เซี่ยเหอถอนหายใจยาว “เรื่องมาถึงขั้นนี้ สถานการณ์พลิกผันไปแล้ว จะทำกระไรได้ นอกจากหวังว่าองค์รัชทายาทจะทรงเมตตา มิเอาเรื่องพวกเราสองคน”“เฮ้อ! มิคิดเลยว่าเพียงครึ่งวัน อ๋องฉีจะพ่ายแพ้ราบคาบ สถานะขององค์รัชทายาทในราชสำนักคงไม่มีผู้ใดสั่นคลอนได้แล้ว”หลินซีรู้สึกเสียใจเล็กน้อย หากตอนนั้นเขาฟังคำของหลินชิงเหยา รีบตีตัวออกห่างจากอ๋องฉีแต่เนิ่น ๆ สถานการณ์ตอนนี้คงมิน่าอึดอัดเช่นนี้อ๋องฉีสิ้นอำนาจแล้ว ในฐานะขุนนางคนสนิท เขาจะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไรเมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินซีก็อดมิได้ที่จะถอนหายใจยาวเซี่ยเหอจึงตบบ่าเขาและเอ่ยด้วยความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง “ใต้เท้าหลิน ในความเห็นของข้า ท่านรีบกลับไปคืนดีกับบุตรสาวของท่านเถิด ตอนนี้นางเป็นคนขององค์รัชทายาท สุดท้ายท่านก็จะมิต้องสูญเสียทุกสิ่ง”เมื่อได้ยินดังนั้น หลินซีก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ขอบคุณใต้เท้าเซี่ยที่เตือน ข้าน้อยขอลา”เมื่อพูดจบ หลินซีก็หันหลังเดินออกไปและตรงไปยังตำหนักบูรพาหลังจากเซี่ยเหอออกมาจากวัง เซี่ยหลานก็เดินเข้ามาพร้อมกับมือที่ไพล่หลังนางเบะปากพึมพำ “ท่านปู่ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ตอนนี้
ฉินซูหัวเราะเยาะ มิเชื่อแม้แต่น้อยคูมู่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พูดไปก็แปลก ตอนที่ข้าน้อยเพิ่งเข้าสู่ยุทธภพก็ได้ยินชื่อเสียงอันเกรียงไกรของเจ้าสำนักหอดารารักษ์มาก่อน แต่คิดมิถึงว่านางจะยังดูเยาว์วัยเช่นนี้!”“เจ้าอยู่ในยุทธภพมาอย่างน้อยสามสี่สิบปีแล้วมิใช่หรือไร? เจ้าสำนักหอดารารักษ์คงเปลี่ยนคนไปนานแล้วกระมัง”“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เจ้าสำนักหอดารารักษ์มิเคยเปลี่ยนคนเลย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าน้อยประหลาดใจเช่นนี้”ฉินซูขมวดคิ้ว “เจ้าต้องการจะบอกว่า ซ่างกวนอวิ๋นซีเป็นเจ้าสำนักหอดารารักษ์ตั้งแต่หลายสิบปีก่อนแล้วกระนั้นรึ?”คูมู่พยักหน้าหนักแน่น “อาจารย์อาของข้าน้อยเคยบอกว่า เขามีสายสัมพันธ์บางอย่างกับเจ้าสำนักหอดารารักษ์ ด้วยสิ่งแทนตัวของเขา ซ่างกวนอวิ๋นซีจึงได้ลงมือช่วยพวกเรากำจัดกระแสลมปราณนั้นออกไปพ่ะย่ะค่ะ”“องค์รัชทายาท อาจารย์อาของข้าน้อยปลีกวิเวกมากว่ายี่สิบปี ตัดขาดจากภายนอก บ่งบอกได้ว่าเขาได้รู้จักกับซ่างกวนอวิ๋นซีก่อนที่จะปลีกวิเวก ดังนั้นอายุของซ่างกวนอวิ๋นซีก็น่าจะแก่กว่าพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินซูเบิกตากว้าง สีหน้าเหลือเชื่อสุดขีดแก่กว่าคูมู่ แต่รูปลักษณ์
ดวงตาของเหลยเจิ้นส่องประกาย จ้องมองฉินซูด้วยสายตาที่บริสุทธิ์ “ดีมาก ถ้าเช่นนั้นขอถามองค์รัชทายาท ตอนนี้ท่านอยู่ในระดับใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูถามกลับ “ระดับของข้าสำคัญด้วยหรือ?”“สำคัญพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยประเมินว่าตนเองมีพลังมิน้อย แต่กลับมองระดับขององค์รัชทายาทมิออก ตอนแรกคิดว่าองค์รัชทายาทเป็นเพียงคนธรรมดาที่มิรู้วรยุทธ์ แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าข้าน้อยคิดผิด”“แต่ระดับของข้าเกี่ยวกระไรกับการที่ท่านจะไปช่วยเสวี่ยเจี้ยนเล่า?”เหลยเจิ้นหัวเราะ “องค์รัชทายาท ในมิช้าพวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน คนในครอบครัวเดียวกันมีสิ่งใดต้องพูดคุยกันตรง ๆ หากท่านมิยอมบอกพลังของท่านเอง แล้วข้าน้อยจะวางใจยกเสวี่ยเจี้ยนให้ท่านได้อย่างไร”ฉินซูถามกลับ “แล้วตอนนี้ท่านอยู่ในระดับใด?”“ตอนนี้ข้าน้อยบอกได้เพียงว่า ข้าน้อยอยู่เหนือระดับสวรรค์”“เหนือระดับสวรรค์คือกระไรเล่า?” ฉินซูถามเหลยเจิ้นส่ายหน้าน้อย ๆ “ดูเหมือนว่าท่านเองก็มิเหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้น!”“หา? เช่นนั้นท่านก็มิเหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์หรือ?”“มิเหมือน แต่ข้าน้อยก็มิเหมือนกับท่าน”คำพูดนี้ทำให้ CPU ของฉินซูแทบจะระเบิด อดมิได้ที่จะพูดปร
ในขณะนั้น ทั้งภายในและภายนอกเมืองหลงเฉิง ผู้คนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในราชสำนักเมื่อเช้านี้ในเวลาหลังอาหารอ๋องทั้งสามถูกถอดจากตำแหน่ง เสียนเฟยหลบหนีความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทผู้รอวันปลด!ในชั่วขณะหนึ่ง ผู้คนต่างมององค์รัชทายาทผู้รอวันปลดด้วยสายตาที่แตกต่างออกไปต่างพูดกันว่า องค์รัชทายาทจะต้องเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปของราชวงศ์ต้าเหยียนอย่างแน่นอนในฝูงชน มีสตรีที่สวมอาภรณ์เนื้อหยาบและปกคลุมใบหน้า เมื่อได้ยินเช่นนี้แววตาอาฆาตก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจากนั้นนางก็เดินทางมาถึงหน้าจวนอ๋องมู่ที่อยู่ชานเมืองหลงเฉิงด้วยความระมัดระวังตัวเป็นพิเศษองครักษ์เฝ้าประตูหลายคนเห็นนางก็ต่อว่าทันที “ขอทานมาจากไหน รีบไสหัวไป มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกข้ามิไว้หน้า”สตรีผู้นั้นหยิบแผ่นหยกออกมาจากอกเสื้อแล้วโยนออกไป “นำสิ่งนี้ไปให้ท่านอ๋องมู่ บอกว่าข้ารอเขาอยู่ที่หน้าประตู!”องครักษ์คนหนึ่งรับแผ่นหยกมา เมื่อเห็นว่าแผ่นหยกมีคุณภาพดี ก็มิกล้าประมาท“เจ้ารอเดี๋ยว ข้าจะไปรายงานให้”เขากำแผ่นหยกแล้วเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วเมื่อถึงหน้าห้องตำรา เขาก็พูดด้วยความเคารพ “ท่านอ๋อ
ฉินอู๋ฉางถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ยอดฝีมือสองคนที่ข้าส่งไป เกรงว่าคงจะชะตาขาดเสียแล้ว มิเช่นนั้นฉินซูจะกลับมาอย่างปลอดภัยได้อย่างไร! เป็นข้าเองที่ประเมินฉินซูต่ำไป ยอดฝีมือเบื้องหลังเขาต้องมีฝีมือมิธรรมดาเป็นแน่!”“แล้วต่อไปจะทำอย่างไร เซียวเอ๋อร์ถูกลดฐานะเป็นสามัญชน ซ้ำยังอยู่ระหว่างถูกส่งตัวไปยังเกาะร้างทะเลตะวันออก สิ่งสำคัญที่สุดคือการช่วยเขากลับมา”“มิได้ หากตอนนี้ส่งคนไปช่วยเขา ฉินอู๋ต้าวจะต้องสั่งให้สำนักหอดูดาวหลวงตรวจสอบอย่างละเอียด หากถูกสำนักหอดูดาวหลวงจับตามอง ทุกสิ่งที่พวกเราทำมาก่อนหน้านี้จะสูญเปล่า”สีหน้าของเสียนเฟยสิ้นหวัง “แล้วจะทำอย่างไรเพคะ คงมินั่งดูดายปล่อยให้ลูกของเราตายบนเกาะร้างหรอกใช่หรือไม่?”ฉินอู๋ฉางปลอบโยน “เจ้าอย่ากังวลจนเกินไป แม้ว่าเกาะหลินหยาจะกันดารแห้งแล้ง แต่เซียวเอ๋อร์จะมิตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต อย่างไรแล้วฉินอู๋ต้าวก็เพียงต้องการกักบริเวณเขา หากต้องการเอาชีวิตเขา ตอนนั้นคงสั่งประหารไปแล้ว”“เขามิทำเช่นนั้น แต่ฉินซูเล่าเพคะ? เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดเกลียดเซียวเอ๋อร์จนอยากจะสับเป็นพัน ๆ ชิ้น เขาจะมิยอมรามือแน่”“องค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดเพี
เมื่อเห็นว่าฉินซูเอาใจตนเช่นนี้ หลินชิงเหยาก็ดีใจอยู่ลึก ๆ นางยังกังวลว่าหลังจากมิได้พบกันมาครึ่งเดือน ฉินซูจะเย็นชาต่อนางริมสระน้ำพุร้อนในเรือนหลังตำหนักบูรพามีเสื้อผ้ากระจัดกระจายอยู่ฉินซูกอดหลินชิงเหยาพลางแช่ในน้ำพุร้อน มิรู้สึกถึงความหนาวเย็น กลับรู้สึกว่าเลือดลมสูบฉีดหลังจากช่วงเวลาแห่งความรักผ่านไปหลินชิงเหยาก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ “องค์รัชทายาท มีเรื่องหนึ่งที่หม่อมฉันอยากจะขอความเห็นจากท่านเพคะ”ฉินซูจูบลงบนใบหน้าแดงระเรื่อของนาง และเอ่ยถาม “เรื่องกระไร?”“ก่อนที่ท่านจะเสด็จกลับมา ท่านพ่อมาหาหม่อมฉัน ท่านพ่อ ท่านพ่อบอกว่าให้หม่อมฉันหาเวลาไปเยี่ยมบ้าน”“เขาต้องการคืนดีกับเจ้า ถือเป็นเรื่องดี ไยต้องขอความเห็นจากตัวข้า”“ก่อนหน้านี้ท่านพ่อทำงานรับใช้อ๋องฉีมาโดยตลอด หากมิใช่เพราะอ๋องฉีสิ้นอำนาจ มีหรือท่านพ่อจะสำนึกได้ แต่ถึงอย่างไร ท่านพ่อก็เป็นบิดาของหม่อมฉัน และหม่อมฉันก็มิอยากทำให้องค์รัชทายาทเสียพระทัย ดังนั้น…”หลินชิงเหยาพูดจาวกวน สายตาที่สับสนของนางทำให้ฉินซูรู้สึกสงสารฉินซูยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยขัดจังหวะนาง “เสนาบดีหลินคือบิดาของเจ้า ตอนนี้เขาต้องการคืนดีกับเจ้า เจ้าจะล
“ไม่มีกระไร ข้าแค่อยากจะเข้าใจว่า เหตุใดจู่ ๆ หอดารารักษ์แห่งเป่ยเยี่ยนจึงส่งคนมาช่วยเหลือองค์รัชทายาท? หรือว่า… องค์รัชทายาทมีความลับบางอย่างกับหอดารารักษ์?”เหลยเจิ้นยิ้มเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงกังวลเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เหตุผลที่เจ้าสำนักหอดารารักษ์ทำเช่นนี้ แท้จริงแล้วต้องการให้องค์รัชทายาทไปเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่ของหอดารารักษ์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? ไปเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่ของหอดารารักษ์?”ฉินอู๋ต้าวแสดงสีหน้าตกตะลึง จากนั้นจึงถามต่อด้วยความคลางแคลง “นี่มันเรื่องอันใดกัน?”เหลยเจิ้นอธิบาย “ช่วงก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์สิ้นชีพด้วยน้ำมือขององค์รัชทายาท ข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริง ดังนั้นซ่างกวนอวิ๋นซีจึงบีบบังคับให้องค์รัชทายาทไปเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่ของนางพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินอู๋ต้าวก็ตกใจมากพลังของบุตรแห่งนักปราชญ์หอดารารักษ์มิเป็นที่กังขา แต่กลับตายด้วยมือของฉินซู นั่นหมายความว่า พลังของฉินซูอยู่เหนือกว่าบุตรแห่งนักปราชญ์ผู้นั้นหรือ?แต่ฉินซูหาได้ผู้ใดสอนวรยุทธ์ให้ไม่ แล้วเหตุใดจึงเก่งกาจเช่นนี้?ยิ่งไปกว่านั้น ฉินซู
“ข้าน้อยรับทราบ โปรดวางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”ฉินอู๋ต้าวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามว่า “ศิษย์ของเจ้าคงจะสืบหาตัวตนของคนเบื้องหลังองค์รัชทายาทได้แล้วใช่หรือไม่? เขาเป็นใครกันแน่?”เหลยเจิ้นยิ้มอย่างขมขื่น “ฝ่าบาท เสวี่ยเจี้ยนยังมิกลับมา นางถูกซ่างกวนอวิ๋นซีจับตัวไปที่หอดารารักษ์พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? นางถูกจับตัวไป? เรื่องใหญ่เช่นนี้ ไฉนเจ้ามิบอกข้าแต่แรก!”ฉินอู๋ต้าวพูดพลางผุดลุกขึ้นยืน สีหน้าโกรธขึ้ง กล่าวต่อว่า “ข้าจะออกราชโองการ ให้กองทัพชายแดนประชิดตัวเมือง บังคับให้มู่หรงเซียวเทียนปล่อยนาง!”เหลยเจิ้นรีบโบกมือ “ฝ่าบาท โปรดเย็นพระทัยลงก่อน ซ่างกวนอวิ๋นซีเพียงต้องการใช้เสวี่ยเจี้ยนบังคับให้องค์จักรพรรดิไปที่หอดารารักษ์เท่านั้น จนกว่าจะถึงเวลานั้นเสวี่ยเจี้ยนจะมิตกอยู่ในอันตราย ยิ่งไปกว่านั้น หากนางกล้าแตะต้องเสวี่ยเจี้ยนแม้แต่ปลายผม ข้าน้อยก็มิกลัวที่จะต้องสู้จนตัวตายเพื่อช่วยเสวี่ยเจี้ยนพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็ใจเย็นลงเล็กน้อย“เช่นนั้นเจ้าก็จับตาดูให้ดี เจ้าเคยบอกว่าเสวี่ยเจี้ยนสำคัญต่อดวงชะตาของต้าเหยียนของเรา ต้องมิเกิดเรื่องใด ๆ กับนางเด็ดขาด”“ฝ่าบาท
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ