วันต่อมาหลี่หลงหลินเพิ่งได้ยินข่าว องค์ชายสี่ถูกโบย เกือบเอาชีวิตไม่รอดกระนั้น เขามิได้เก็บมาใส่ใจอย่างไรเสีย ซื้อฝ้าย ประดิษฐ์จักรเย็บผ้า คนสอนเย็บผ้า เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเสียทั้งแรงเสียทั้งเวลาโชคดีลั่วอวี้จู๋ กงซูหว่าน หลิ่วหรูเยียนช่วยเหลือ หาไม่แล้วเรื่องมากมายเพียงนี้ หลี่หลงหลินเพียงคนเดียวต้องยุ่งมากเป็นแน่ไม่พูดไม่ได้ สตรีสกุลซู มีความสามารถอย่างแท้จริงพวกนางจัดการงานเล็กน้อยเหล่านี้ เหลือหลี่หลงหลินว่างงานเพียงคนเดียว เดินเล่นไปทุกหนแห่ง คล้ายเด็กข้างถนนไม่มีงานทำคนหนึ่งหลังผ่านช่วงเที่ยงซูเฟิ่งหลิงพาทหารที่เหลือ กลับจากหาไม้หนึ่งชุดที่ภูเขาทิศประจิม เหนื่อยจนหน้าแดงก่ำ หายใจกระหืดกระหอบ ตอนนี้เอง นางมองเห็นหลี่หลงหลินกำลังเดินเล่นอยู่ที่นั่น ทันใดนั้นเกิดโทสะขึ้นมาระลอกหนึ่ง“หลี่หลงหลิน!”ซูเฟิ่งหลิงโมโหเดินก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา แขนทั้งสองข้างเท้าเอว “พวกเราสตรีหนึ่งกลุ่ม กำลังยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้ ท่านบุรุษคนหนึ่ง ถึงขั้นมาแอบอู้งานอยู่ที่นี่?”หลี่หลงหลินยิ้มตาหยี ชี้เข้าที่สมองของตน “เจ้าไม่เข้าใจ! ข้าคือคนใช้สมองทำงาน ไม่เหมือนกับคนคิดอ่านเรียบง่าย แข
เพียงหลี่หลงหลินได้ยิน ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มแล้ว “พี่สะใภ้ใหญ่อ่อนโยนเป็นกุลสตรี ดีกว่าเสือโคร่งเฉกเช่นซูเฟิ่งหลิงคนนี้! ข้ากำลังอยากไปดูภายในร้านอยู่พอดี!”ซูเฟิ่งหลิงถลึงตาใส่หลี่หลงหลินหนึ่งปราด พูดว่า “เขาไป ข้าก็ไม่ไปแล้ว! ข้าเพิ่งกลับจากภูเขาทิศประจิม เหนื่อยแทบตายแล้ว...”สีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าซูเข้มขึ้น ด่าออกมา “เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดดื้อเพียงนี้? ใช่หรือไม่ว่าเจ้าต้องการทำให้ข้าโมโหตาย เจ้าถึงจะพอใจ?”ซูเฟิ่งหลิงได้ยินถ้อยคำนี้ ทันใดนั้นตกใจแย่แล้ว สีหน้าโศกเศร้าเสียใจ “ท่านย่า ข้าไป ข้าไปยังใช้ไม่ได้อีกหรือ?”แม้ซูเฟิ่งหลิงไม่ยินยอมเยี่ยงไร แต่กลับทำได้เพียงไปร้านพร้อมหลี่หลงหลินมองเงาหลังของทั้งคู่ ฮูหยินผู้เฒ่าซูบ่นงึมงำ “เด็กน้อย ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้แล้ว!”ณ ร้านขายผ้าสกุลซูร้านมีขนาดใหญ่มาก แต่กลับเงียบเหงาไร้ผู้คน ไม่มีลูกค้าแม้คนเดียวมีเพียงลั่วอวี้จู๋ที่มีสีหน้าอมทุกข์ นั่งถอนหายใจอยู่หลังโต๊ะขายของเพียงลำพังมองเห็นหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงมาแล้ว ลั่วอวี้จู๋รีบลุกขึ้น เปล่งเสียงดีใจปนตกตะลึง “องค์ชาย น้องหญิง เหตุใดพวกท่านมาได้เล่า?”ใบหน้าซูเฟิ่งหลิงดำทึ
ซูเฟิ่งหลิงล้วนโง่งมแล้วเดิมนางคิดว่า สกุลซูสามารถทำเงินมหาศาลได้หนึ่งก้อน!คิดไม่ถึง ปัญหาใหญ่ถึงขั้นมาเยือนแล้ว!สีหน้าซูเฟิ่งหลิงกระวนกระวาย “พี่สะใภ้ใหญ่ ถ้าอย่างนั้นจะทำเยี่ยงไร?”ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้ว ถอนหายใจพลางพูด “พวกเราทอผ้ายิ่งได้มากเท่าใด ขาดทุนก็มากเท่านั้น! บัดนี้ทำได้เพียงหยุดผลิต จึงจะสามารถลดความเสียหายได้! หาไม่แล้ว ไม่เกินหนึ่งเดือน สกุลซูจะต้องล้มละลายเป็นแน่!”ซูเฟิ่งหลิงชะงักงัน ส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง “พี่สะใภ้ใหญ่ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้! หากพวกเราหยุดผลิต เช่นนั้นพวกแม่ม่ายจะทำเยี่ยงไร? พวกนางยังรอเงินค่าจ้าง ส่งลูกเข้าสำนักศึกษาอยู่นะ”ลั่วอวี้จู๋พูดอย่างลำบากใจ “ข้าย่อมรู้ดี! แต่ นี่เป็นเพียงหนทางเดียวในตอนนี้!”หลี่หลงหลินยิ้มน้อยๆ พูดว่า “ไม่! ข้ากลับคิดว่า สกุลซูจะต้องสามารถรอดพ้นจากอุปสรรคในครานี้ไปได้เป็นแน่! พวกเราไม่เพียงไม่สามารถหยุดการผลิตได้ มิหนำซ้ำยังสามารถขยายขนาดให้ใหญ่ยิ่งขึ้นได้อีกด้วย!”ลั่วอวี้จู๋มองหลี่หลงหลินอย่างเหลือจะเชื่อ พูดไม่ออก “องค์ชาย ท่านเสียสติไปแล้ว? ท่านเองก็เห็นแล้ว นานมากเพียงนี้ ไม่มีลูกค้าแม้คนเดียว...”หลี่หลงห
เผ่าหมานลงใต้ โจมตียึดเมือง ยึดได้ราวห้าเมืองราษฎร์ทางเหนือของต้าเซี่ย เพื่อหลีกหนีไฟสงคราม ต่างพากันหนีเอาตัวรอดมายังเมืองหลวง กลายเป็นผู้ลี้ภัยเพียงแต่ฮ่องเต้หวู่คิดไม่ถึง ผู้ลี้ภัยมีมากเพียงนี้!หนึ่งแสนคน!นั่นคือหนึ่งแสนปากเชียวนะ!หากดูแลไม่ดี จะต้องเกิดความโกลาหลเป็นแน่!ฮ่องเต้หวู่ออกคำสั่งในทันใด “เหตุใดไม่รีบพูดตั้งแต่แรก? รีบเรียกขุนนางใหญ่ของสำนักเลขาธิการ มาหารือเรื่องนี้!”เว่ยซวินค้อมตัวลง “น้อมรับพระบัญชา”พระบรมราชโองการถ่ายทอดลงมา ขุนนางใหญ่ของสำนักเลขาธิการต่างพากันเข้าวัง มาปรึกษาหารือต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้หวู่อย่างกระตือรือร้นขุนนางใหญ่เห็นพ้องต้องกัน สนับสนุนการตัดสินพระทัยของฮ่องเต้หวู่ จะต้องตั้งถิ่นฐานใหม่ให้ผู้ลี้ภัยอย่างเหมาะสมจากนั้น พวกเขาแต่ละคนยื่นมือออกมา หันทางฮ่องเต้หวู่เพื่อขอเงิน!ผู้บัญชาการย่อมไม่ปล่อยให้ผู้อยู่ใต้อาณัติหิว!เสื้อผ้าอาหารที่พักอาศัยของผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคน ทุกด้านล้วนต้องจ่ายเงิน!นี่มิใช่เงินจำนวนน้อยๆ!เพียงฮ่องเต้หวู่ได้ยินว่าต้องการเงิน ชะงักงันในทันใด!เงินที่เราทำสงคราม ล้วนนำมาจากเว่ยซวินที่นั่นพวกเจ้าม
ณ ภายนอกเมืองหลวง ผู้ลี้ภัยจากแดนเหนือจำนวนมากล้วนรวมกันอยู่ที่นี่พวกเขาตั้งกระโจมภายในพื้นที่ผู้ลี้ภัย หลังตั้งถิ่นฐานชั่วคราวแล้ว ก็พากันเข้าเมืองหลวง ซื้อของจำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันตลาดที่เดิมทีเงียบเหงา ทันใดนั้นกลายเป็นเนืองแน่น ครึกครื้นขึ้นมาแล้วหลิวเกินเซิงเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเขาอายุสี่สิบกว่าปี สวมเสื้อหนังสกปรก ร้อนจนเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดเต็มศีรษะ น่าสงสารมากอย่างเห็นได้ชัด“เมืองหลวงอากาศบ้านี่! เหตุใดถึงร้อนเพียงนี้!”หลิวเกินเซิงปาดเหงื่อเม็ดใหญ่เต็มศีรษะ ปากบ่นงึมงำแดนเหนือยังปกคลุมไปด้วยหิมะ อากาศหนาวพื้นเย็น เมืองหลวงเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม หญ้างอกงามสกุณาโบยบินหลินเกินเซิงเองก็เป็นคนยากจน ค้าขายเล็กน้อยที่แดนเหนือ เงินในมือก็มีไม่กี่อีแปะ บนตัวสวมเสื้อหนังเพียงตัวเดียวอุณหภูมิของเมืองหลวงสูงมาก ไม่สามารถสวมเสื้อหนังได้แล้วหลิวเกินเซิงวางแผนซื้อผ้าหนึ่งพับ ให้ตนเองและคนในครอบครัวทำเสื้อผ้าบางๆ สวมใส่ปรากฏว่า หลิวเกินเซิงเดินมาหลายร้านแล้ว เพียงผ่านเข้าประตูยังไม่ทันแนะนำตัว ก็ถูกลูกจ้างใช้สายตาหมิ่นแคลนมองคนไล่ออกมาแล้ว“เมืองหลวงนี้...ก็มิใช
หลิวเกินเซิงเผชิญหน้ากับเทพเจ้าแห่งความตายซูเฟิ่งหลิง ยังมีใบหน้าเจ้าเล่ห์ของหลี่หลงหลิน ไม่กล้าขัดขืนอย่างแท้จริงเขาทำได้เพียงยอมจำนน เดินมาที่ชั้นวางของอย่างเชื่อฟังหา?หลิวเกินเซิงยื่นมือไปลูบผ้า รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างผ้านี้ทออย่างละเอียด มิใช่สินค้ามีตำหนิมองจากการทอดูแล้ว เป็นของดีจะต้องเทียบผ้าซงเจียงได้เป็นแน่หลิวเกินเซิงว้าวุ่นภายในใจในเมื่อมิใช่สินค้ามีตำหนิ น่ากลัวว่าตนเองต้องถูกกรรโชกเงินมากเป็นแน่!ครั้งนี้ ตนเองต้องล้มละลายแน่แล้ว!เสียงหลิวเกินเซิงสั่นเครือ “องค์ชายเก้า ผ้านี้ต้องจ่ายมากน้อยเพียงใด?”หลี่หลงหลินตอบ “แปดสิบอีแปะ!”หลิวเกินเซิงได้ยินราคา ทั้งตัวคนล้วนตะลึงงันเป็นไปได้เยี่ยงไร?เมื่อครู่เขาไปถามร้านอื่น แม้แต่ผ้าคุณภาพต่ำที่สุด หนึ่งผืนก็ราคาหนึ่งร้อยอีแปะแล้วยิ่งไปกว่านั้นคุณภาพผ้าผืนนี้ดีมากเพียงนี้ อย่างน้อยราคาก็ต้องสองร้อยอีแปะปรากฏว่าขายเพียงแปดสิบอีแปะ?ตนเองมิได้เข้าใจผิดกระมัง?หลิวเกินเซิงสงสัยว่าตนเองฟังผิดไป “เท่าใดนะ? แปดสิบตำลึง?”หลี่หลงหลินหลุดหัวเราะออกมาแล้ว “เจ้าคนต่างถิ่น ใช่หรือไม่ว่าฟังภาษากลางไม่เข้าใจ! แปดสิ
“ผ้าดีเพียงนี้ ขายเพียงแปดสิบอีแปะ ซื้อได้ก็ได้กำไรแล้ว!”“ผลประโยชน์นี้ไม่ตักตวงไม่ได้แล้ว!”“พอดีเลย พวกเราล้วนต้องซื้อผ้าตัดชุดใหม่!”“ทุกคนไปด้วยกันเถอะ!”คนพื้นเพเดียวกันเดินตามหลังหลิวเกินเซิง เดินทางไปยังร้านขายผ้าสกุลซูพร้อมกันณ จวนสกุลซูลั่วอวี้จู๋เพิ่งหลับไปได้ไม่นาน ก็ตกใจตื่นขึ้นมาแล้วไม่รู้เพราะสาเหตุใด หนังตานางกระตุกไม่หยุด รู้สึกกระวนกระวายภายในใจ คล้ายกำลังจะมีเรื่องเกิดขึ้นแล้วตอนนี้เอง เสียงตะโกนดังขึ้นหน้าประตู “ฮูหยินน้อย เกิดเรื่องแล้ว!”ลั่วอวี้จู๋รีบลุกขึ้นจากเตียง ผลักประตูเปิดออก พบว่าเป็นลูกจ้างส่งผ้าของร้านขายผ้าสกุลซู“เกิดเรื่องใด? อย่าลนลาน! พูดช้าๆ!”ลั่วอวี้จู๋สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ตั้งสมาธิสีหน้าลูกจ้างตกตะลึงรับมือไม่ทัน “ฮูหยินน้อย เมื่อครู่ข้าไปส่งผ้าที่ร้าน บังเอิญพบคุณหนูใหญ่และองค์ชายเก้าบังคับซื้อบังคับขาย...”เพียงลั่วอวี้จู๋ได้ยิน ตกตะลึงสีหน้าเผือดซีด “ถึงขั้นมีเรื่องนี้?”ลูกจ้างพูดอย่างมั่นใจ “ข้าไม่มีวันมองพลาด! คุณหนูใหญ่ถือหอก ขวางประตูไว้! ลูกค้าคนนั้นตกใจแทบแย่แล้ว คุกเข่าขอความเมตตาบนพื้น....”“แย่แล้ว...แย
ซูเฟิ่งหลิงถลึงตามองหลี่หลงหลิน แล้วกัดฟันสีเงินของนางเจ้าคนสารเลวนี่ ต้องเป็นตัวซวยแน่ๆ!อยู่กับเจ้าทีไร ไม่เคยมีเรื่องดีเลย!หลี่หลงหลินยืนขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ ท่านอย่าโกรธไปเลยนะ! เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของซูเฟิ่งหลิง ข้าสั่งให้นางปิดร้านเอง! ความผิดทั้งหมด ข้าหลี่หลงหลินจะเป็นผู้รับผิดชอบเองขอรับ!”ซูเฟิ่งหลิงเหลือบมองหลี่หลงหลินด้วยความประหลาดใจเฮอะ!ถือว่าเจ้ายังมีจิตสำนึกที่ดี!ลั่วอวี้จู๋ตะลึงงัน แววตาทั้งคู่จ้องมองไปที่หลี่หลงหลิน แล้วกล่าวด้วยความไม่เข้าใจ “องค์ชายเก้า เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้?”หลี่หลงหลินก็พูดเสียงเรื่อยเฉื่อย “ช่วงเวลาพิเศษ ก็ต้องทำเรื่องที่พิเศษ! สถานการณ์ของตระกูลซูมาถึงจุดที่ร้ายแรงมาก! จำเป็นต้องใช้วิธีการที่คาดไม่ถึงเพื่อทำลายสถานการณ์นี้ขอรับ!”ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วอันงดงามของนางพร้อมกล่าวว่า “ทำลายสถานการณ์ที่เจ้าว่าคือการบังคับให้ซื้อหรือ?”หลี่หลงหลินพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ใช่แล้ว”ลั่วอวี้จู๋แค่นเสียงเย็นชากล่าวว่า “แล้วการค้าขายเช่นนี้ องค์ชายเก้าหาเงินได้เท่าไร?”หลี่หลงหลินก็หันไปพูดกับซูเฟิ่งหลิง “เอาเงินที่ขา
เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างส่งเสียงฮือฮาผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนหาใช่จำนวนน้อยๆ ไม่!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาเจ้ากรมกลาโหมเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมเห็น ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนนี้คือภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวง หากจัดการไม่เหมาะสม ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนก่อการจลาจลขึ้น เกรงว่า...”เจ้ากรมกลาโหมไม่กล้ากล่าวอะไรต่อหากเขากล่าวอะไรต่อไปอีก จะต้องทรงพระพิโรธเป็นแน่ แต่ก็จำเป็นต้องทูลเตือนฝ่าบาท ไม่ว่าก่อนหน้านี้หลี่หลงหลินจะเคยทูลรับรองสิ่งใดต่อหน้าฝ่าบาทก็ตาม ก็จำเป็นต้องทำให้ฝ่าบาททรงตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนส่วนใหญ่เป็นพวกที่ควบคุมได้ยาก คนเหล่านี้รวมตัวกันอยู่นอกเมืองหลวงได้สร้างผลกระทบเลวร้ายไม่น้อยแล้ว หากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีปลุกปั่น ย่อมเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เป็นแน่!แม้ว่าตอนนี้จางไป่เจิงจะนำทัพกลับราชสำนักแล้ว กำลังทหารในเมืองหลวงจะเข้มแข็ง ก็ยังคงเป็นปัญหาที่จัดการได้ยากอยู่ดีเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกัน“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตาของแคว้นต้าเซี่ย โปรดอย่าได้ทรงประมาทเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ขณะนี้
“อะไรนะ!”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง!เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลี่หลงหลินจะกล่าววาจาเหลวไหลถึงเพียงนี้ นี่มันยิ่งกว่าการเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเสียอีก! ยามนี้ราษฎรยากจนถึงขั้นไม่มีปัญญาซื้อหาธัญญาหาร แล้วจะมีเนื้อที่ไหนให้กินกัน?เจ้ากรมคลังลดเสียงลง กล่าวว่า “ฝ่าบาท วาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาจากโอษฐ์ขององค์รัชทายาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ทีแรกกระหม่อมคิดว่าเป็นเพราะตนเองตาฝ้าฟางไป แต่ฎีกาหลายฉบับล้วนรายงานตรงกัน เกรงว่าวาจานี้คงเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสจริงๆ...”เหล่าขุนนางต่างส่งเสียงฮือฮาคาดไม่ถึงว่าหลี่หลงหลินจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!ไม่เพียงแต่สร้างความเยือกเย็นในใจของราษฎร ยังสร้างความเยือกเย็นในใจของขุนนางในราชสำนักอีกด้วย นี่คือการกระทำชั่วร้ายที่ยากจะสาธยายให้หมดสิ้น อาลักษณ์จะต้องบันทึกเรื่องนี้ลงในพงศาวดารเป็นแน่ ทำให้ชื่อเสียงของหลี่หลงหลินฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้หวู่ส่ายพระพักตร์ ทรงครุ่นคิดในพระทัยไม่ใช่ เจ้าเก้าไม่น่าจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้ อย่างน้อยในเมืองหลวง ราษฎรส่วนใหญ่ก็เคยได้รับความเมตตาจากเขา หรือว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดง?ฮ่องเต้หวู่ตรัสเสียงเย็น “
ณ ท้องพระโรงบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างสงบเสงี่ยม ก้มหน้าคารวะถวายบังคมฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรกวาดสายตาไปยังหมู่ขุนนาง พลางตรัสเรียบเรื่อย “เหล่าขุนนางทุกท่าน หากมีเรื่องก็กราบทูล หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุมเถิด”นับตั้งแต่หลี่หลงหลินเดินทางไปยังตงไห่ ราชสำนักก็ดูสงบขึ้นไม่น้อย ฮ่องเต้หวู่ซึ่งแต่เดิมก็เอนเอียงไปทางเก็บตัวเงียบๆ ก็เริ่มชินกับจังหวะสงัดเช่นนี้ ยิ่งตอนนี้จางไป่เจิงนำทัพกลับสู่เมืองหลวง ปัญหากำลังพลไม่พอในเมืองหลวงก็คลี่คลายลง บรรดาขุนนางที่เคยซ่องสุมคิดร้ายในเงามืด ก็พากันลดราวาศอกแต่แล้ว เจ้ากรมคลังก็ก้าวออกมา สีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่เห็นเป็นกรมคลัง จึงขมวดคิ้วเบาๆ กล่าวว่า “ว่ามา”แม้ปัญหาเรื่องทหารจะคลี่คลาย แต่เงินในท้องพระคลังก็ยังร่อยหรอ หากกรมคลังเสนอฎีกาเมื่อใด มักไม่พ้นเรื่องเงินไม่พอใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากลัดกลุ้มมาเนิ่นนาน เจ้ากรมคลังกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ขณะนี้เขตตงไห่ประสบภาวะขาดแคลนเสบียงจนเกิดทุพภิกขภัย ราษฎรอดอยากปากแห้ง ร้องทุกข์ระงม แต่ละเขตในตงไห่ต่างก็ส่งฎีกาขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก...”ฮ
กงซูหว่านมองดูแบบร่าง โครงสร้างเรียบง่ายมาก แต่นางไม่รู้ว่าควรจะเรียกมันว่าอะไรหลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือกระป๋อง”“กระป๋อง? มันสามารถถนอมอาหารได้หรือเพคะ?”หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย “แน่นอน หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม แม้เวลาจะล่วงเลยไปแปดปี สิบปีก็ยังไม่เสีย”“นานขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ?”กงซูหว่านเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินในความเข้าใจของกงซูหว่าน การเก็บรักษาอาหารได้นานสักไม่กี่เดือนก็ถือว่าน่าทึ่งแล้วหลี่หลงหลินยิ้มบางๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของกระป๋องยังเล็กกระทัดรัด เหมาะแก่การพกพาในยามออกศึกยิ่งนัก”“หากพี่สะใภ้รองสามารถทำมันขึ้นมาได้ ข้าก็ตั้งใจจะเปิดโรงงานกระป๋องที่ตงไห่ แปรรูปปลาหวงฮื้อใหญ่จำนวนมหาศาลที่จับขึ้นมาโดยเฉพาะ”หลี่หลงหลินยิ้มบาง หากผลิตกระป๋องได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องหวั่นไหวต่อภัยแล้งและความอดอยากอีกต่อไปกงซูหว่านยังคงตกตะลึง “โรงงานกระป๋องหรือเพคะ? ถึงข้าจะทำตามแบบได้เป๊ะๆ แล้วจะไปหาคนงานจากที่ใด?”ยามนี้ชาวเมืองตงไห่ต่างก็แย่งกันออกทะเลหาปลา กำลังคนขาดแคลนเป็นอย่างยิ่งหลี่หลงหลินตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ให้ชาวตงไห่เขาหาปลากันต่อไ
วันต่อมา ห้องหนังสือจวนอ๋องหลี่หลงหลินยกมือนวดหว่างคิ้ว มือวาดบางอย่างบนกระดาษกงซูหว่านขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “องค์ชาย หม่อมฉันอิงตามวิธีของท่านแล้ว วันนี้ตั้งใจไปตั้งร้านแผงลอยในบริเวณคนพลุกพล่านเป็นพิเศษ เผยแพร่วิธีทำน้ำแข็งออกไป เหล่าราษฎร์สามารถใช้งานได้ ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี เพียงแต่บัดนี้เกลือหมางเซียวในร้านขายยาทุกแห่งของตงไห่ไม่เพียงพอ”หลี่หลงหลินพยักหน้า “เผยแพร่ออกไปก็ดีแล้ว เช่นนี้เนื้อปลาของเหล่าราษฎร์ก็สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ไม่ต้องสิ้นเปลือง”“พี่สะใภ้รองเหนื่อยแล้ว หากนี่คือเมืองหลวง เพียงตีพิมพ์เรียงความในหนังสือพิมพ์ก็เพียงพอแล้ว แต่อยู่ที่ตงไห่ยังต้องให้พี่สะใภ้ออกแรงเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเอง”ภายในคำพูดหลี่หลงหลินเปี่ยมความห่วงใย อย่างไรเสียกงซูหว่านก็เป็นสตรีมีพรสวรรค์ไม่ออกนอกบ้าน อยู่แต่ในห้องหอ จู่ๆ ขอให้นางไปสอนวิธีทำน้ำแข็งแก่ราษฎร์ ช่างทำให้อึดอัดคับข้องใจโดยแท้แต่หลี่หลงหลินคิดไปคิดมา ในบรรดาพี่สะใภ้มีเพียงพี่สะใภ้รองเข้าใจวิธีใช้เกลือหมางเซียวทำน้ำแข็ง ทำได้เพียงมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กงซูหว่านหัวเราะเบาๆ “ไม่ลำบากเพคะ จะ
ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่งโจรสลัดแคว้นโวกั๋วและชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเป็นปัญหาแถบชายแดนต้าเซี่ยมานานนับร้อยปี ไม่ใช่ปัญหาที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายมองออกว่าครั้งนี้เจตจำนงของหลี่หลงหลินยิ่งใหญ่อย่างมาก!หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “หากต้องการกำจัดปัญหาภายนอกจะต้องกำจัดปัญหาภายในก่อน หากต้องการเดินทางบนมหาสมุทร จะต้องจัดการปัญหาตรงหน้าให้เรียบร้อย หาไม่แล้วแผนการเดินเรือจะต้องได้รับผลกระทบแน่”“เป้าหมายสำคัญในการมาตงไห่ครั้งนี้คือพัฒนาศาสตร์ต่อเรือของต้าเซี่ย บัดนี้เรือเหล่านี้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการการเดินทางไกลได้ ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของเรือต้าเซี่ยก็เป็นเหตุผลที่โจรสลัดแคว้นโวกั๋วตงไห่สร้างความวุ่นวาย ได้รับผลประโยชน์มากมายในสงครามทางทะเล ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถกวาดล้างโจรสลัดแคว้นโวกั๋วที่บุกมาในคราวเดียวได้”“หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป โจรสลัดแคว้นโวกั๋วก็จะยิ่งกำเริบเสิบสาน อาละวาดอย่างไร้ขอบเขตในทะเลตงไห่ ราษฎร์ตงไห่ก็จะได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก!”“ดังนั้นตราบใดที่สามารถเพิ่มระดับการต่อเรือของต้าเซี่ยได้ โจรสลัดแคว้นโวกั๋วย่อมหายไป ชนิดที่ว่าปราบตงอิ๋
ปากแดงของเหล่าสะใภ้ขยับเบาๆ ดวงตาสะท้อนความแปลกใจ “เป้าหมายคือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่?”แม้เหล่าสะใภ้ไม่รู้ว่ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่คือที่ใด แต่ได้ยินหลี่หลงหลินอธิบาย จะต้องเป็นสถานที่อันงดงามแน่!ซูเฟิ่งหลิงเอ่ยถาม “องค์ชาย มหาสมุทรกว้างใหญ่มากถึงเพียงนี้ เป้าหมายของพวกเราคือที่ใด?”กงซูหว่านพยักหน้า “ใช่แล้วองค์ชาย ยิ่งไปกว่านั้นระดับการเดินเรือในตอนนี้มากที่สุดก็ไปได้ถึงตงอิ๋ง หากยังไปทางทิศตะวันออก กลับยังไม่มีตัวอย่างมาก่อน”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เป้าหมายของพวกเราก็คือทวีปใหม่! ต้าเซี่ยและทวีปใหม่ห่างกันเพียงมหาสมุทรกั้น ลักษณะทางภูมิศาสตร์ได้เปรียบโดยธรรมชาติ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือคิดหาทางพัฒนาเรือของต้าเซี่ย ขนวัวม้าสัตว์ใช้แรงงานจำนวนมากเพียงพอไปยังทวีปใหม่”“ขอเพียงมีวัวม้าสัตว์ใช้แรงงาน ต้องการผืนดินมากน้อยเพียงใดก็ย่อมได้ มีผืนดินนับพันลี้ให้ราษฎร์ได้ใช้!”เหล่าสะใภ้ได้ยินภาพที่หลี่หลงหลินอธิบาย ใบหน้าเผยรอยยิ้มเปี่ยมความหวังออกมาสถานที่ที่ไม่มีสงครามและไม่มีความหิวโหยอยู่ห่างเพียงมหาสมุทรกั้น กำลังโบกมือต้อนรับตนเองหลี่หลงหลินเปล่งเสียงเคร่งขรึม “ขอเพียง
“เป็นไปไม่ได้! ดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ ไฉนเลยจะไม่มีคน?”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เหตุที่มีคนน้อยมีเพียงข้อเดียว ตอนนี้พวกเขายังกินไม่อิ่ม”ถ้อยคำนี้ของหลี่หลงหลินดุจฟ้าผ่ากลางวันแสกๆเหล่าพี่สะใภ้ได้ฟังแล้ว คิดว่านี่คล้ายเรื่องเพ้อฝันยามราตรี ดินแดนอุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนี้ ถึงขั้นยังมีคนกินข้าวไม่อิ่มท้องอีกหรือ?กงซูหว่านมองหลี่หลงหลินด้วยความตกตะลึง เอ่ยถามว่า “องค์ชาย ท่านไม่ได้กำลังล้อพวกเราเล่นหรอกกระมัง? อิงตามคำพูดของท่าน ทวีปใหม่จะต้องอุดมสมบูรณ์อย่างมากแน่ เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์คนกินข้าวไม่อิ่มท้องได้เล่า?”“ใช่แล้วองค์ชาย หม่อมฉันไม่เชื่อ”“หรือว่าดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่สามารถเพาะปลูกได้กันเล่า?”เหล่าพี่สะใภ้ฟังจนอารมณ์ดำดิ่งลงไป ต่างขอให้หลี่หลงหลินพูดออกมาให้ชัดเจน หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “ไม่ใช่พวกเขาไม่เพาะปลูก ทวีปใหม่ดีมากเยี่ยงไร มีเพียงข้อเดียวที่ไม่ดี ก็คือไม่มีวัวไม่มีม้า ไม่มีสัตว์ใช้แรงงาน”ดวงตาของเหล่าสะใภ้ทอประกายระยับ ประคองใบหน้างดงามรับฟังเงียบๆ“ดังนั้นตอนนี้พวกเขายังหยุดอยู่ที่ใช้มีดถางป่าเผาไร่เพาะปลูก ใช้วิธีการพื้นฐานที่สุดในการ
“ตงอิ๋ง? ก็แค่แคว้นเล็กๆ เท่านั้น ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง!”สายตาหลี่หลงหลินเผยแววหมิ่นแคลน“ตงอิ๋งเล็กๆ เป็นเพียงเกาะแห่งหนึ่งเท่านั้น เดิมทีก็ไม่คู่ควรต่อคำว่าทวีปใหม่สองคำนี้”ทุกคนตกตะลึงภายในความรู้ของเหล่าสะใภ้ ตงอิ๋งก็คือจุดสิ้นสุดของมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง เหนือตงอิ๋งก็ไม่มีอันใดอีกคำพูดของหลี่หลงหลินทำให้ความรู้ที่พวกนางมีอยู่เปลี่ยนไปทั้งหมด!กงซูหว่านพูดเสียงสั่นๆ “องค์ชาย ความนัยของท่านคือนอกจากตงอิ๋งแล้วยังมีทวีปใหญ่อีกหรือ?”หลี่หลงหลินพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เพียงมีทวีปใหญ่ แต่ยังเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์อย่างมากอีกด้วย!”พูดไป สายตาหลี่หลงหลินก็ทอดมองไปยังทิศทางหนึ่งกงซูหว่านพูดด้วยความแปลกใจ “อุดมสมบูรณ์อย่างมาก? อุดมสมบูรณ์มากเพียงใด เทียบกับต้าเซี่ยแล้วเป็นเช่นไร?”สายตาทุกคนล้วนเปี่ยมความแปลกใจ วางตะเกียบและชามข้าวในมือลงรับฟังหลี่หลงหลินเล่าเรื่องทวีปใหม่เงียบๆหลี่หลงหลินส่ายหน้าและพูดว่า “แผ่นดินต้าเซี่ยกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ มีผลผลิตและทรัพยากรมากมาย เป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง แต่ทวีปใหม่มีที่ราบมาก แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ทอดยาวนับพันลี้ ทุกหนแห่งล้วนค