นลินญามาพักอาศัยอยู่ในบ้านผู้ใหญ่บ้านที่เงียบสงบมาได้หลายวันแล้ว ในทุก ๆ วันเป็นการเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่ ๆ ที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน เธอตื่นตั้งแต่เช้าพร้อมกับเสียงไก่ขัน และแสงแรกของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างไม้ที่ไม่มีบานกระจกเข้ามา สายลมยามเช้าที่พัดผ่านเข้ามาทำให้นลินญารู้สึกสดชื่นและสงบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
บ้านเรือนไม้ที่เธอพักอาศัยอยู่เป็นบ้านที่มีลักษณะเรียบง่าย แต่ก็อบอุ่น มีผู้ใหญ่บ้านและภรรยาคอยดูแลนลินญาเป็นอย่างดี แม้เธอจะยังไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้ได้รู้ แต่ผู้ใหญ่บ้านและครอบครัวก็ไม่ได้ซักไซ้ไต่ถามอะไรมากนัก พวกเขาเพียงให้เธอพักผ่อนและปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ ตอนนี้นลินญาแต่งกายเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป จะมีก็แต่การพูดที่เเตกต่างออกไปที่นลินญาพยายามที่จะเลียนแบบชาวบ้านแต่ก็ยังทำไม่ได้ ซึ่งทุกคนก็เข้าใจไม่ได้ติดใจเอาความอะไรกับเธอ
ในตอนเช้าวันนี้ ขณะที่นลินญากำลังช่วยภรรยาของผู้ใหญ่บ้านหุงข้าวอยู่ในครัวแบบโบราณที่ใช้เตาถ่าน เธอรู้สึกถึงกลิ่นหอมของข้าวที่สุกใหม่ ๆ ผสมกับกลิ่นควันไม้ที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ความเรียบง่ายของการดำเนินชีวิตที่นี่ทำให้นลินญาคิดถึงความวุ่นวายของชีวิตในยุคปัจจุบัน
“ข้าวที่นี่หอมมากเลยนะคะ เม็ดข้าวขาวใสมากเลย” นลินญาเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม ขณะที่เธอตักข้าวลงในถาดไม้
“ข้าวหุงสุกใหม่ ๆ ก็จะหอมแบบนี้แหละจ้ะ แม่หญิง” ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านส่งยิ้มอย่างอบอุ่น เธอชอบในความเป็นนลินญาที่ทำอะไรไม่เป็นดูผิดที่ผิดทางเก้อๆกังๆ แต่ก็พร้อมที่จะเรียนรู้ทุกอย่าง
“ถ้าแม่หญิงอยู่ที่นี่ไปนาน ๆ จะได้ลองหุงข้าวด้วยตัวเอง แล้วจะรู้ว่าสนุกขนาดไหน”
นลินญายิ้มตอบ แม้เธอจะไม่คุ้นเคยกับการทำงานบ้านแบบนี้ แต่เธอก็รู้สึกสนุกและภูมิใจที่ได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ และสัมผัสกับวิถีชีวิตที่เธอเคยอ่านเจอในตำรา แต่ไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสด้วยตัวเอง
เมื่อเสร็จจากการเตรียมอาหารเช้า นลินญาก็ออกมาเดินเล่นรอบ ๆ หมู่บ้าน ชาวบ้านที่นี่ล้วนเป็นมิตรกับเธอ และต่างก็ทักทายเธออย่างอบอุ่น ขณะที่เธอเดินผ่านทุ่งนา เธอเห็นกลุ่มชาวบ้านกำลังลงมือทำนาอย่างขยันขันแข็ง พวกเขาร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว ทั้งชายหญิงต่างมีบทบาทของตนเองในการทำงาน
ขณะเดินตามคันนามา นลินญาหยุดมองการทำงานของชาวนาอย่างสนใจ เธอเคยศึกษาเกี่ยวกับการทำนาในยุคโบราณมาก่อน แต่ไม่เคยได้เห็นด้วยตาตัวเองมาก่อนเลย
“แม่หญิง สนใจการทำนาหรือจ๊ะ” ชาวบ้านชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ริมท้องนาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เขาดูเป็นชายหนุ่มที่แข็งแรง ผิวสีแทนคร้ามจากการทำงานกลางแดด ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อจากการทำงานหนัก แต่ก็ยังคงแฝงด้วยความสดชื่นและเป็นมิตร
“ใช่ค่ะ ฉันไม่เคยเห็นการทำนาแบบนี้มาก่อน” นลินญาตอบอีกฝ่ายด้วยความสนใจ
“ถ้าอย่างนั้น แม่หญิงอยากลองลงไปช่วยไหมล่ะจ๊ะ” ชายหนุ่มเสนอด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร
นลินญาลังเลไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พยักหน้า “ได้ใช่ไหมคะ ฉันอยากลองดู ถ้าไม่เป็นการรบกวน กรุณาสอนฉันได้ไหมคะ”
เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับและส่งยิ้มมาให้ นลินญาก็รีบถอดรองเท้าแล้วก้าวลงไปในท้องนา ความรู้สึกแรกของการโดนโคลนที่เย็นชื้นใต้เท้าทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นและแปลกใหม่ ชาวบ้านคนอื่น ๆ มองดูเธอด้วยความสนใจและยิ้มให้กับความกล้าหาญของเธอ
“เอ้า แม่หญิงค่อย ๆ ปักต้นกล้าลงไปในดินแบบนี้นะจ๊ะ” ชายหนุ่มยื่นมัดกล้าข้าวให้กับนลินญาและสอนนลินญา ขณะที่เขาแสดงให้ดูวิธีการปักต้นข้าวลงในดินอย่างประณีต นลินญาเองก็ลองทำตามอย่างช้า ๆ และพบว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิดเลย เธอต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อไม่ให้ต้นกล้าหักโอนเอียงหรือโคลนติดมือมากเกินไป เธอต้องปักให้มันเป็นแถวเป็นระเบียบตามแนวที่เขาทำกันมา
“ทำแบบนี้หรือเปล่าคะ” นลินญาถามขณะพยายามทำตามคำที่เขาแนะนำ และมองตัวอย่างจากชาวบ้านคนอื่นๆด้วย
“ใช่จ้ะ ถูกต้องแล้วแม่หญิง” ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ
“แค่นี้ก็เหมือนชาวนาตัวจริงแล้วล่ะ” ชาวบ้านอีกคนชมนลินญาออกมา
นลินญายิ้มกลับ รู้สึกได้ถึงความภาคภูมิใจเล็ก ๆ ที่ได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกใกล้ชิดกับชาวบ้านมากขึ้น และได้เข้าใจถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าในทุก ๆ วัน
ในยามค่ำคืนเมื่อทุกสิ่งเงียบงัน นลินญามักจะเผลอคิดไปว่า ท่านขุนศรีกำลังทำอะไรอยู่ เขาจะปลอดภัยหรือไม่ เขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาหรือเปล่าเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วง ในขณะที่ท่านขุนศรีออกไปรบ เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เพียงแค่การห่างไกลกันชั่วคราว แต่มันอาจหมายถึงการเสี่ยงชีวิต นั่นทำให้เธออดที่จะกังวลไม่ได้ หลายครั้งที่นลินญาหลับตาลง เธอเฝ้าฝันเห็นท่านขุนศรีกลับมาหาเธอในยามค่ำคืน เธอมองเห็นเขาในชุดรบที่สง่างาม แต่ใบหน้าของเขายังคงอ่อนโยนเช่นเดิม รอยยิ้มที่เธอคิดถึง และอ้อมแขนที่อบอุ่น เมื่อเธอเอื้อมมือออกไปหาเขา ความฝันนั้นกลับเลือนหายไป กลายเป็นเพียงความว่างเปล่าที่ทำให้เธอต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับหัวใจที่เจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกัน นลินญาก็รู้ว่าเธอไม่สามารถปล่อยให้ความคิดถึงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธออ่อนแอได้ เธอต้องเข้มแข็งเพื่อท่านขุนศรีอิศราและเพื่อครอบครัวที่พวกเขาหวังจะสร้างร่วมกัน นลินญารู้ดีว่าท่านขุนศรีออกไปรบเพื่อปกป้องผู้คนในหมู่บ้าน และเธอเองก็ต้องดูแลบ้านและครอบครัวในช่วงที่เขาไม่อยู่ เธอรู้ว่าการรอคอยนั้นเป็นสิ่งที่ยาก แต่เธอก็เชื่อมั่นในความรักและคำมั่นสัญญาที่พวกเข
เวลาผ่านไปหลายวันแล้วหลังจากที่ท่านขุนศรีอิศราต้องเดินทางไปยังสนามรบเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องบ้านเมืองของชายชาตินักรบ นลินญาใช้ชีวิตด้วยความว้าเหว่อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทุกอย่างรอบตัวเงียบเหงาและว่างเปล่า ในแต่ละวันเธอต้องเผชิญกับความรู้สึกที่หลากหลายถาโถมเข้ามา ตอนนี้ในห้วงความคิดและห้องหัวใจของเธอ มีทั้งความรู้สึกห่วงใย ความคิดถึงที่มีต่อใบหน้าคมและรูปร่างท่าทางอันสง่างามของท่านขุนศรีอิศรา รวมถึงความกลัวว่าคนที่ไปทำหน้าที่นำทัพไปต่อสู้กับข้าศึกจะไม่ปลอดภัย ความรู้สึกต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในหัวใจทำให้เธอไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก ในแต่ละวันแต่ละนาทีที่ผ่านพ้นไปเธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอช่างไม่มีความสุขเอาเสียเลย เหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป การที่ท่านขุนศรีไม่อยู่ มันไม่มีรอยยิ้มของท่านขุน ไม่มีเสียงหัวเราะของเขา ทุกอย่างที่เคยดูสดใสกลายเป็นเงียบงัน เมื่อท่านขุนไม่อยู่ทำให้หมู่บ้านดูเงียบเหงาไปมากในสายตาของนลินญา ถึงแม้นว่าจะมีชาวบ้านรายล้อมและมีงานที่ต้องทำมากมายเหมือนเช่นเดิม แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดคิดถึงท่านขุนศรีชายที่ทำให้เธอได้ใช้เวลาในแต่ละวันอย่างมีความสุขได้เลย ใน
หลายวันก่อนที่ท่านขุนศรีอิศราจะได้กลับมาพบกับนลินญา เขาต้องออกเดินทางไปยังราชสำนักในเมืองสุโขทัยเพื่อรายงานสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองทัพจากเมืองอื่นที่เข้ามาใกล้ชายแดน อาณาจักรสุโขทัยต้องเตรียมการป้องกันอย่างเร่งด่วน ท่านขุนศรีอิศราถูกมอบหมายให้นำทัพไปยังชายแดนเพื่อสกัดกั้นกองกำลังที่อาจรุกรานการออกรบครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่ของท่านขุนศรี แต่เป็นการปกป้องบ้านเมืองที่เขารัก เขารู้ว่าความปลอดภัยของสุโขทัยและชาวบ้านทุกคน รวมถึงนลินญา ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของภารกิจนี้ขณะที่ท่านขุนศรีอิศราเป็นผู้นำทัพเข้าสู่สนามรบ ความคิดถึงแม่หญิงนลินญาอันเป็นที่รักก็ไม่เคยห่างหายไปจากใจของเขา แม้ท่านขุนศรีอิศราจะเป็นขุนศึกที่มีกล้าแกร่งมากประสบการณ์และเข้มแข็ง แต่ความรักที่เขามีต่อแม่หญิงนลินญากลับทำให้เขารู้สึกอ่อนไหวในแบบที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนในคืนแรกของการเดินทัพ ท่านขุนศรีอิศราได้แต่นั่งอยู่ข้างกองไฟในค่ายทหาร แสงไฟส่องใบหน้าหล่อคมของเขาให้ดูเคร่งขรึมและมุ่งมั่น แม้ว่าทหารคนอื่นจะหลับไปแล้ว แต่ท่านขุนศรีอิศรายังคงตื่นและมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ราวกับว่ากำลังส
หลังค่ำคืนที่งดงามในวันลอยกระทง ความสัมพันธ์ระหว่างนลินญาและท่านขุนศรีอิศราก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ความรู้สึกที่เคยเป็นเพียงแค่ความเคารพและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ได้กลายเป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งขึ้นทีละน้อย แม้ทั้งสองจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่การกระทำและความใส่ใจที่มีให้กันก็ชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ วันเวลาผ่านไป นลินญาได้ปรับตัวและเรียนรู้การใช้ชีวิตในยุคสุโขทัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในหมู่บ้าน ผู้คนต่างก็ให้ความรักและความเคารพเธอเหมือนกับสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน ทุก ๆ วันนลินญาจะได้พบกับท่านขุนศรีอิศรา ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานในหมู่บ้าน การเยี่ยมเยียนชาวบ้าน หรือการพูดคุยกันใต้ต้นไม้ใหญ่ในช่วงเย็น ความรักของทั้งสองคนเริ่มงอกงามขึ้นในบรรยากาศที่เรียบง่ายของสุโขทัย ความรักนี้ไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่งหรือการแสวงหา แต่เป็นความรักที่เติบโตขึ้นจากการที่ได้อยู่ร่วมกันและผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ มาด้วยกัน นลินญาและท่านขุนศรีมักจะใช้เวลาร่วมกันในงานของชาวบ้าน เมื่อใดก็ตามที่หมู่บ้านมีงานใหญ่ เช่น การเก็บเกี่ยวข้าวหรือการสร้างบ้านใหม่สำหรับครอบครัวในหมู่บ้านที่ยา
ค่ำคืนแห่งเทศกาลประเพณีลอยกระทงในอาณาจักรสุโขทัยมาถึงแล้ว บรรยากาศทั่วหมู่บ้านเต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้คนต่างพากันเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมพิธีสำคัญนี้ หญิงสาวและเด็ก ๆ นั่งประดิษฐ์กระทงจากใบตองและดอกไม้อย่างประณีต โดยแต่ละคนต่างตั้งใจทำกระทงของตัวเองให้สวยงามที่สุด ส่วนพวกผู้ชายก็ช่วยกันเตรียมไฟและจัดพื้นที่ริมแม่น้ำให้พร้อมสำหรับการลอยกระทง นลินญานั่งอยู่ลานหน้าบ้านพ่อเฒ่าผิน พลางช่วยแม่แย้มภรรยาของพ่อเฒ่าผินประดิษฐ์กระทงใบตอง เธอรู้สึกตื่นเต้นกับเทศกาลที่เธอเคยได้ยินมาแต่ในตำรา และไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาสมาสัมผัสด้วยตัวเองเช่นนี้ ขณะที่นลินญากำลังจัดดอกไม้ใส่ในกระทงใบตอง ท่านขุนศรีอิศราก็เดินเข้ามาหาเธอ เขาสวมชุดผ้าไหมสีดำปักทองดูสง่างาม แต่เรียบง่าย ร่างสูงของท่านขุนศรีอิสราหยุดยืนอยู่ตรงหน้านลินญา พร้อมกับส่งยิ้มบาง ๆ ให้เธอ “แม่หญิงนลินญา คืนนี้ท่านมีแผนจะไปลอยกระทงที่ใดหรือยัง” นลินญาเงยหน้าขึ้นมองท่านขุนศรีอิศรา ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาคมของเขา พลางรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเเละสั่นไหวเล็กน้อย “ฉันยังไม่มีแผนอะไรเลยค่ะ กำลังคิดว่าจะไปกับชาวบ้านที่ริมแม่น้ำใกล้ ๆ นี้เท่
วันเวลาผ่านไป นลินญาเริ่มปรับตัวและเรียนรู้การดำเนินชีวิตในยุคสุโขทัยมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการเป็นหญิงสาวในยุคปัจจุบันที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีและความสะดวกสบาย สมัยใหม่ นลินญาจำต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของยุคนี้ หนึ่งในเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของยุคสุโขทัยคือวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความลึกซึ้งและความเชื่อที่ฝังรากลึกในทุกกิจกรรมประจำวัน ชาวสุโขทัยที่นลินญาได้เห็นทุกคนมีความเชื่อมั่นในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นในทุก ๆ การกระทำ ตั้งแต่การเริ่มต้นวันใหม่จนถึงการปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละวัน ในทุกๆ เช้า นลินญาจะตื่นขึ้นพร้อมกับแสงแรกของวัน ทันทีที่เธอลุกจากที่นอน นลินญาจะเริ่มวันใหม่ด้วยการกราบพระพุทธรูปในบ้านของพ่อเฒ่าผินผู้มีตำแหน่งนายบ้าน ตามแบบแผนที่ได้รับการถ่ายทอดจากแม่แย้มภรรยาของนายบ้าน การสวดมนต์เป็นสิ่งที่เธอเรียนรู้ที่จะทำทุกวัน เพื่อเริ่มต้นวันด้วยจิตใจที่สงบและพร้อมรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น นลินญาได้เรียนรู้ว่าชาวสุโขทัยมีวิถีชีวิตที่ผสมผสานระหว่างความเรียบง่ายและความเคารพต่อธรรมชาติ ทุกกิจกรรมประจำวันไ