลที่เธอเคยได้ยินมาแต่ในตำรา และไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาสมาสัมผัสด้วยตัวเองเช่นนี้ ขณะที่นลินญากำลังจัดดอกไม้ใส่ในกระทงใบตอง ท่านขุนศรีอิศราก็เดินเข้ามาหาเธอ เขาสวมชุดผ้าไหมสีดำปักทองดูสง่างาม แต่เรียบง่าย ร่างสูงของท่านขุนศรีอิสราหยุดยืนอยู่ตรงหน้านลินญา พร้อมกับส่งยิ้มบาง ๆ ให้เธอ “แม่หญิงนลินญา คืนนี้ท่านมีแผนจะไปลอยกระทงที่ใดหรือยัง” นลินญาเงยหน้าขึ้นมองท่านขุนศรีอิศรา ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาคมของเขา พลางรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเเละสั่นไหวเล็กน้อย “ฉันยังไม่มีแผนอะไรเลยค่ะ กำลังคิดว่าจะไปกับชาวบ้านที่ริมแม่น้ำใกล้ ๆ นี้เท่
วันเวลาผ่านไป นลินญาเริ่มปรับตัวและเรียนรู้การดำเนินชีวิตในยุคสุโขทัยมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการเป็นหญิงสาวในยุคปัจจุบันที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีและความสะดวกสบาย สมัยใหม่ นลินญาจำต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของยุคนี้ หนึ่งในเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของยุคสุโขทัยคือวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความลึกซึ้งและความเชื่อที่ฝังรากลึกในทุกกิจกรรมประจำวัน ชาวสุโขทัยที่นลินญาได้เห็นทุกคนมีความเชื่อมั่นในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นในทุก ๆ การกระทำ ตั้งแต่การเริ่มต้นวันใหม่จนถึงการปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละวัน ในทุกๆ เช้า นลินญาจะตื่นขึ้นพร้อมกับแสงแรกของวัน ทันทีที่เธอลุกจากที่นอน นลินญาจะเริ่มวันใหม่ด้วยการกราบพระพุทธรูปในบ้านของพ่อเฒ่าผินผู้มีตำแหน่งนายบ้าน ตามแบบแผนที่ได้รับการถ่ายทอดจากแม่แย้มภรรยาของนายบ้าน การสวดมนต์เป็นสิ่งที่เธอเรียนรู้ที่จะทำทุกวัน เพื่อเริ่มต้นวันด้วยจิตใจที่สงบและพร้อมรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น นลินญาได้เรียนรู้ว่าชาวสุโขทัยมีวิถีชีวิตที่ผสมผสานระหว่างความเรียบง่ายและความเคารพต่อธรรมชาติ ทุกกิจกรรมประจำวันไ