แชร์

บทที่ 1 องค์หญิงหลินซูมี่

ผู้เขียน: sanvittayam
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-02 15:14:19

บทที่ 1

องค์หญิงหลินซูมี่

“ท่านแม่ทัพขอรับ องค์หญิงหลินซูมี่เสด็จมาถึงแล้วขอรับ” นายทหารคนหนึ่งวิ่งมารายงานกับผู้เป็นนายทันที

“ให้นางเข้ามา จงจำเอาไว้ว่าหลังจากนี้ห้ามจัดขบวนเสด็จให้นางอีก นางมาที่นี่ในฐานะผู้มาศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น หาใช่องค์หญิงของแคว้นไม่”

แม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือได้เอ่ยกับนายกองด้วยน้ำเสียงจริงจังและเฉียบขาด

เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายทหารผู้รับฟังรู้สึกหนักใจ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ ทว่าคำสั่งของแม่ทัพก็เป็นดั่งกฎอัยการศึก ที่ทหารอย่างเขาไม่สามารถขัดได้เช่นกัน

“ขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่งมา” นายกองมู่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นจึงหมุนตัวออกมาทันที

ทว่าก่อนที่ร่างของนายกองมู่จะเดินถึงหน้าจวน เสียงถามเล็ก ๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างสดใส

“ท่านนายกองมู่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่ใดหรือ”

“คารวะองค์หญิงใหญ่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่โถงหลักพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด นายกองมู่ก็รีบทำความเคารพทันที พร้อมกับทรุดนั่งก้มหน้าลงแล้วตอบคำถามออกไปอย่างนอบน้อม โดยที่มือยังอยู่ในท่าถวายบังคมเหนือศีรษะ

“ลุกขึ้นเถิด หลังจากนี้ก็สนทนากับข้าปกติก็แล้วกัน ที่นี่ไม่ใช่วังหลวงและเวลานี้ข้าก็เป็นเพียงผู้มาเรียนคนหนึ่งเท่านั้น อย่าได้มากพิธีเลย”  

องค์หญิงหลินซูมี่กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และมีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ก็มีการไว้ตัวอยู่ไม่น้อย ซึ่งผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ยังเป็นเด็ก เนื่องจากคำกล่าวนั้นกลับแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นเกินวัยห้าขวบของนาง

ในทุกการกระทำขององค์หญิงตัวน้อย ตกอยู่ในสายตาของแม่ทัพเสวี่ยเยวียนสือทั้งหมด และการกระทำเล็กน้อยนี้ก็ทำให้เขาจดบันทึกความดีของนางไว้ในใจ ‘ถือว่าวางตัวได้ดี’

“เอาล่ะ เลิกเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยได้แล้ว เจ้าก็มาเริ่มบทเรียนแรกเลย วันนี้ข้าจะสอนวิชาความรู้ด้านบทกวีโบราณ และหลักการของขงจื้อให้ เจ้าคิดว่าอย่างไร”

เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยถามเด็กหญิงที่เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของแคว้นหลินด้วยท่าทางที่จริงจังและมองไปที่นางอย่างเข้มงวด ที่แม้แต่ทหารในสนามรบ หากได้ยินก็ต้องหวาดกลัวทุกคน

ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ เด็กหญิงตัวน้อยกลับไม่แสดงอาการหวาดกลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย นางยืนตรงด้วยท่าทางสงบนิ่งและมองสบสายตาของแม่ทัพใหญ่อย่างไม่หวั่นเกรงผิดกับผู้ติดตามที่มากับนาง

ที่เวลานี้ต่างยืนเกาะกันแน่นด้วยความหวาดหวั่น เพราะหวาดกลัวต่ออำนาจและบารมีของแม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือ

“แล้วแต่ท่านอาจะสอนสั่งเจ้าค่ะ” หลินซูมี่ย่อตัวลงแล้วตอบกลับไปอย่างนอบน้อม

“ดี ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลยเถอะ” เสวี่ยเยวียนสือตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย

จากนั้นก็หันไปมองคนติดตามของนาง แล้วกล่าวออกมาเสียงดังว่า “ส่วนพวกเจ้าออกไปให้หมด อย่าเข้ามารบกวนการเรียนของนาง หากข้ายังไม่ปล่อยนางไป นางก็ยังกลับไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะ / ขอรับ” ทันทีที่ชายหนุ่มกล่าวจบ ทุกคนทั้งชายหญิงต่างก็รีบตอบรับ และพากันออกไปเหลือทันที

ดังนั้นในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ จึงมีเพียงแค่แม่ทัพใหญ่ที่เป็นอาจารย์ กับองค์หญิงหลินซูมี่ที่เป็นศิษย์เท่านั้น

“เอาล่ะ เจ้าไปนั่งตรงเก้าอี้ตัวนั้น บนชั้นหนังสือมีตำราอยู่หลายเล่ม จนกว่าจะเรียนจบเจ้าต้องอ่านให้ครบทุกเล่ม แล้วข้าจะทดสอบเจ้าอีกครั้ง แต่เวลานี้เจ้าเลือกสักเล่มมาอ่านก่อน จากนั้นค่อยมาทบทวนให้ข้าฟัง”

เสวี่ยเยวียนสือบอกเด็กหญิงตรงหน้าไปด้วยท่าทางของอาจารย์ที่เข้มงวด เนื่องจากเขามองว่านางคือศิษย์ที่จะต้องสั่งสอนให้ดี เพื่อให้สมกับที่ฮ่องเต้ไว้วางใจ

เมื่อหลินซูมี่ได้ยินเช่นนั้น ก็เดินไปหยิบตำรามาอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้แล้วเริ่มอ่านตำราเล่มนั้นทันที ซึ่งการอ่านและการเขียนหนังสือนั้น นางได้รับการสอนจากในวังมาตั้งแต่เปล่งเสียงได้แล้ว จึงทำเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี นับได้ว่าองค์หญิงใหญ่คืออัจฉริยะตัวน้อยได้เลย

โดยตำราเล่มที่นางเลือกมาอ่านในวันนี้ก็คือ บทกวีชิงชิว

ภายในบทกวีได้กล่าวถึงเรื่องราวความรักของหญิงชาวบ้านกับองค์ชายที่ประสูติจากฮ่องเต้และฮองเฮา ความรักของทั้งสองคนนั้นก่อนที่จะได้มาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ในเทือกเขาลำเนาไพรอันห่างไกล ทั้งสองก็ต้องผ่านเรื่องราวมากมาย ที่มีทั้งเรื่องที่น่าตราตรึงในความทรงจำที่มิอาจลืมเลือนและทั้งเรื่องสะเทือนอารมณ์อย่างมาก

องค์หญิงหลินซูมี่ได้ใช้เวลาในการอ่านบทกวีนี้ เป็นเวลายาวนานกว่าสามชั่วยาม และทั้งที่เป็นการอ่านครั้งแรก แต่นางก็สามารถจดจำเรื่องราวในนั้นได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะมีใครทำได้มาก่อน เนื่องจากตัวเนื้อหาของบทกวีมีความลึกซึ้งและซับซ้อน เกินกว่าที่เด็กน้อยในวัยเพียงเท่านี้ จะสามารถเข้าใจได้

“ท่านอาเจ้าคะ ข้าอ่านและจดจำเล่มแรกได้แล้วเจ้าค่ะ” นางเงยหน้าขึ้นจากตำรา จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างมั่นใจ

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสวี่ยเยวียนสือก็เงยหน้าขึ้น พร้อมกับเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ

‘ไม่คิดว่าเด็กน้อยจะเรียนรู้ได้เร็วถึงเพียงนี้’

“เจ้าอ่านบทกวีเล่มไหนหรือ” ชายหนุ่มละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้า แล้วหันมาถามศิษย์ตัวน้อย

“บทกวีชิงชิวเจ้าค่ะ” หลินซูมี่ตอบกลับไปอย่างภาคภูมิใจ

“บทกวีชิงชิวอย่างนั้นหรือ?” เมื่อได้ยินเด็กน้อยตรงหน้าบอกว่าอ่านบทกวีเล่มใด แม่ทัพหนุ่มก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัยและเริ่มทดสอบทันที “ถ้าเช่นนั้น เจ้าตอบให้รู้หน่อยว่า หน้าที่แปด บรรทัดที่เก้าบทกวีเขียนไว้ว่าอย่างไรและมีความหมายว่าอย่างไร”

 “ได้เจ้าค่ะ” เด็กหญิงตอบรับทันที จากนั้นก็เริ่มกล่าวบทกวีออกมา

“อันความรัก หวานชื่นระรื่นใจ

แต่แล้วไซร้ ใจท่านจึงไขว้เขว

ยามมีรัก ปักใจไม่โลเล

ยามมีภัย กล้ำกรายท่านหลบหนี”

นางท่องบทกวีในบทนั้นออกมาอย่างคล่องแคล่วและรื่นหู ก่อนจะหยุดครู่หนึ่ง แล้วอธิบายความหมายต่อด้วยรอยยิ้ม

“บทกวีบทนี้ ได้ประพันธ์ถึงองค์ชายกำลังจะไปช่วยพาตัวของหญิงคนรักหลบหนี แต่กลับถูกกลอุบายของผู้เป็นบิดามารดาล่อลวง จนทำให้ไม่สามารถไปช่วยได้” นางอธิบายมาถึงตรงนี้แล้วก็หยุด

“แล้วอย่างไรอีก”

แม่ทัพหนุ่มถามออกมาอย่างสนใจ ที่อีกฝ่ายมีความจำล้ำเลิศยิ่ง แค่เพียงใช้เวลาจดจ่อกับตำราสามชั่วยาม นางกลับมีความทรงจำที่ยอดเยี่ยม ซ้ำยังแตกฉานในการอธิบายความอีกด้วย

“หญิงคนรักจึงได้เอ่ยตัดพ้อความรักขึ้นมา ที่ข้ากล่าวมานั้นถูกหรือไม่เจ้าคะ ท่านอา” นางตอบออกมาจากความรู้สึก ก่อนจะถามความเห็นของอีกฝ่าย

เสวี่ยเยวียนสือมองคนตรงหน้าด้วยความประทับใจ และเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของนาง ใจของเขาก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอย่างน่าประหลาดกับรอยยิ้มนั้น ซึ่งความรู้สึกนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเลย

“เจ้าทำได้ดีมาก แต่มันยังไม่จบเท่านี้หรอก หน้าที่สิบเก้า บรรทัดที่เจ็ด เขียนไว้ว่าอย่างไร” ชายหนุ่มพยายามข่มความรู้สึกไว้ แล้วถามออกไปอีกครั้งเพื่อทดสอบนาง

“อันตัวเรา นี้ไซร้เป็นหญิงป่า

จะมีค่า อันใดไปเทียบท่าน

แม้เกิดใหม่ สิบชาติไม่เทียบกัน

ขอท่านจง ตัดรักอย่าตามมา”

นางนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยบทกวีขึ้นมาอย่างไม่ติดขัด ก่อนจะหยุดเล็กน้อย แล้วเริ่มอธิบายความหมาย

“ในส่วนของบทนี้ เป็นตอนที่หญิงสาวเอ่ยกับองค์ชายให้ตัดใจจากตนเสีย เพราะรู้สึกสงสารชายคนรัก ที่จะต้องสูญเสียทุกอย่างไปเพราะนาง ท่อนนี้แสดงถึงความรักของหญิงสาว ที่มีให้กับองค์ชายอย่างเปี่ยมล้นเจ้าค่ะ”

“ดี เอาล่ะถือว่าเจ้าผ่านแล้ว” เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจ

“ข้ามีรางวัลให้เจ้า”

หลังจากนั้นแม่ทัพหนุ่มก็ได้เลือกหนังสือบทกวีและตำราพิชัยสงครามเบื้องต้นอีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มอบให้แก่องค์หญิงหลินซูมี่ เพื่อนำไปศึกษาต่อในยามที่อยู่ลำพัง

“วันนี้ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะส่งจดหมายแจ้งให้บิดาของเจ้าทราบเอง ส่วนตำราเหล่านี้ก็เอาไว้ศึกษาให้แตกฉาน เอาไว้เจอกันคราวหน้าข้าค่อยทดสอบเจ้า” ชายหนุ่มบอกออกไปอีกครั้ง ในตอนที่ส่งตำราเหล่านั้นให้นาง

“เจ้าค่ะ”

องค์หญิงน้อยตอบรับอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินออกไปรอรถม้าที่ด้านนอก เนื่องจากยังต้องรอให้ผู้ติดตามไปเตรียมรถม้าจากในวังมารับ เพราะขบวนเมื่อเช้านั้นถูกยกเลิกไปหมดแล้ว

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 6 การตายครั้งนี้มีเงื่อนงำ

    บทที่ 6 การตายครั้งนี้มีเงื่อนงำ“เสด็จพ่อ เหตุการณ์เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”เมื่อเข้ามาถึงหลินซูมี่ก็เอ่ยถามบิดาทันที และเนื่องจากยามนี้ไม่ได้อยู่ในตำหนักส่วนตัว หรือตำหนักฮ่องเต้และฮองเฮา นางจึงเปลี่ยนถ้อยคำสนทนาอย่างระมัดระวังและให้เป็นทางการมากกว่าปกติ“บาดแผลขององค์ชายสามสาหัสมาก และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาตาย”ฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาถอนหายใจแล้วตอบกลับมา น้ำเสียงของพระองค์หดหู่อย่างเห็นได้ชัด แม้บุตรชายคนนี้จะไม่ได้เกิดจากหญิงที่เขารัก แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูก การสูญเสียบุตรเช่นนี้ ทำให้หัวใจของพระองค์หนักอึ้ง จนไม่อาจปิดบังความโศกเศร้าได้ทว่าเมื่อสายตาของฮ่องเต้หันไปเห็นบุตรชายทั้งสาม ที่ยืนก้มหน้าหลบอยู่เบื้องหลังหลินซูมี่ ความโกรธก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง“พวกเจ้าเป็นบุรุษเยี่ยงไรหา! ไปยืนหลบอยู่ข้างหลังน้องสาวที่ตัวเล็กแค่นี้ พวกเจ้าไม่ละอายใจบ้างรึ แต่ละวันคอยสร้างเรื่องให้ข้าปวดหัว วันไหนที่พวกเจ้าไม่สร้างเรื่อง มันจะตายหรือยังไง!!” เสียงตวาดของฮ่องเต้ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักเจียงฮวาเมื่อได้ยินเสียงตำหนิเช่นนั้น องค์ชายทั้งสามทำเพียงยืนก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ไม่กล้าตอบอะไรแม้แต่คำเดียวหลินซู

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 5 การตายขององค์ชายสาม

    บทที่ 5 การตายขององค์ชายสามตำหนักเจียงฮวา“กรี๊ดดดดดดเจ้าพวกเด็กสารเลวนั่น กล้าดีอย่างไรมาทำลูกข้าบาดเจ็บเช่นนี้!” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างคับแค้นใจ พลางมองไปที่บุตรชาย ที่ยามนี้ร่างกายมีบาดแผลหลายแห่งจนนางแทบไม่กล้าดู“พระสนมโปรดระวังคำกล่าวด้วยเพคะ”นางกำนัลคนสนิทเอ่ยเตือนสติ เนื่องจากคนที่เจ้านายกำลังก่นด่าอยู่นั้น คือโอรสทั้งสามของฮ่องเต้ซึ่งเกิดจากฮองเฮา อีกทั้งเวลานี้องค์รัชทายาทยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้ว ศักดิ์และฐานะขององค์รัชทายาท จึงสูงกว่าพระสนมทุกระดับในวังหลังหากเรื่องที่พระสนมลบหลู่องค์ชายทั้งสาม แพร่งพรายออกไปให้คนนอกรับรู้ มีหวังหัวหลุดจากบ่าโดยไม่ต้องสอบสวน“อาหลิว เจ้าบอกให้ข้าระงับโทสะและระวังคำกล่าวอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่าลูกของข้ามีสภาพเป็นเช่นไร! แล้วหากเขาเป็นอะไรไป สถานะของข้าในวังหลังแห่งนี้ มันจะตกต่ำขนาดไหน!” พระสนมเกาต้าผินกล่าวออกมาอย่างโกรธจัด“แม้ข้าจะรู้ดีว่าการที่ไปด่าหรือตำหนิองค์รัชทายาท มันผิดต่อกฎมณเฑียรบาลมากเช่นไร และมีผลเสียมากมายอย่างไร แต่ในฐานะมารดา ข้าไม่สามารถโกรธได้เลยหรือ ที่ลูกของข้าถูกรังแกจนบาดเจ็บทั่วทั้งร่าง

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 4 ความรู้สึกบางอย่าง

    บทที่ 4 ความรู้สึกบางอย่างนับตั้งแต่วันที่องค์หญิงหลินซูมี่ได้หัดชกหุ่นฟาง วันเวลาก็ได้ล่วงเลยมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ในวันนี้องค์หญิงก็ต้องกลับไปฝึกวิชาการต่อสู้อย่างอื่นอีกครั้ง“มี่เอ๋อร์ วันนี้ข้าจะสอนการใช้กระบี่ ส่วนกระบี่ที่จะให้เจ้าใช้เป็นอาวุธประจำกายนั้น ข้าสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเจ้าโดยเฉพาะ นี่คือรางวัลสำหรับเจ้าที่ฝึกอย่างหนักโดยไม่ปริปากบ่น ข้าหวังว่าต่อไปเจ้าจะตั้งใจเหมือนที่ผ่านมา”เสวี่ยเยวียนสือกล่าวกับหลินซูมี่อย่างอ่อนโยนเพื่อเป็นรางวัลในความตั้งใจของนาง เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้หยิบกระบี่ออกมามอบให้กับคนตรงหน้า“ขอบคุณท่านอาเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม และยื่นมือออกไปรับกระบี่ทันทีที่ได้เห็นกระบี่ที่ชักออกจากฝัก หลินซูมี่ก็รู้สึกหลงใหลกระบี่นี้ไม่น้อยเลย และหลังจากวันนั้นที่ได้รับกระบี่จากเสวี่ยเยวียนสือมา นางก็มักจะนำกระบี่เล่มนี้ติดตัวเสมอสองปีผ่านไป…วันเวลาที่เลยผ่าน ทำให้นางสำเร็จวิชาการต่อสู้หลายแขนงจากแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ และในยามนี้เสวี่ยเยวียนสือกำลังจะสั่งสอนวิชากลยุทธ์ทางการทหารให้กับนาง“ศาสตร์วิชาบทกวีและศาสตร์วิชาศิลปะการต่อสู้ เจ้าก็ได้เรียนร

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 3 ฝึกฝนอย่างหนัก

    บทที่ 3 ฝึกฝนอย่างหนักหลินซูมี่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีท่าทีคัดค้านเลยแม้แต่น้อย กลับกันนางยิ่งรู้สึกกระตือรือร้นที่จะได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งก็ไม่รอช้า รีบเดินไปยังหุ่นฟางตัวนั้นอย่างตั้งใจทันที นางรวบรวมสมาธิและปล่อยหมัดออกไปอย่างเต็มแรง ตามที่เสวี่ยเยวียนสือได้สอนความรู้สึกแรกที่ได้รับหลังจากปล่อยหมัดออกไปกระทบหุ่นฟาง ก็คือความเจ็บที่มือ แต่ก็ฝืนกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ แล้วกลั้นใจต่อยออกไปซ้ำ ๆจนผ่านไปครึ่งวันนางก็ต่อยไปถึงสามร้อยครั้ง โดยที่เวลานี้มือของนางมีผ้าพันห้ามเลือดเอาไว้หลายชั้น“ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ ข้าคิดว่า...” รองแม่ทัพได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แต่เขากล่าวยังไม่จบก็ต้องหยุดลง“ตงตี้ นี่คือการฝึกของนาง หากแค่นี้นางยังผ่านไปไม่ได้ ภายภาคหน้าก็ไร้ซึ่งหนทางจะต่อสู้ การที่ข้าให้นางทำเช่นนี้ ก็เพื่อตัวของนางเอง”เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยกับรองแม่ทัพตงตี้ด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่อาจทำอะไรได้ เวลานี้จึงทำได้เพียงกำผ้าเช็ดหน้าในมือ แล้วมองดูองค์หญิงต่อยหุ่นฟางต่อแม้มือเล็กจะถูกเลือ

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 2 พรสวรรค์ขององค์หญิงน้อย

    บทที่ 2 พรสวรรค์ขององค์หญิงน้อยระหว่างนั้นเสวี่ยเยวียนสือก็ได้เขียนจดหมายขึ้นมา เขาตั้งใจจะรายงานความคืบหน้าในการเรียนวันนี้ของหลินซูมี่ให้ฮ่องเต้รับรู้ โดยจะฝากไปกับทหารผู้ติดตามทว่าในตอนที่เขานำจดหมายไปส่งให้ทหารผู้ติดตามขององค์หญิง กลับได้รับแจ้งว่า“รายงานท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทต้องการให้ท่านไปเข้าเฝ้าเพื่อรายงานเรื่องการเรียนขององค์หญิงใหญ่ด้วยตนเองขอรับ” ทหารติดตามองค์หญิงรายงานทันที ก่อนจะรีบเดินออกไปเมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็ถึงกับแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายและบ่นออกมาเล็กน้อย“เห้อ...ตั้งแต่ศิษย์พี่มีบุตรสาวคนนี้ ข้ารู้สึกว่าถูกเบียดเบียนเวลาชีวิตไปอย่างมากมายเหลือเกิน”แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิอาจขัดพระบัญชาได้ จึงต้องควบม้าตัวโปรดเพื่อเข้าวังหลวงทันทีเมื่อแม่ทัพหนุ่มเดินทางมาถึงวังหลวง ก็ได้ถูกเชิญไปยังห้องทรงพระอักษร โดยที่นั่นมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับรออยู่แล้วหลังจากเข้ามาในห้องทรงพระอักษรตามลำพังแล้ว ชายหนุ่มก็ทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา”“ไม่ต้องมากพิธี รีบมานั่งเสียเถอะ แล้วเล่าให้ข้าฟังว่า บุตรสาวของข้า เรียนเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่อ

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 1 องค์หญิงหลินซูมี่

    บทที่ 1 องค์หญิงหลินซูมี่“ท่านแม่ทัพขอรับ องค์หญิงหลินซูมี่เสด็จมาถึงแล้วขอรับ” นายทหารคนหนึ่งวิ่งมารายงานกับผู้เป็นนายทันที“ให้นางเข้ามา จงจำเอาไว้ว่าหลังจากนี้ห้ามจัดขบวนเสด็จให้นางอีก นางมาที่นี่ในฐานะผู้มาศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น หาใช่องค์หญิงของแคว้นไม่”แม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือได้เอ่ยกับนายกองด้วยน้ำเสียงจริงจังและเฉียบขาดเมื่อได้ยินเช่นนั้น นายทหารผู้รับฟังรู้สึกหนักใจ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ ทว่าคำสั่งของแม่ทัพก็เป็นดั่งกฎอัยการศึก ที่ทหารอย่างเขาไม่สามารถขัดได้เช่นกัน“ขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่งมา” นายกองมู่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นจึงหมุนตัวออกมาทันทีทว่าก่อนที่ร่างของนายกองมู่จะเดินถึงหน้าจวน เสียงถามเล็ก ๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างสดใส“ท่านนายกองมู่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่ใดหรือ”“คารวะองค์หญิงใหญ่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่โถงหลักพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด นายกองมู่ก็รีบทำความเคารพทันที พร้อมกับทรุดนั่งก้มหน้าลงแล้วตอบคำถามออกไปอย่างนอบน้อม โดยที่มือยังอยู่ในท่าถวายบังคมเหนือศีรษะ“ลุกขึ้นเถิด หลังจากนี้ก็สนทนากับข้าปกติก็แล้วกัน ที่น

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status