Share

บทที่ 1 องค์หญิงหลินซูมี่

Penulis: sanvittayam
last update Terakhir Diperbarui: 2025-07-02 15:14:19

บทที่ 1

องค์หญิงหลินซูมี่

“ท่านแม่ทัพขอรับ องค์หญิงหลินซูมี่เสด็จมาถึงแล้วขอรับ” นายทหารคนหนึ่งวิ่งมารายงานกับผู้เป็นนายทันที

“ให้นางเข้ามา จงจำเอาไว้ว่าหลังจากนี้ห้ามจัดขบวนเสด็จให้นางอีก นางมาที่นี่ในฐานะผู้มาศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น หาใช่องค์หญิงของแคว้นไม่”

แม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือได้เอ่ยกับนายกองด้วยน้ำเสียงจริงจังและเฉียบขาด

เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายทหารผู้รับฟังรู้สึกหนักใจ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ ทว่าคำสั่งของแม่ทัพก็เป็นดั่งกฎอัยการศึก ที่ทหารอย่างเขาไม่สามารถขัดได้เช่นกัน

“ขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่งมา” นายกองมู่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นจึงหมุนตัวออกมาทันที

ทว่าก่อนที่ร่างของนายกองมู่จะเดินถึงหน้าจวน เสียงถามเล็ก ๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างสดใส

“ท่านนายกองมู่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่ใดหรือ”

“คารวะองค์หญิงใหญ่ ท่านแม่ทัพอยู่ที่โถงหลักพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด นายกองมู่ก็รีบทำความเคารพทันที พร้อมกับทรุดนั่งก้มหน้าลงแล้วตอบคำถามออกไปอย่างนอบน้อม โดยที่มือยังอยู่ในท่าถวายบังคมเหนือศีรษะ

“ลุกขึ้นเถิด หลังจากนี้ก็สนทนากับข้าปกติก็แล้วกัน ที่นี่ไม่ใช่วังหลวงและเวลานี้ข้าก็เป็นเพียงผู้มาเรียนคนหนึ่งเท่านั้น อย่าได้มากพิธีเลย”  

องค์หญิงหลินซูมี่กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และมีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ก็มีการไว้ตัวอยู่ไม่น้อย ซึ่งผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ยังเป็นเด็ก เนื่องจากคำกล่าวนั้นกลับแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นเกินวัยห้าขวบของนาง

ในทุกการกระทำขององค์หญิงตัวน้อย ตกอยู่ในสายตาของแม่ทัพเสวี่ยเยวียนสือทั้งหมด และการกระทำเล็กน้อยนี้ก็ทำให้เขาจดบันทึกความดีของนางไว้ในใจ ‘ถือว่าวางตัวได้ดี’

“เอาล่ะ เลิกเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยได้แล้ว เจ้าก็มาเริ่มบทเรียนแรกเลย วันนี้ข้าจะสอนวิชาความรู้ด้านบทกวีโบราณ และหลักการของขงจื้อให้ เจ้าคิดว่าอย่างไร”

เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยถามเด็กหญิงที่เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของแคว้นหลินด้วยท่าทางที่จริงจังและมองไปที่นางอย่างเข้มงวด ที่แม้แต่ทหารในสนามรบ หากได้ยินก็ต้องหวาดกลัวทุกคน

ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ เด็กหญิงตัวน้อยกลับไม่แสดงอาการหวาดกลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย นางยืนตรงด้วยท่าทางสงบนิ่งและมองสบสายตาของแม่ทัพใหญ่อย่างไม่หวั่นเกรงผิดกับผู้ติดตามที่มากับนาง

ที่เวลานี้ต่างยืนเกาะกันแน่นด้วยความหวาดหวั่น เพราะหวาดกลัวต่ออำนาจและบารมีของแม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือ

“แล้วแต่ท่านอาจะสอนสั่งเจ้าค่ะ” หลินซูมี่ย่อตัวลงแล้วตอบกลับไปอย่างนอบน้อม

“ดี ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลยเถอะ” เสวี่ยเยวียนสือตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย

จากนั้นก็หันไปมองคนติดตามของนาง แล้วกล่าวออกมาเสียงดังว่า “ส่วนพวกเจ้าออกไปให้หมด อย่าเข้ามารบกวนการเรียนของนาง หากข้ายังไม่ปล่อยนางไป นางก็ยังกลับไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะ / ขอรับ” ทันทีที่ชายหนุ่มกล่าวจบ ทุกคนทั้งชายหญิงต่างก็รีบตอบรับ และพากันออกไปเหลือทันที

ดังนั้นในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ จึงมีเพียงแค่แม่ทัพใหญ่ที่เป็นอาจารย์ กับองค์หญิงหลินซูมี่ที่เป็นศิษย์เท่านั้น

“เอาล่ะ เจ้าไปนั่งตรงเก้าอี้ตัวนั้น บนชั้นหนังสือมีตำราอยู่หลายเล่ม จนกว่าจะเรียนจบเจ้าต้องอ่านให้ครบทุกเล่ม แล้วข้าจะทดสอบเจ้าอีกครั้ง แต่เวลานี้เจ้าเลือกสักเล่มมาอ่านก่อน จากนั้นค่อยมาทบทวนให้ข้าฟัง”

เสวี่ยเยวียนสือบอกเด็กหญิงตรงหน้าไปด้วยท่าทางของอาจารย์ที่เข้มงวด เนื่องจากเขามองว่านางคือศิษย์ที่จะต้องสั่งสอนให้ดี เพื่อให้สมกับที่ฮ่องเต้ไว้วางใจ

เมื่อหลินซูมี่ได้ยินเช่นนั้น ก็เดินไปหยิบตำรามาอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้แล้วเริ่มอ่านตำราเล่มนั้นทันที ซึ่งการอ่านและการเขียนหนังสือนั้น นางได้รับการสอนจากในวังมาตั้งแต่เปล่งเสียงได้แล้ว จึงทำเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี นับได้ว่าองค์หญิงใหญ่คืออัจฉริยะตัวน้อยได้เลย

โดยตำราเล่มที่นางเลือกมาอ่านในวันนี้ก็คือ บทกวีชิงชิว

ภายในบทกวีได้กล่าวถึงเรื่องราวความรักของหญิงชาวบ้านกับองค์ชายที่ประสูติจากฮ่องเต้และฮองเฮา ความรักของทั้งสองคนนั้นก่อนที่จะได้มาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ในเทือกเขาลำเนาไพรอันห่างไกล ทั้งสองก็ต้องผ่านเรื่องราวมากมาย ที่มีทั้งเรื่องที่น่าตราตรึงในความทรงจำที่มิอาจลืมเลือนและทั้งเรื่องสะเทือนอารมณ์อย่างมาก

องค์หญิงหลินซูมี่ได้ใช้เวลาในการอ่านบทกวีนี้ เป็นเวลายาวนานกว่าสามชั่วยาม และทั้งที่เป็นการอ่านครั้งแรก แต่นางก็สามารถจดจำเรื่องราวในนั้นได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะมีใครทำได้มาก่อน เนื่องจากตัวเนื้อหาของบทกวีมีความลึกซึ้งและซับซ้อน เกินกว่าที่เด็กน้อยในวัยเพียงเท่านี้ จะสามารถเข้าใจได้

“ท่านอาเจ้าคะ ข้าอ่านและจดจำเล่มแรกได้แล้วเจ้าค่ะ” นางเงยหน้าขึ้นจากตำรา จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างมั่นใจ

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสวี่ยเยวียนสือก็เงยหน้าขึ้น พร้อมกับเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ

‘ไม่คิดว่าเด็กน้อยจะเรียนรู้ได้เร็วถึงเพียงนี้’

“เจ้าอ่านบทกวีเล่มไหนหรือ” ชายหนุ่มละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้า แล้วหันมาถามศิษย์ตัวน้อย

“บทกวีชิงชิวเจ้าค่ะ” หลินซูมี่ตอบกลับไปอย่างภาคภูมิใจ

“บทกวีชิงชิวอย่างนั้นหรือ?” เมื่อได้ยินเด็กน้อยตรงหน้าบอกว่าอ่านบทกวีเล่มใด แม่ทัพหนุ่มก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัยและเริ่มทดสอบทันที “ถ้าเช่นนั้น เจ้าตอบให้รู้หน่อยว่า หน้าที่แปด บรรทัดที่เก้าบทกวีเขียนไว้ว่าอย่างไรและมีความหมายว่าอย่างไร”

 “ได้เจ้าค่ะ” เด็กหญิงตอบรับทันที จากนั้นก็เริ่มกล่าวบทกวีออกมา

“อันความรัก หวานชื่นระรื่นใจ

แต่แล้วไซร้ ใจท่านจึงไขว้เขว

ยามมีรัก ปักใจไม่โลเล

ยามมีภัย กล้ำกรายท่านหลบหนี”

นางท่องบทกวีในบทนั้นออกมาอย่างคล่องแคล่วและรื่นหู ก่อนจะหยุดครู่หนึ่ง แล้วอธิบายความหมายต่อด้วยรอยยิ้ม

“บทกวีบทนี้ ได้ประพันธ์ถึงองค์ชายกำลังจะไปช่วยพาตัวของหญิงคนรักหลบหนี แต่กลับถูกกลอุบายของผู้เป็นบิดามารดาล่อลวง จนทำให้ไม่สามารถไปช่วยได้” นางอธิบายมาถึงตรงนี้แล้วก็หยุด

“แล้วอย่างไรอีก”

แม่ทัพหนุ่มถามออกมาอย่างสนใจ ที่อีกฝ่ายมีความจำล้ำเลิศยิ่ง แค่เพียงใช้เวลาจดจ่อกับตำราสามชั่วยาม นางกลับมีความทรงจำที่ยอดเยี่ยม ซ้ำยังแตกฉานในการอธิบายความอีกด้วย

“หญิงคนรักจึงได้เอ่ยตัดพ้อความรักขึ้นมา ที่ข้ากล่าวมานั้นถูกหรือไม่เจ้าคะ ท่านอา” นางตอบออกมาจากความรู้สึก ก่อนจะถามความเห็นของอีกฝ่าย

เสวี่ยเยวียนสือมองคนตรงหน้าด้วยความประทับใจ และเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของนาง ใจของเขาก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอย่างน่าประหลาดกับรอยยิ้มนั้น ซึ่งความรู้สึกนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเลย

“เจ้าทำได้ดีมาก แต่มันยังไม่จบเท่านี้หรอก หน้าที่สิบเก้า บรรทัดที่เจ็ด เขียนไว้ว่าอย่างไร” ชายหนุ่มพยายามข่มความรู้สึกไว้ แล้วถามออกไปอีกครั้งเพื่อทดสอบนาง

“อันตัวเรา นี้ไซร้เป็นหญิงป่า

จะมีค่า อันใดไปเทียบท่าน

แม้เกิดใหม่ สิบชาติไม่เทียบกัน

ขอท่านจง ตัดรักอย่าตามมา”

นางนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยบทกวีขึ้นมาอย่างไม่ติดขัด ก่อนจะหยุดเล็กน้อย แล้วเริ่มอธิบายความหมาย

“ในส่วนของบทนี้ เป็นตอนที่หญิงสาวเอ่ยกับองค์ชายให้ตัดใจจากตนเสีย เพราะรู้สึกสงสารชายคนรัก ที่จะต้องสูญเสียทุกอย่างไปเพราะนาง ท่อนนี้แสดงถึงความรักของหญิงสาว ที่มีให้กับองค์ชายอย่างเปี่ยมล้นเจ้าค่ะ”

“ดี เอาล่ะถือว่าเจ้าผ่านแล้ว” เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจ

“ข้ามีรางวัลให้เจ้า”

หลังจากนั้นแม่ทัพหนุ่มก็ได้เลือกหนังสือบทกวีและตำราพิชัยสงครามเบื้องต้นอีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มอบให้แก่องค์หญิงหลินซูมี่ เพื่อนำไปศึกษาต่อในยามที่อยู่ลำพัง

“วันนี้ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะส่งจดหมายแจ้งให้บิดาของเจ้าทราบเอง ส่วนตำราเหล่านี้ก็เอาไว้ศึกษาให้แตกฉาน เอาไว้เจอกันคราวหน้าข้าค่อยทดสอบเจ้า” ชายหนุ่มบอกออกไปอีกครั้ง ในตอนที่ส่งตำราเหล่านั้นให้นาง

“เจ้าค่ะ”

องค์หญิงน้อยตอบรับอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินออกไปรอรถม้าที่ด้านนอก เนื่องจากยังต้องรอให้ผู้ติดตามไปเตรียมรถม้าจากในวังมารับ เพราะขบวนเมื่อเช้านั้นถูกยกเลิกไปหมดแล้ว

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   ตอนพิเศษที่ 2

    ตอนพิเศษที่ 2นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานฐานันดรศักดิ์อ๋อง ทั้งสองก็ได้กลับไปยังหมู่บ้านที่เคยพำนักอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป เพราะพวกเขากลับมาพร้อมอำนาจเต็มมือหลินซูมี่ได้จัดสร้างจวนอ๋องขึ้นในหมู่บ้าน และยกให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางในการว่าราชการของเขตปกครอง ทำให้หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองหลวงของเขตปกครองเจียงซานและตงตู่นอกจากนี้ ทั้งสองยังได้ประกาศยกย่องสุสานของราชวงศ์เป่ยโจวให้เป็นสุสานหลวง เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อราชวงศ์เก่าแก่ในอดีตเขตปกครองแห่งใหม่นั้น มีการละเว้นการเก็บภาษีในหลายด้าน นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งโรงทานและสร้างที่อยู่ที่กิน ให้แก่เหล่าผู้สูงวัยที่ไร้ผู้คนดูแล เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และได้รับการรักษาในยามเจ็บป่วยอย่างทั่วถึงอีกทั้งยังมีการสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และให้การศึกษาที่ดีต่อเด็ก ๆ เพื่อให้เติบโตไปทำคุณต่อบ้านเมืองทางด้านการขยายอาณาเขต ก็มีการออกปราบปรามชนเผ่าต่าง ๆ โดยรอบเมืองทางเหนืออยู่เนือง ๆทำให้ยามนี้ชนเผ่าเร่ร่อนอีกกว่าสี่สิบแปดชนเผ่า ได้เข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแคว้นหลิน โดยอยู่ภายใต้การปกครองของเขตปกครองตนเองเจ

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   ตอนพิเศษที่ 1

    ตอนพิเศษที่ 1นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้ได้ปลดองค์หญิงใหญ่ออกจากตำแหน่งให้เป็นเพียงสามัญชน ตัวของนางและเสวี่ยเยวียนสือ ก็ได้เดินทางกลับมาที่หมู่บ้านที่หลินซูมี่เคยหลบหนีมาอยู่อีกครั้ง โดยในครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เพราะนางไม่ต้องหลบซ่อนจากผู้ใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังกำลังตั้งครรภ์“คารวะท่านผู้อาวุโส”เมื่อนั่งเรือข้ามฟากมาแล้ว หญิงสาวก็ทำความเคารพชายสูงวัยทันที เพราะนางไม่คิดมาก่อนเลยว่า ผู้อาวุโสจะมารับนางด้วยตนเอง“เจ้ากลับมาจนได้ ที่ผ่านมาข้าได้ให้คนคอยดูแลบ้านของเจ้าไว้อย่างดี รีบไปพักผ่อนเถิด” ชายชรากล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะสั่งให้คนของเขามาช่วยทั้งสองขนข้าวของ“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่างอย่างนอบน้อม“แล้วเป็นเช่นไรบ้าง ไปอยู่เมืองหลวงเสียพักใหญ่ สบายดีใช่หรือไม่ กลับมาคราวนี้ท้องก็ใหญ่ขึ้นแล้วสินะ” ผู้อาวุโสอินหยอกล้อด้วยรอยยิ้มที่เอ็นดู“ก็สบายดีเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ได้ติดตามท่านพี่ไปชายแดนด้วย กว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ก็กินเวลาไปเสียนาน” หลินซูมี่กล่าวกับชายชราอย่างสนิทสนม“เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิด เดินทางกันมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อย เอาไว้พอตกเย็นค่อยมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรั

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทส่งท้าย คืนตำแหน่งให้องค์หญิงใหญ่

    บทส่งท้าย คืนตำแหน่งให้องค์หญิงใหญ่“ครั้งหนึ่งเขาปรารถนาจะยึดเมืองหมิงตี้ เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเขาทำเช่นไร เขาจับบุตรีของเจ้าเมืองมาข่มเหงจนย่อยยับ จากนั้นก็ประกาศว่านางเป็นภรรยา แล้วใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างรวบรวมเมืองเข้ามาอยู่ในอาณัติของตน เมื่อเจ้าเมืองไม่ยินยอม เขาก็ยกทัพไปโจมตีจนแตกพ่าย และไม่ใช่แค่เพียงเมืองหมิงตี้ เมืองอื่นก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกันบุรุษผู้นั้นเอาแต่ใช้อำนาจที่มีทำลายชีวิตผู้คน เพื่อสนองความทะเยอทะยานของตนเอง ทำให้มีสตรีมากมายต้องจบชีวิตลงด้วยความอัปยศเพราะเขา!” นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม “ในวันนี้ที่เขาต้องนอนป่วยไร้เรี่ยวแรง ข้าว่ามันก็เป็นผลกรรมที่คนเช่นนั้นสมควรได้รับแล้วมิใช่หรือ ฮ่าๆ”กล่าวจบหนิงอี้เสียนหวงกุ้ยเฟยก็หัวเราะอย่างสะใจ รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความคั่งแค้น ที่ระบายออกมาราวกับเขื่อนแตก เสียงหัวเราะนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับต้องการให้ทุกผู้คนได้รับรู้ถึงความเจ็บลึกในใจของนางถ้อยคำของนางนั้นไม่เพียงกระทบใจผู้ที่อยู่ตรงหน้า แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่จิตใจของเหล่าขุนนางอาวุโสที่ยืนรายล้อมอยู่ไม่ไกลเมื่อคำกล่าวเหล่านั้นจบลง ความเ

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 56 ปราบกบฎ

    บทที่ 56 ปราบกบฎทางด้านกองทัพนอกเมืองหลวง เมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้เห็นการจัดขบวนทัพที่อยู่บนกำแพงเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าทหารเหล่านั้นไม่ปรารถนาที่จะต่อสู้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่แอบแสดงท่าทียอมจำนน “ท่านแม่ทัพใหญ่...ข้าว่าเวลาแห่งการชำระล้างความชั่วได้มาถึงแล้ว!” เสียงของแม่ทัพอุดรเหออี้ดังขึ้นด้วยความเคียดแค้น เขาจ้องมองไปยังเบื้องหน้า แววตาเต็มไปด้วยเพลิงแห่งโทสะที่ลุกโชนไม่สิ้นสุดเสวี่ยเยวียนสือก้าวขึ้นมายืนตรงหน้ากองทัพของตน ก่อนจะออกคำสั่งอย่างหนักแน่น “ทหารเตรียมพร้อม!” จากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็เปล่งเสียงสั่งการดังกึกก้อง “บุกได้!”เหล่าทหารที่รอคอยเพียงแค่คำนี้ ต่างตะโกนก้องพร้อมพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างดุดันและพร้อมรบ ทว่าก่อนที่แม่ทัพอุดรเหออี้จะสั่งให้กระแทกประตูบานใหญ่เบื้องหน้า เสียงของการปลดกลอนประตูก็ดังขึ้นแทน จากนั้นประตูเมืองก็ค่อย ๆ แง้มเปิดออกจากด้านใน จนทำให้ทุกคนประหลาดใจ“ขอเชิญทุกท่านผ่านเข้ามาเถิดขอรับ พวกข้าต่างเฝ้ารอการมาถึงของท่านด้วยใจจดใจจ่อ!” เสียงของนายทหารที่เปิดประตูดังขึ้นด้วยความเคารพ แววตาสะท้อนทั้งความดีใจและความภักดีอย่างเหลือล้น“ขอบใจ

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 55 ช่วยฮ่องเต้

    บทที่ 55 ช่วยฮ่องเต้จากนั้นองค์รัชทายาทรีบเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปยังสถานที่ที่น้องหญิงของตนพำนักอยู่ ก่อนที่วังหลวงจะถูกทหารของปิงตี้เข้าควบคุมอย่างแน่นหนา ภายในเวลาเพียงเสี้ยวลมหายใจ ทางออกทุกเส้นทางถูกปิดตาย สิ้นไร้การเชื่อมโยงกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง“ปิงตี้ นี่เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่ เจ้าจะทำก่อกบฏอย่างนั้นหรือ” หลินเฟยหลงเอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือเช่นนี้“หึ! หลินเฟยหลง ตัวของเจ้าถ้าหากขาดน้องสาวที่เป็นมันสมองและแม่ทัพใหญ่ผู้ควบคุมกำลังทหาร เจ้าก็จะนับว่าทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” ปิงตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย“หลินเฟยหลง หลินเฟยหมิง หลินต้าเหนิง ข้ายังไม่คิดลงมือกับพวกเจ้าตอนนี้หรอก เอาไว้ให้พวกเจ้ารวมตัวกันครบก่อน แล้วข้าค่อยพิจารณาอีกทีว่า จะจัดการเช่นไร ยามนี้ก็อยู่กับพ่อแม่ของพวกเจ้า และเป็นเด็กดีไปก่อนก็แล้วกัน”ปิงตี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ก่อนจะสั่งให้นำทั้งสามไปคุมขังรวมกับผู้เป็นมารดาและฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งในยามนี้อาการทรุดหนักจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว“ท่านแม่ ท่านพ่อ พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าขอโทษที่ไม่อาจร

  • องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ   บทที่ 54 หวงกุ้ยเฟยก่อกบฏ

    บทที่ 54 หวงกุ้ยเฟยก่อกบฏเมื่อผู้เป็นบิดาได้ยินเช่นนั้น ก็มองไปที่บุตรสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก“เสวี่ยเยวียนสือ อย่างไรเสียข้าก็ขอฝากบุตรสาวของข้าให้เจ้าดูแลด้วย มี่เอ๋อร์นับว่าถูกข้าตามใจมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ถูกเจ้าอบรมสั่งสอนมาแต่เด็กเช่นกัน ดังนั้นถ้าหากว่านางมีอะไรที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม เจ้าก็ค่อย ๆ สั่งสอนนางต่อไปก็แล้วกัน”ฮ่องเต้ได้หันไปตรัสกับศิษย์น้องของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ศิษย์พี่ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าขอสาบานด้วยชีวิตของข้า ข้าจะดูแลมี่เอ๋อร์ให้ดีที่สุด ชีวิตของนางหลังจากนี้ จะต้องมีแต่ความสุขไร้ซึ่งความทุกข์ใด ๆ ทั้งสิ้น หากข้าผิดคำสาบาน ขอให้ข้าไม่ตายดีในสามวันเจ็ดวัน” เสวี่ยเยวียนสือยกมือขึ้นแล้วเอ่ยคำสาบานออกไปด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งและห้าวหาญ เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก“เอาล่ะ แม้ว่าข้าอยากจะรั้งพวกเจ้าเอาไว้ให้นานกว่านี้ แต่ข้าคิดว่าเหล่าขุนนางทั้งหลายก็คงจะกดดันข้าไม่เลิก ในวันพรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งเจ้าออกนอกเมืองหลวง และส่งเจ้าไปในที่ที่เจ้าอยากจะไป” พระองค์ตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ก่อนจะหันไปทางขันทีข้างกาย “อู่กงกง เจ้าจง

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status