เขาแทบจะตกใจ กับคำสั่งที่กะทันหันของนาง ก่อนหน้านี้ไม่มีท่าที ที่นางจะต้องการเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่วันนี้กลับเริ่มกระสับกระส่ายจนน่าสงสัย หรือนี่เป็นวิธียั่วยวนแบบใหม่ของสตรีงั้นหรือ เขาไม่เคยเจอลูกไม้เช่นนี้มาก่อนเลย
“องค์หญิงบอกว่า… จะให้ข้าน้อย”
“เจ้าฟังไม่ผิดหรอก หลังจากปิดตำหนักแล้ว เจ้ามาหาข้าที่ห้องนอน มานอนกับข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าเหม่ออะไรกัน ไม่ได้ยินที่ข้าสั่งหรือ"
“เข้าใจแล้ว รับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อสั่งเขาเสร็จแล้ว นางก็รีบเดินเข้าไปในตำหนักทันที ด้วยท่าทางรีบร้อน กระสับกระส่าย เขาไม่รู้ว่านางเป็นอะไร แต่ท่าทางเช่นนี้ ดูไม่ปกติเหมือนวันทั่ว ๆ ไป ตอนนี้สนมอิ่นก็ไม่กล้าจะก้าวเข้ามาในตำหนัก เพราะเกรงจะติดหลุมพรางของจ้าวอันหลินอีก
“เกิดอะไรขึ้น ผ่านมาเป็นเดือนไม่แตะต้องข้าเลยสักนิด มาวันนี้กลับอยากให้ข้าไปนอนด้วย เดี๋ยวก่อน! นี่ข้าจะต้อง…ทำเช่นนั้นกับนางจริงหรือ”
อวี้หยางลืมนึกเรื่องนี้ไป แม้ว่าตลอดหนึ่งเดือนนี้เขาพบว่า นางกับเขาพูดคุยกันอย่างสนิทสนม แม้ว่าในบางวัน นางจะเรียกคณิกาชายมาหลายคน แต่กลับมิได้ให้ผู้ใดอยู่ต่อที่ตำหนัก ทุกคนมีที่พักเป็นห้องของตัวเอง แต่ก็มีเพียงเขาที่อยู่บนตำหนักกับนาง
คืนนั้น
อวี้หยางนั่งนิ่งอยู่ในห้องของตัวเองพักใหญ่แล้ว เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าเป็นครั้งแรก ในชั้นเรียนเปิดพรหมจรรย์ ของเหล่าองค์ชายเมื่อหลายปีก่อน ทั้ง ๆ ที่มันผ่านมานานแล้ว
“ให้ตายเถอะ นางก็แค่สตรีคนหนึ่งเหตุใดยังต้องกลัว ยายับยั้งการตั้งครรภ์ก็ถูกจัดเตรียมไว้แล้วมิใช่หรือ”
เขาลุกและนั่งที่เตียงมามากกว่าสามรอบแล้ว แต่ก็ยังมิกล้าเดินออกจากห้องไป จนกระทั่งด้านนอกที่เริ่มได้ยินเสียงฝนฟ้าคะนอง เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“อวี้หยาง! อวี้หยางเจ้าอยู่ที่ไหน”
เขาตกใจและรีบวิ่งไปเปิดประตู องค์หญิงวิ่งเข้ามาในห้อง พร้อมกับเสียงฟ้าร้องดัง นางปิดหูและกระโดดมากอดเขาทันที
เปรี้ยง!!!
“กรี๊ด!!!”
“องค์หญิง!”
“ไม่ ๆ ไม่เอา อย่า กรี๊ด!!!”
เสียงฟ้าร้องด้านนอกดังกว่าปกติ เขาถูกนางกอดเอาไว้แน่น จนไม่ทันได้ขยับตัว ร่างบางเบียดเขาในชุดนอน ยิ่งทำให้รู้สึกมวนท้อง จนปั่นป่วนกายล่างไปหมด
“องค์หญิง อย่าพึ่งรีบร้อน หากท่านทำเช่นนี้… ข้าจะรีบพาท่านกลับไปที่ห้อง”
“ไม่ ๆ ข้าไม่ไป คืนนี้นอนที่นี่เถอะ ผะ ผ้าห่ม เร็ว ๆ เข้า”
“เอ่อ ท่านไม่ควรรีบร้อน”
เปรี้ยง!!
“กรี๊ด!!”
นางกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง และเขาก็ถูกนางดันลงที่เตียง พร้อมกับเอาผ้าห่มมาคลุม นางนอนทับอยู่บนตัวเขาและเอามืออุดหู ในตอนนี้เขาจึงเข้าใจ จ้าวอันหลินมิได้อยากนอนกับเขา นางเพียงแค่…
“องค์หญิง ท่านกลัวฟ้าร้องงั้นหรือ”
“อื้อ ๆ”
“ท่าน… ไม่ชอบเสียงฟ้าผ่า และฝนฟ้าคะนอง”
“อื้อ ใช่แล้วมันน่ากลัว เหมือนฟ้าจะถล่ม เหมือนคืนนั้น ไม่ ๆ ข้าไม่คิด ข้าไม่เอา กอดข้าสิอวี้หยาง กอดข้าเร็ว ๆ เข้า”
นางกอดเขาแน่น เหมือนกับกลัวว่าเขาจะหนี อวี้หยางเริ่มเข้าใจแล้วว่านางแค่กลัว เพราะหัวใจขององค์หญิงที่เต้นแรงผิดปกติ บอกเขาว่านางมิได้ตื่นเต้น ที่จะได้นอนร่วมเตียงกับเขาแม้แต่น้อย แค่กลัวเสียงฝนฟ้าคะนองข้างนอกเท่านั้น
“เช่นนั้นข้าจะปิดม่านรอบเตียงก่อน ท่านจะได้ไม่เห็นแสงจากฟ้า”
“อื้อ ๆ เร็ว ๆ นะ”
เมื่อเขาลุกขึ้น นางก็เกาะที่หลังของเขาและกอดแน่น เขาปลดม่านลงและหันมาจับนาง ที่สั่นดุจลูกนกหลงฝูง ตอนนี้เองที่เขาหวั่นไหว จนรู้สึกอยากทำอย่างอื่น มากกว่าที่นางคิด
“องค์หญิง”
“ท่านรีบนอนเถอะ แล้วกอดข้าแน่น ๆ ขอเพียงข้าหลับ ก็จะไม่ได้ยินเสียงอะไร ขอเพียงแค่หลับก็พอ”
นางดึงเขามากอด อวี้หยางไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ และไม่เคยนอนกับสตรีโดยไม่แตะต้องพวกนาง แต่กับจ้าวอันหลิน เขากลับนึกอยากทะนุถนอมนาง
‘รักหยกถนอมบุปผา น้องพี่ รอวันที่เจ้ามีสตรีในใจแล้ว เจ้าก็จะเข้าใจคำเหล่านี้’
“เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ”
ทุกครั้งที่ฟ้าร้อง อันหลินจะกอดเขาแน่นขึ้น เขาเองก็จะคอยลูบหลังปลอบใจ กลิ่นเรือนผมของนางต้องจมูก ทำให้หัวใจของเขาอยู่ไม่สุข แต่ก็พยายามจะตั้งสติ แม้ว่ากายล่างจะเริ่มปวดหนึบ แต่เพราะความกลัวของนาง ทำให้เขาทำร้ายนางไม่ลง
“อวี้หยาง กอดข้าสิ”
“องค์หญิงท่านอย่าได้…. ใช้เสียงเช่นนี้ ข้าจะ…”
แต่เมื่อเขานึกย้อนกลับไป นี่มิใช่ฤดูฝนแรกเสียหน่อย หากว่าก่อนหน้านี้นางกลัว นั่นแสดงว่า นางก็คงมีบุรุษอื่นดูแลเช่นนี้ เหมือนกับที่เขาทำสินะ เพียงคิดได้แค่นั้น ความโกรธและความโมโห ก็เริ่มทำให้เขาหมดอารมณ์ไปทันที
“องค์หญิง…”
นางนิ่งไปแล้ว อันหลินหลับสนิทหลังจากนั้นไม่นาน เขาขยับตัวออกมาและห่มผ้าให้นาง
“ไม่น่าเผลอใจคิดเกินเลยกับคนเช่นเจ้าเลย ก็แค่ลูกไม้ของสตรีเท่านั้นสินะ”
แต่เขาก็จำเป็นต้องนอนร่วมเตียงกับนางไปทั้งคืน เพราะเพียงแค่ฟ้าร้อง ร่างบางก็กระตุกและคว้าหาตัวเขา อวี้หยางนอนกอดนางทั้งคืน และเผลอหลับสนิทไปพร้อมกับนาง เพราะความอ่อนเพลีย
“จะยอมให้เจ้าเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้นนะจ้าวอันหลิน ข้าไม่ชอบสตรีที่ผ่านประสบการณ์มากเช่นเจ้า มาแตะต้องตัวข้า”
สามวันถัดมา
ก๊อก ก๊อก
“องค์หญิง”
"เหตุใดคืนนี้ท่านมาช้านักล่ะ ฝนยังไม่ตกก็จริง แต่ลมแรงมาก อย่างไรคืนนี้ก็ต้องนอนกับข้า"
“พ่ะย่ะค่ะ”
อวี้หยางเดินมาดับไฟ และดึงม่านรอบเตียงของนางลง แน่นอนว่าเขากลืนน้ำลายตัวเองมาสามคืนแล้ว รวมถึงคืนนี้ด้วย เมื่อเห็นสายตาของอันหลิน ที่กลัวเสียงฝนฟ้าคะนอง เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้ และเริ่มมีวิธีที่จะทำให้นางลืม นั่นก็คือ ชวนนางคุยเรื่องอื่น
“ข้าไม่อยากนอนทับรอยผู้ใด ข้ามีศักดิ์ศรีพอเจ้าเข้าใจหรือไม่”
“แต่ว่าเรื่องนี้ พระองค์เคยตรัสเองนะพ่ะย่ะค่ะ จะเข้าทางนางเพื่อจะสืบข่าว บัดนี้ทราบแล้วว่าเป็นเจ้ากรมพิธีการผู้นั้น ที่ให้ที่หลบซ่อนอ้ายต้านเฟิง เหลือแค่ คนของเราสืบหาที่อยู่ของเขาให้แน่ชัด ก็ลงมือจับเขาได้เลย”
“ข้ารู้แล้ว แต่ข้าต้องนอนกับนางจริง ๆ น่ะหรือ”
“ท่านอ๋อง พระองค์ก็เคยทำเช่นนี้มาก่อนมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ หรือเป็นเพราะนางเป็นองค์หญิง จึงไม่กล้า”
“มิใช่เรื่องนั้นแน่นอน”
“เช่นนั้น หรือว่าพระองค์หึง ที่องค์หญิงเคยนอนกับบุรุษคนอื่นมาก่อนหน้าพระองค์”
“เรื่องนั้นข้า!”
จิ่นหลงพูดแทงใจดำเขาเข้าเต็ม ๆ การที่อยู่ใกล้ชิดจ้าวอันหลิน ได้จูบนางและพูดคุยกัน ทำให้เขาหวั่นไหวและหลงลืมแม้กระทั่งว่า มาที่นี่เพื่อสืบข่าวของกบฏในชิงโจว ตอนนี้สนมอิ่นพ้นข้อกล่าวหานี้ เพราะนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอ้ายต้านเฟิง
“ช่างเถอะ สั่งให้คนของเราถอนกำลังออก จากตำหนักพระสนมอิ่น นางไม่เกี่ยวข้อง เหลือแค่จับตามองเจ้ากรมพิธีการผู้นั้นก็พอ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ห้องบรรทม
“อวี้หยางเจ้าคิดอะไรอยู่งั้นหรือ เหตุใดจึงเหม่อลอย ไม่ชวนข้าคุยแล้วหรือ”
“ข้าไม่รู้ว่าควรจะคุยเรื่องใด”
“อืม นั่นสินะ”
“จริงสิ เหตุใดองค์หญิงถึงได้กลัว… องค์หญิง...”
นางหลับไปแล้ว คืนนี้นางหลับก่อนที่ฝนจะตก เขาจึงไม่ทันได้ถาม
“ช่างเถอะ จะหลับหรือตื่นก็คงมิได้คำตอบอยู่ดี แต่ข้าจะทนไหวได้อีกสักกี่คืนกันเล่า จ้าวอันหลิน"
ท่านอ๋องอุ้มพระชายา เข้าไปด้านในห้องนอน ซึ่งอยู่ด้านในสุด วันนี้จะไม่มีผู้ใดรบกวนทั้งคู่ เพราะจิ่นหลงและคนอื่น ๆ ถูกสั่งมาก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากเตรียมเครื่องเสวยและน้ำอุ่น บ่าวไพร่ทุกคนถูกสั่งให้อยู่นอกจวนหลักทั้งหมด “อ๊ะ เตียงอุ่นจัง”“แน่นอนว่าทุกอย่าง ล้วนถูกจัดเตรียมเอาไว้ รวมถึง…”ไหสุราดอกท้อของนาง ซึ่งอยู่ในตะกร้าที่เต็มไปด้วยช่อดอกไม้ในสวน ถูกนำมาวางไว้ข้างเตียง“สุราดอกท้อของข้า”“แม่นมแอบเอามาให้ข้า เจ้าเป็นคนหมักด้วยตัวเอง อย่างไรข้าก็ต้องลอง แต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่อยากลองสุรา แต่อยากรักเจ้าก่อน ให้สมกับที่รอคอยช่วงเวลานี้มานาน”ท่านอ๋องบรรจงประทับจุมพิต อ่อนหวานละมุนกว่าครั้งใดให้นาง และเริ่มเกลี่ยไปทั่วริมฝีปาก ก่อนจะเริ่มรุกเร้า รุนแรงและโหมกระหน่ำดุจกลองศึกที่คึกขึ้นมาไฟปรารถนาเริ่มแผดเผา จนเร่าร้อนไปทั่วทั้งจวน มือหนาปาดป่ายทุกอย่างที่ขวางหน้าออก ผิวขาวเนียนละเอียดของพระชายาตรงหน้า ยั่วหัวใจเกินจะกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนที่อัดอั้น และมิได้ระบายหลายวันนี้ออกมาหมดสิ้น“อ๊าา…เบาหน่อยเพคะ อ๊ะ!!”นางร้องเมื่ออวี้หยางเริ่มขบเม้ม ไปตามเรือนกายทุกส่วนที่เขาเข้าถึง นิ้วเริ่มสอดเข้า
แต่วันนี้เขาไม่ยอมให้นางเดินออกไปเฉย ๆ อีกแล้ว มือหนาดึงแขนนางเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้มีโอกาสเดินออกจากห้องเสวยไป“แต่วันนี้ถึงอย่างไร ก็คงจะให้เจ้าปฏิเสธไม่ได้”"ปล่อยข้านะ!"“ยอมพูดกับข้าแล้วงั้นหรือ นึกว่าจะวางท่าเป็นองค์หญิงนานกว่านี้เสียหน่อย จ้าวอันหลิน ข้ารู้ว่าข้าทำผิดต่อเจ้า แต่โกรธและลงโทษข้านานขนาดนี้ น่าจะพอแล้วกระมัง”“ปล่อยข้าลง”“ปล่อยแน่แต่มิใช่ตอนนี้”“ท่านจะทำอะไร ปล่อยข้าลงนะ!”“หากเจ้ายังดิ้นอยู่ ข้าจะจูบเจ้าจนกว่าจะเลิกโวยวาย ดูสิว่าคนในตำหนัก จะมีผู้ใดกล้าเข้ามาช่วยเจ้าบ้าง”เขาหันมาคาดโทษนาง สายตาเอาจริงของเขา ทำให้นางเงียบไปทันที และหันหน้าหนีแทนที่จะโวยวาย อวี้หยางนึกอยากพานางกลับขึ้นห้องและจัดการนางเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่นั่นมันคงจะผิดจากแผนการที่เขาวางเอาไว้เมื่อจับนางขึ้นบนหลังม้าได้ ก็รีบควบอาชาคู่กายออกจากตำหนักไปทันที เขาไม่ลืมที่จะสวมเสื้อคลุมให้นางและดึงหมวกมาปรกหน้าให้“ทางที่ดีอยู่เฉย ๆ จนกว่าจะถึงดีกว่า หากไม่อยากให้ข้าต้องแวะลงโทษเจ้าไปตลอดทาง ต่อหน้าชาวเมืองชิงโจว”“คนเผด็จการ!”“แม้ว่าเจ้าจะมองข้าว่าเป็นเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นสามีข
“แม่นมเชิญว่ามาเถอะ ท่านนั่งลงก่อนสิ”ท่านอ๋องพยุงแม่นมจินเดินมานั่ง ในเวลาเช่นนี้เขาก็คงจะพึ่งพาได้แต่นางเท่านั้น“ท่านอ๋องทรงทราบหรือไม่ว่า เพียงเพื่องานในวันนี้ พระชายาลงทุนลงแรงทำสิ่งใดเพื่อพระองค์ไปบ้าง”“ข้า… รู้แต่ว่านางบอกให้ข้ากลับเร็ว ๆ เพื่อจะได้มาฉลองด้วยกัน”“เช่นนั้นหม่อมฉันจะบอกให้ พระชายาใช้เวลาก่อนหน้านี้ สั่งของมาเพื่อจะหมักสุราชั้นเลิศ เพื่องานในวันนี้โดยเฉพาะ สุราดอกท้อนั่น ถูกหมักอยู่ในห้องเครื่องมาเกือบสองเดือน วันนี้เพื่อให้สุรามีกลิ่นหอมมากกว่าเดิม นางตื่นแต่เช้ามืด ออกมาเก็บดอกไม้ในสวน เพื่อไปหมักรวมกับไหสุราในห้องเครื่อง ให้มีกลิ่นหอมสดใหม่ของดอกไม้ รอให้พระองค์มาชิม แต่สิ่งที่พระองค์ทำ…”“ข้า….”“นับตั้งแต่พระชายามาอยู่ที่นี่ น้อยครั้งนักที่จะเอ่ยถึงเรื่องของแคว้นอวิ๋น วันนี้นางพึ่งจะพูดเรื่องที่นั่นขึ้นมา และเป็นเพียงครั้งเดียวที่นางเล่าให้พวกเราฟัง ว่าอยู่ที่นั่น นางมีความสุขมากเพียงใด พระองค์ทราบหรือไม่ ว่านี่มันคือสัญญาณของสิ่งใด”“ท่านว่าอย่างไรนะ นี่นางพูดถึงเรื่องที่เสิ่นตูด้วยงั้นหรือ”“ถูกต้องเพคะ พระชายาไม่เคยบ่นว่าคิดถึงเสิ่นตู ไม่เคยพูดจาน่าเบื่อ
อันหลินรีบเดินออกมาเรียกสาวใช้ ให้จัดเตรียมน้ำล้างหน้า ส่วนนางรีบเตรียมชุดให้ท่านอ๋อง เพื่อจะได้สวมเข้าวังไปประชุมราชสำนักแต่เช้า ทุกครั้งนางจะเป็นคนแต่งตัวให้เขา วันนี้ก็เช่นกัน“เสร็จแล้วเพคะ”“อันหลิน”สาวใช้รีบเก็บของ และเดินออกมาจากห้องทันที จิ่นหลงทำหน้าที่ปิดประตูเมื่อพวกนางพากันเดินออกมา “ท่านพี่ จะสายแล้วนะเพคะ”“เมื่อครู่นี้ข้ายังจูบเจ้ายังไม่เต็มที่เลย ขออีกนิดได้หรือไม่”“ท่านช่างเอาแต่ใจตัวเองเสียจริง”“วันนี้เจ้าบอกเองว่าเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้า เช่นนั้นข้าก็ขอเอาแต่ใจตัวเองสักวัน มิได้หรือ”สุดท้ายนางก็ต้องยอมให้เขาจูบ ท่านอ๋องมิได้จูบเพียงอย่างเดียว พระองค์ถอดชุดของพระชายาออกจนเกือบหมด หรงอวี้หยางพรมจูบไปทั่วทั้งเรือนกายของนาง ภารกิจเร่งด่วนนี้ทำให้ทั้งสองตื่นเต้นมากกว่าเดิม เมื่อต้องรีบร้อนเพราะมีเวลาเพียงไม่นาน “อ๊ะ ท่านพี่ อ๊าา!!!”“เจ้าเบาเสียงลงหน่อย แม้ว่าในห้องนอนจะกว้าง แต่หน้าห้องยังมีองครักษ์ กับจิ่นหลงรออยู่”“ท่านซนเหลือเกิน ปล่อยข้าเถิดเพคะ อ๊ะ!!”“เจ้าก็ยังคงปากแข็งเช่นเดิม”“อื้อ…อวี้หยาง เสียวมาก อ๊าา”เขาจับนางคุกเข่าและนั่งหันหลัง เมื่อสอดเข้าไปสุด
ตำหนักท่านอ๋อง / ชิงโจวหลังจากงานอภิเษก ท่านอ๋องก็พาพระชายาเดินทางกลับชิงโจว เมื่อเข้าสู่ชิงโจวก็ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งในสายตาจ้าวอันหลิน ถือว่างานต้อนรับในครั้งนี้ แทบจะใหญ่พอ ๆ กับงานอภิเษกของนางที่เสิ่นตูเลยด้วยซ้ำไป“ยิ่งใหญ่สมกับเป็นเจ้าแคว้นเสียจริง”“องค์หญิง เอ๊ย! พระชายาเพคะ ที่ชิงโจวนี้ดูคึกคักกว่าเสิ่นตูของเรามากเลยนะเพคะ ผู้คนมากมายมารอต้อนรับพระองค์กับท่านอ๋อง ร้านค้ากับตลาดก็ดูเหมือนจะใหญ่กว่าที่เสิ่นตู”“เจาอิน ไม่ทันไรเจ้าก็จะหาเรื่องเที่ยวแล้วหรือ”“พระชายาละก็”ไม่นานรถม้าก็หยุดลงที่หน้าตำหนัก ซึ่งจุดประทัดเป็นทางยาวเพื่อรอรับเสด็จทั้งคู่ ท่านอ๋องเดินลงจากม้า และเดินมารับจ้าวอันหลิน ซึ่งนั่งอยู่ในรถม้าเข้ามาในเมือง“พระชายา พวกเราถึงตำหนักแล้ว”“ท่านพี่”รอยยิ้มของอันหลิน ทำให้เขามั่นใจว่านางยังสุขภาพจิตใจดีอยู่ เดิมทีเขากลัวว่า นางจะตระหนกและไม่คุ้นเคยกับเมืองชิงโจว เพราะก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ นางร้องไห้อยู่ร่วมเจ็ดวัน เพราะคิดถึงเสด็จพ่อ และคนอื่น ๆ ในเสิ่นตู แต่ครั้งนี้องค์ไท่จื่อ ให้เจาอินและซานหูติดตามมาปรนนิบัตินางที่ชิงโจวด้วย อันหลินจึงไม่รู้สึ
“ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องเข้าเฝ้าเสด็จพ่อแล้ว ท่านอย่าลืมสิ”“ข้าหาได้ลืมไม่ แต่เจ้านี่สิ บ่ายเบี่ยงมิให้ข้ารักเจ้าเช่นนี้ จะให้ข้าคิดเช่นไรดีเล่า”“ข้าไม่อยาก… เผลอทำให้แผลท่านเปิดอีก เช่นนั้น…”“ข้าจะจับเจ้ามัดเอาไว้ เพียงเท่านี้เจ้าก็ทำร้ายข้ามิได้แล้ว”“ไม่เอา! ท่านจะทำเกินไปแล้ว”“เช่นนั้นก็ได้ อย่างไรเสียตอนนี้ก็ไม่ได้รีบ รอให้ข้าหายดีเสียก่อน ค่อยรังแกเจ้าทบต้นทบดอกก็ดีเช่นกัน”“เหตุใดเอานิสัยพ่อค้าหน้าเลือด มาใช้กับข้าเช่นนี้กันเล่า”“ช่วยไม่ได้นี่ ก็เจ้ามาห้ามข้าเอง เอาเถอะ ๆ ก็แค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น ข้าไม่ใจร้ายเช่นนั้นหรอก เจ้าเตรียมพร้อมที่จะไปชิงโจวกับข้าแล้วหรือยัง"“ข้าเตรียมตัวแล้วเพคะ อีกอย่างพี่ใหญ่บอกว่า ชิงโจวกับเสิ่นตูมิได้อยู่ไกลกันมาก ม้าเร็ววิ่งเพียงสามคืนก็ถึง หากเป็นขบวนรถม้า วิ่งไม่เกินห้าวัน ห่วงก็แต่เสด็จพ่อ”“ที่นี่มีหานเซียวดูแลฝ่าบาทอยู่ ข้าสัญญากับเจ้า หากว่าที่เสิ่นตูต้องการความช่วยเหลือ หรือว่าเจ้าอยากจะกลับมาเยี่ยมฝ่าบาท ข้าจะไม่ห้ามเจ้าเลย ดีหรือไม่”“ขอบพระทัยเพคะ”อวี้หยางดึงนางเข้ามากอดเอาไว้แน่น หลังจากพายุผ่านไป กว่าเขาจะได้นางมาครอบครอง ก็ใช้เวลาไ