หนึ่งเดือนผ่านไป…
ดูเหมือนความสัมพันธ์ของจอมขวัญกับพลาธิปจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีตั้งแต่วันที่เขาอุ้มเธอมายังบ้านหลังนี้ คอยดูแลเธอในยามป่วยไม่ห่างพลอยให้ให้ดวงใจดวงน้อยนี้เต้นระส่ำยามอยู่ใกล้ ได้แต่บอกกตัวเองว่าอย่าไปเผลอไผลหลงไหลกับการกระทำของเขา เขามันคนใจร้ายจะมาเปลี่ยนเป็นดีภายในเวลาไม่นานคงเป็นไปไม่ได้
วันนี้พลาธิปไม่ได้ออกไปดูงานที่ฟาร์มเหมือนทุกครั้ง แต่เขามีประชุมสำคัญบางอย่างอยู่ในห้องทำงานตั้งแต่เช้าจนเวลานี้ก็จวนจะบ่าย จอมขวัญมุ่งหน้าเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารไว้ให้เขา เพราะเธอก็ไม่รู้ได้ว่าพลาธิปนั้นจะอารมณ์ดีแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน อาหารกลางวันสองสามอย่างที่เธอทำส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วห้องครัว
“อืม… อร่อยแล้ว”
ช้อนกลางสำหรับชิมรสชาติอาหารถูกวางลงหลังจากรับรู้รสของมัน มือเล็กจัดการปิดเตา
จอมขวัญถอยหลังเล็กน้อยเพื่อที่จะก้มหยิบบางอย่างที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นก็ต้องตกใจ เมื่อบั้นท้ายของเธอชนกับอะไรบางอย่างจนต้องดีดกายยืนขึ้น แต่แล้วก็ถูกรวบเอวบางเอาไว้
“หอมจัง… วันนี้ทำอะไรให้ฉันกิน” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อนโยน พลางสูดกลิ่นหอม ๆ ตรงหน้า
“โอ๊ย! เจ็บ!” จอมขวัญหลุดพูดออกมาเมื่อเขานั้นใช้มือของเขาบีบเคล้นร่างกายสาวที่เผลอทำรุนแรงกับเธอ แต่เหมือนกับว่าเขาจะไม่สนใจยังทำมันต่อไป ทั้งที่สมองสั่งให้หยุดเขาแต่ทำไมร่างกายหล่อนถึงได้ตอบสนองเขาทุกสัมผัสที่เขามอบให้จอมขวัญได้แต่สับสนในความคิดตัวเองแต่สุดท้ายหล่อนก็ปล่อยให้เขานำพาเมื่อร่างกายของหล่อนนั้นก็ต้องการเขาไม่ต่างกันเพราะมันถูกคนช่ำชองอย่างเขาเป็นคนทำให้ความรู้สึกต้องการนี้เกิดมาอย่างไม่สามารถเลี่ยงได้บทรักที่รุนแรงบ้าง อบอุ่นบ้าง ตามความต้องการของพลาธิปดำเนินไปครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้คนใต้ร่างจะต่อต้านและถอยห่างในบางครั้ง สุดท้ายต้องพ่ายแพ้ให้กับคนเอาแต่ใจอย่างพลาธิปอยู่ดี ร่างสูงก้มจูบที่ขมับของหญิงสาวเบาราวกับปลอบโยนคนใต้ร่างที่หลับไปด้วยความเพลียที่โดนเขารังแกเกือบทั้งคืนด้วยสายตาอ่อนโยนโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว แล้วใช้มือปัดปอยผมที่ลงมาคลอเคลียใบหน้านวลออกแล้วดึงผ้าห่มมาห่มให้คนตัวเล็กส่วนตัวเขาก็ซุกตัวลงนอนในผ้าห่มผืนเดียวกันกับเธอแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้ใบหน้าหล่อเหล่าค่อย ๆ เลื่อนเข้ามองคนหลับเล็กน้อยก่อนสอดแขนแล้วตลบให้เธอมานอนซุกเข้าอกแกร่งของเ
สหัสวิ่งกระหืดหระหอบมาแต่ไกลเมื่อเขาเองเพิ่งทราบว่ากัณฑ์ธรณ์เพื่อนสนิทของเจ้านายที่กำลังเดินทางมาพร้อมกับรินวราคู่หมั้นของเจ้านาย ปากก็ร้องตะโดนเรียกชื่อเจ้านายหนุ่มถึงแม้เรียกเท่าไรก็ไม่มีเสียงตอบรับ ถามใครก็ไม่รู้ไม่เห็น ลูกน้องหนุ่มคนสนิทจึงต้องวิ่งขึ้นไปดูในห้องนอนรวมทั้งห้องทำงานก็ไม่พอสหัสยืนเกาศีรษะอย่างใช้ความคิดพลางสายตาเหลือบไปเห็นประตูห้องนอนเล็กที่พลาธิปให้จอมขวัญมานอน เขาจึงตัดสินเคาะเรียกสักสองสามครั้งหมายจะถามจอมขวัญว่าเห็นพลาธิปบ้างหรือไม่“คุณจอมครับ คุณจอม!” แต่แล้วสหัสก็ต้องตกใจคนที่มาเปิดประตูไม่ใช่จอมขวัญคนสวย แต่เป็นเจ้านายของเขาคนที่ตามหาออกมาเปิดประตูห้องของจอมขวัญในสภาพที่มีผ้าเช็ดตัวพันเอวสอบเอาไว้“มาเคาะห้องเมียกูทำไม” คนถูกถามงงไม่น้อย เพราะตั้งแต่จับตัวหญิงสาวมาคำนี้แทบจะไม่มีอยู่ในระบบความคิดของเจ้านายเขาแม้แต่น้อย“เอ่อ... คือ”“มึงจะเอ่อคืออีกนานมั้ย แล้วก็ไม่ต้องมองไปข้างใน”“คุณกัณเพื่อนของนายมาครับ” ชายหนุ่มพยักหน้าเขาไม่ได้ตกใจมากนักเพราะกัณฑ์ธรณ์มาที่นี่บ่อยครั้งอยู่แล้ว แต่ชายหนุ่มก็ต้องตกใจกับประโยคต่
พลาธิปเดินคุยกับกัณฑ์ธรณ์ตามทางเลียบชายหาดบนเกาะของเขา หาดทรายสีขาวละเอียด เสียงคลื่นที่ซัดสาดกระทบฝั่งเป็นระลอกทำให้ทั้งสองเดินคุยกันอย่างผ่อนคลายในยามเย็นที่ดวงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้า“มึงมาทำอะไรที่นี่วะ”“กูก็มาหามึงนั่นแหละ… หายไปเป็นเดือน ๆ นึกว่าตายเป็นผีเฝ้าเกาะไปแล้ว” ผู้เป็นเพื่อนเอ่ยแซว“กูก็อยู่นี่แหละ… ไม่ได้ไปไหน” ร่างสูงตอบกลับสายตามองไปรอบ ๆ แล้วเห็นคู่หมั้นของตนกำลังยืนถ่ายรูปอยู่ทางหน้าบ้านเขา “เออ แล้วมึงพารินมาทำไมวะ”“มึงดูปากกูนะ” กัณฑ์ธรณ์ชี้นิ้วไปที่ปากของตนแล้วเอ่ยบอกเพื่อน “กูไม่ได้พามา คู่หมั้นมึงตามกูมาเอง ห้ามแล้วก็ไม่ฟัง”“รำคาญว่ะ” ร่างสูงมองไปยังเจ้าหล่อนแล้วเอ่ยเบา ๆ จนคนเป็นเพื่อนเอ่ยปราม “เฮ้ย ๆ นั่นคู่หมั้นมึงนะเว้ย”“แล้วไงวะ กูไม่ได้อยากได้หรืออยากแต่งงานกับรินซะหน่อย”ผู้เป็นเพื่อนหันมองหน้าราวกับจับผิด“มึงไปแอบมีใครหรือเปล่าวะ”“แอบเอิบอะไร๊ ไม่มี” เขาตอบกลับเสียงสูง “โอ้โห้ เสียงสูง กูว่าต้องมี” กัณฑ์ธรณ์หยุดนิ่งราวกับนึกบางสิ่งบางอย่างออก“เออ ไอ้ทัพพ์กูมีเรื่องจะถามมึงเร
กลางดึกของวันเดียวกันพลาธิปออกจากห้องทำงานขอวเขาที่บอกคู่หมั้นที่นอนรออยู่ในห้องว่าต้องเคลียร์งานให้เรียบร้อยกว่าจะเข้านอนก็ดึกให้นอนกันไปก่อน เจ้าหล่อนพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าห้องไปเช่นเดียวกันกับเขาที่เข้ามาในห้องทำงานนี้พร้อมกับกัณฑ์ธรณ์เพื่อที่จะคุยเรื่องบางอย่างกัน ทว่าหลังจากที่คุยเรียบร้อยเพื่อนของเขาก็ยังไม่วายถามถึงที่มาของกลิ่นหอมที่อยู่ภายในห้องนอนชายหนุ่มต้องรีบกลบเกลื่อนทันทีนับชั่วโมงพลาธิปจึงออกจากห้องทำงานและตรงไปยังบ้านพักท้ายเกาะของเขาอย่างไม่รอช้าแม้แต่เสี้ยวนาที ไม่รู้ความรู้สึกของเขาเป็นอะไรทำไมถึงต้องคิดถึงใบหน้าหวาน ๆ ของจอมขวัญทุกครั้งและเวลาที่คุยเรื่องเธอกับกัณฑ์ธรณ์ในใจเขารู้สึกผิดแปลกก๊อก ๆ ๆ เขาเคาะประตูเพื่อเรียกคนที่อยู่ภายในบ้านได้รับรู้มีคนมา อยากรู้เหลือเกินว่าเวลานี้จอมขวัญหลับหรือยัง“จอมขวัญ จอมขวัญ” พลาธิปส่งเสียงเรียกคนในบ้านอีกครั้งร่างบอบบางของจอมขวัญออกจากห้องน้ำที่ออกจากห้องน้ำที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนใหญ่สีขาวผืนเดียวพันกายเท่านั้น ทันทีที่ก้าวออกจากห้องน้ำเธอได้ยินเหมือนเสียงของใครบางค
ร่างบางส่ายหน้าพยายามพยุงกายตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วออกไปจากห้องนี้อย่างยากลำบาก พลาธิปประคองรินวราออกไปอย่างเอาอกเอาใจเอ่ยกับหล่อนเสียงหวานผิดกับที่ว่ากับเธอ ชบาจึงประคองจอมขวัญให้ลุกขึ้นเธอจึงบอกกับชบาว่าเธอขอช่วยแค่นี้ เธอจะกลับไปยังบ้านท้ายเกาะ แต่จอมขวัญกำลังเดินออกมาทางหลังบ้านพบกับกัณฑ์ธรณ์ที่ถือบางอย่างมาพอดี“สวัสดีครับคุณจอมขวัญ” ชายหนุ่มเอ่ยทักทาย“สวัสดีค่ะ... คุณรู้จักชื่อฉันด้วยเหรอคะ” ใบหน้าหวานฉงนปนสงสัยไม่น้อยจึงเอ่ยถามออกไป เพราะเธอนั้นไม่รู้จักเขา“อ๋อ... ผมได้ยินไอ้ทัพพ์เรียกเมื่อกี้นี้พอดีครับ… เอ่อ… ผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมกัณฑ์ธรณ์ เพื่อนของไอ้เวรทัพพ์มัน” ชายหนุ่มเอ่ยแนะนำตัวติดตลก จอมขวัญยิ้มเล็กน้อย “สวัสดีค่ะ คุณกัณฑ์ธรณ์”“เรียกเสียเต็มยศเลยนะครับ... เรียกผมว่า กัณฑ์ เฉย ๆ ก็ได้ครับ”“ค่ะคุณกัน เรียกฉันว่าจอมก็ได้ค่ะ” ว่าแล้วชายหนุ่มยื่นมือออกไปหมายทักทายจอมขวัญก็เอื้อมมือไปจับเช่นกันเป็นการสร้างมิตรที่ดี“ฉันขอตัวก่อนนะคะ” สายตาคมของกัณฑธรณ์เหลือบไปเห็นแขนอีกข้างของเธอจับเข้าที่หลังเหนือสะโพก “คุณจอมเจ็บหลังหรือครับ
สองเดือนผ่านไปพลาธิปสั่งคนออกตามหาจอมขวัญหลังจากที่เขาให้สหัสลูกน้องคนสนิทส่งเธอกลับมาบ้านของนายดิลกที่ตอนนี้ทั้งนายดิลกและจอมพลหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด แน่นอนว่าเขาไม่สนใจเรื่องสองพ่อลูกนั้นสิ่งที่เขาสนคือจอมขวัญ เมียของเขาหายไป ตามหาที่ใดก็ไม่พบ ก่อนหน้านี้เขามาหาหญิงสาวที่บ้านเธออยู่กับคนรับใช้และแม่บ้านในบ้านแห่งนี้เพียงหนึ่งวันเท่านั้นเพราะเธอไปตามคำสั่งที่เขามาไล่“ยังหน้าด้านอยู่ที่นี่อีกเหรอ” เสียงเข้มดังมาจากทางด้านหลังทำให้คนที่ยืนคุยกับแม่บ้านต้องหันไปมองด้วยสายตาไม่พอใจและปวดร้าว“ไปทำงานต่อเถอะค่ะ” หันไปบอกแม่บ้านแล้วมาตอบกลับชายหนุ่มผู้เข้ามาใหม่เสียงแข็ง “คุณมาที่นี่ทำไม”“ฉันบอกเธอไปแล้วไม่ใช่หรือยังไง บ้านหลังนี้เป็นของฉันพี่ชายเธอเอาโฉนดบ้านหลังนี้มาค้ำประกันกู้เงินกับฉัน และส่วนพ่อของเธอก็เอาบริษัทไอทีที่ไปโกงพ่อฉันมาค้ำประกันกับฉันเหมือนกัน โดยที่มันไม่รู้เลยว่ากำลังเอาของทุกอย่างมาคืนเจ้าของ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างเลือดเย็นให้กับหญิงสาวตรงหน้าก่อนเอ่ยประโยคถัดมา “ทีนี้เธอก็ไสหัวออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว”
เกือบหนึ่งเดือนผ่านชีวิตใหม่ที่แสนเรียบง่ายของจอมขวัญได้เริ่มต้นขึ้น อาศัยอยู่ในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ บรรยากาศที่นี่ดีกว่าเมืองหลวงค่อนข้างมาก ที่นี่บางครั้งก็มีหมอกสีขาวจาง ๆ ในยามเช้าทำให้การเริ่มต้นในแต่ละวันแสนสดใส ผู้คนละแวกนี้ต่างให้การต้อนรับคนต่างถิ่นของเธออย่างดี หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เธอเลือกหลังจากที่ถูกพลาธิปไล่ออกจากบ้านหลังที่เธอเคยอยู่อย่างกับหมูกับหมาเวลาเก็บของแทบไม่มีเธอมาอยู่ที่นี่โดยที่ไม่บอกใครหรือติดต่อใครกลับไปทำตัวไร้ร่องรอยแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างแพรไหมหรือป้านิ่มที่คอยดูเธอ ตั้งแต่อยู่บ้านโน้น ในเมื่อเขาอยากได้ทุกอย่างก็เอาไปรวมทั้งเงินจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทที่เขายัดใส่มือเธอตอนออกจากเกาะ เธอไม่อยากได้จึงฝากป้านิ่มคืนเขาจอมขวัญมาที่นี่ด้วยเงินเก็บที่มีติดตัวไม่กี่แสนกับรถยนต์คันโปรดของเธอแต่ทว่ารถมันไม่ได้จำเป็นมากเท่าไรเธอจึงที่จะขายมันถึงแม้ว่าจะรักมากก็ตาม ขายแล้วเอาไปซื้อรถยนต์ญี่ปุ่นราคาไม่กี่แสนมาใช้แทนกับตอนนี้เธอไม่ได้ยิดติดในความสะดวกสบาย ขอแค่พออยู่พอใช้ก็เพียงพอแล้ว เงินที่เหลือจากการขายรถและซื้อรถคันใหม่เธอเอามาลงทุนเปิด
นับตั้งแต่วันที่พลาธิปไล่จอมขวัญออกจากบ้านหลังนั้นไปใจเขาปวดร้าวทรมาณเหลือเกินที่ตามหาหญิงสาวเท่าไรก็ไม่พบจนอาการเขาเริ่มเศร้าซึมลงทุกทีจนลูกน้องคนสนิทอดเป็นห่วงเจ้านายหนุ่มไม่ได้ ใบหน้าของเจ้านายเครียดอย่างเห็นได้ชัดไม่รู้ว่างานตรงหน้าหรือเรื่องที่ตามหาจอมขวัญไม่พบ“มีอะไรเปล่าสหัส”“ผมว่านายพักผ่อนหน่อยดีกว่าครับ” คนเป็นลูกน้องบอกกับเจ้านายด้วยความเป็นห่วง“ไม่… ฉันทำได้ไม่ได้เป็นอะไร”ตั้งแต่ที่จอมขวัญหายไปเจ้านายของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนทำงานหามรุ่งหามค่ำออกตามหาหญิงสาวทุกที่ที่คิดว่าเธอจะไป“สหัสแล้วเรื่องที่ให้ตามหาว่าไงได้เรื่องบ้างไหม”“ได้ครับแต่ว่ายังไม่พบคุณจอมครับ พบแต่รถยนต์ของคุณจอมที่เธอใช้บ่อย ๆ ขายให้กับเต้นท์รถแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือ“แล้วได้สืบต่อมั้ยว่าว่าเมียกูอยู่ที่ไหน”“เรื่องสืบต่อผมให้พีระตามอยู่ครับว่าคุณจอมอยู่ที่ไหน ถ้าได้เรื่องยังไงผมจะรีบมารายงานครับ” ลับหลังลูกน้องคนสนิทพลาธิปทิ้งกายลงเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน“จอมจ๋า… จอมไปอยู่ที่ไหนผมคิดถึง” เขาพร่ำเพ้อออกมา ร่างสูงถอนหายใจออกมาอย่
ตอนจบเวลาผ่านไปร่วมสองเดือน อัทธ์ยังคงวนเวียนอยู่ที่บ้านของสริตาตั้งแต่วันนั้น แม้จะโดนหญิงสาวไล่ออกจะบ่อย แต่มีหรือคนอย่างเขาจะสนขอเพียงอย่างเดียวคือได้หญิงสาวกลับมาในอ้อมอกเท่านั้น“นิล พี่ช่วยนะ” ชายหนุ่มที่กำลังกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านของหญิงสาว เมื่อเห็นสริตาเดินสะพายกระเป๋าพร้อมทั้งยกกล่องพัสดุที่จะส่งลูกค้ามายังท้ายรถยนต์ของตัวเองจึงรีบวิ่งไปช่วยด้วยความที่ไม่อยากให้เธอยกของหนักเกรงจะกระทบลูกในท้อง“ไม่ต้อง ออกไปห่าง ๆ เลย” หญิงสาวไล่ชายหนุ่มเสียงแข็ง แต่มีหรือคนหน้ามึนอย่างเขาจะยอมทำตาม“พี่ช่วยดีกว่า”ชายหนุ่มบอกเพียงแค่นั้นแย่งของจากมือสริตาแล้วจัดวางยังท้ายรถพร้อมทั้งวิ่งไปเอากล่องที่วางอยู่ในบ้านยกมาวางรวมกับสิ่งที่เพิ่งวางไปเมื่อครู่การกระทำของเขาทำให้สริตาไม่ค่อยที่จะพอใจสักเท่าไหร่“คุณอัทธ์คะ เลิกมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตฉันได้แล้วค่ะ” หญิงสาวกอดอกพูดกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยสีหน้าไม่พอใจ“เลิกยุ่งกับเมียไม่ได้เหรอก” เขาตอบอย่างใจเย็น ก่อนมายืนส่งยิ้มละมุนตรงหน้าหญิงสาวและเอ
บทที่ 17“จะไม่เข้าไปจริง ๆ เหรอครับนายหัว”จอมพลหันไปถามเจ้านายที่กำลังนั่งมองบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งผ่านทางหน้าต่างกระจกรถยนต์อยู่นานสองนาน ไม่ยอมทำอะไรเสียทีตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็เกือบจะบ่ายโมงของอีกวันเสียแล้ว อันที่จริงเขาอยากจะมาให้ถึงตั้งแต่เมื่อวานเพื่อที่จะให้ได้พบสริตาโดยเร็ว“รอสักพักค่อยเข้าไป” นายหนัวหนุ่มตอบลูกน้องโดยที่สายตาคมไม่ลาจากสิ่งตรงหน้าตั้งแต่มาถึงที่นี่เขาเฝ้ามองตลอดว่าจะมีใครออกจากบ้านหลังเล็กนั่นหรือไม่ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครออกมาไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของผู้หญิงวัยกลางคนที่กำลังอุ้มหนูน้อยตรงมายังแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน ซึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่คอยให้ร่มเบาไม่ห่างจากตัวบ้านมากนัก“ยายพาออกมาเล่นข้างนอกแล้ว หยุดงอแงได้แล้วนะ” ผู้เป็นยายวางหลานลงกับแคร่ไม้ไผ่และนั่งลงข้าง ๆ พูดกับหลานอย่างเอ็นดู เขาจอดรออยู่ใกล้ ๆ พอจะได้ยินสิ่งที่หญิงวัยกลางคนคุยกับเด็กคนนั้น“นายหัวจะไม่ลงไปจริง ๆ เหรอครับ” ลูกน้องหนุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เจ้านายของตนให้ความสนใจเด็กน้อยที่ถูกอุ้มออกมาจากบ้าน อั
บทที่ 16เวลาผ่านไปสองสัปดาห์ สริตากลับมาอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดกับลูกชายและมารดาของตนพร้อมกับลูกน้อยอีกคนที่อยู่ในท้อง หลังจากที่กลับมาบ้านสริตาทำตัวให้ปกติที่สุด ทำทุกอย่างตามเดิมในแบบฉบับที่เคยเป็น“ทำไมถึงลาออกไม่ทำงานที่อยากทำล่ะลูก”คนแม่ถามลูกสาวที่กำลังนั่งแพ็คกระเป๋าแฟชั่นลงกล่องให้ลูกค้า เงยหน้ามองมารดาที่อุ้มลูกชายของตนอยู่“ต่อให้นิลทำงานที่ชอบต่ำไม่มีเวลาให้แม่กับอนลนิลคงไม่มีความสุขหรอก ต่อให้ขายของออนไลน์เงินจะยังไม่มาแต่มันก็ดีนะแม่” หญิงสาวลาออกจากงานมาอยู่บ้านขายของออนไลน์กับครอบครัวและยังมีเวลาให้ลูกน้อยอีกด้วย“จะเอาแบบนี้เหรอ แล้วที่หายไปไปไหนมา”“ทำงานค่ะ ต่างจังหวัดมันไม่ค่อยมีสัญญาณสักเท่าไหร่”“แล้วของพวกนี้จะเอาไปส่งตอนไหนเนี่ย” สิริกรเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อไม่ให้ลูกสาวต้องคิดมาและ กอย่างไม่อยากสักถามให้มากความ“พรุ่งนี้ค่ะแม่ ว่าจะไปส่งก่อนไปหาหมอ เดี๋ยวคืนนี้นิลต้องตอบแชทลูกค้าอีกหลายคน ฝากแม่พาอนลนอนด้วยนะคะ”นางพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนบอกลูกสาวแย่งเป็นห่วง “เราน่ะก็พักผ่อนเยอะ ๆ อย่า
บทที่ 15นับจากวันที่สริตาถูกช่วยออกมาจากเกาะ ได้มาพักอยู่ที่บ้านมารดาของธันว์เพื่อให้สภาพร่างกายของหญิงสาวดีขึ้น สริตามีอาการอ่อนเพลีย ไม่ยอมพูดจากับใครแม้กระทั่งตัวของเขา หญิงสาวเก็บตัวเงียบหากปล่อยนานกว่านี้คงไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอนธันว์ตัดสินใจเข้ามาคุยกับหฯงสาวอีกครั้ง เมื่อเห็นเธอออกจากห้องมาสูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอก“นมครับน้องนิล” ชายหนุ่มถือนมสดหนึ่งแก้วมาวางกันโต๊ะที่สริตายืนอยู่ใกล้ ๆเธอเพียงหันมามองและยิ้มจาง ๆ กับเขาเท่านั้น“มองหน้าแบบนี้มีอะไรจะถามหรือคะ” สริตาถามขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่เงียบไม่พูดไม่จามาหลายวัน“พี่อยากจะถามเรื่องของนิลกับไอ้อัทธ์”สิ้นเสียงของธันว์ทำให้สริตามองหน้าเขานิ่ง ๆ เวยความเศร้าโศก ครั้นจะอ้าปากตอบคำถามของชายหนุ่ม อยู่ ๆ ก็เกิดผะอืดผะอมจนต้องวิ่งออกไปอาเจียน การการของหญิงสาวทำให้ธันว์ต้องรีบเข้าไปลูบหลังให้จนกระทั่งมารดาของเขาเดินเข้ามา“เรามีธุระไม่ใช่หรือตาธันว์ เดี๋ยวแม่จัดการเอง”ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนเดินออกไปจากตรงนั้น ปล่อยให้สริตาอยู่กับมารดาของตนตามลำพังเ
บทที่ 14 นับจากวันนั้นที่สริตาออกจากโรงพยาบาลโดยการที่แอบออกมาแต่ก็ถูกจัดได้ เขาก็พาเธอมที่นี่อีกครั้งร่วมรักกับเธอทุกวันจนเกือบสัปดาห์ หญิงสาวไม่ได้ออกไปไหนได้แต่อยู่ภายในบ้านหลังนี้เพราะแน่นอนว่าโซ่ตรวนที่เขาใส่ไว้ให้ที่ข้อเท้ามีเพียงอัทธ์เท่านั้นที่จะปลดปล่อยเธอได้ ร่างสวยงามของคนตัวเล็กเริ่มทรุดโทรมราวกับตรอมใจที่หมดหนทางออกไปจากเกาะแห่งนี้เพราะตนคิดถึงลูกน้อยสุดหัวใจแก๊ก แก๊กเสียงเปิดประตูทางหน้าบ้านมันไม่ทำให้สริตาเงยหน้าจากการกอดเข่าอย่างเศร้าหมอง เพราะคงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากอัทธ์คนใจร้ายคนนั้นเป็นแน่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของเธอเสียงพูดจากจากผู้มาใหม่ สริตาจึงเงยหน้าที่เต็มไปด้วยตราบน้ำตามองคนตรงหน้า“คุณเป็นใคร!” สริตาถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งคอจนแทบจะเป็นผงผู้ชายคนนั้นไม่พูดอะไรนอกเสียจากหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดบางสิ่งดูเพื่อความแน่ใจ ก่อนเอ่ยถามพร้อมย่อกายลงนั่งในระดับเดียวกับสริตา “น้องนิลเพื่อนของนิ้วนางใช่ไหม”
บทที่ 13“นิล นิล เป็นไงบ้าง” เขาถามขึ้นอย่างดีใจ เมื่อสริตาขยับนิ้วมือเล็กน้อยทำให้อัทธ์รู้สึกตัวเงยหน้ามองใบหน้างามที่เริ่มมีสีเลือดจาง ๆ กว่าตอนที่มาโรงพยาบาลใหม่ ๆดวงตาหวานกระพริบถี่ ๆ เพื่อปรับให้ชินกับแสงสว่างรอบห้อง ที่นี่คงไม่ใช่ที่ไหนนอกเสียจากห้องพักในโรงพยาบาล พลันสายตาดันไปปะทะกับใบหน้าคมที่อยู่ตรงหน้าพอดี สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปราบปลื้มเสียเต็มประดา“นิลเป็นยังไงบ้าง รู้สึกไม่ดีตรงไหนไหม” เขาถามเออีกครั้งเมื่อเห็นเธอยังคงนิ่งเงียบ“ฉันอยากพัก” สริตาบอกพียงแค่นั้นแล้วหันหลังให้กับอัทธ์เขาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับคนที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนเดินออกไปนอกห้องเพื่อั้จะตามหมอให้มาตรวจดูอาการของสริตาว่าหายดีหรือยังมีอะไรแทรกซ้อนหรือไม่ไม่นานแพทย์เจ้าของไข้เข้ามาตรวจดูอาการของสริตา หญิงสาวไม่ได้เป็นอะไรนอกเสียจากพักผ่อนน้อยจึงทำให้อ่อนเพลียพักที่โรงพยาบาลก็กลับบ้านได้แล้วอัทธ์เหมือนกำลังจะอ้าปากเอ่ยอะไรบางอย่างกับเธอ แต่กูกรบกวนด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือจนต้องรีบออกไป หลังจากที่ชายหนุ่มไม่ได้อยู่
บทที่ 12มือเรียวสั่นสะท้านเมื่อกำลังปลดเข็มขัดและกระดุมออกจากกางเกงของเขาให้เร็วที่สุด แต่ยิ่งเร่งเท่าไรมันยิ่งยากและช้าเท่านั้น ทำเอาคนที่คอยจับจ้องการกระทำของเธอตอนนี้ใจจะขาดเสียให้ได้ ในที่สุด หญิงสาวก็จัดการรูดกางเกงของเขาลงทำให้ท่อนเอ็นแข็งกร้าวผงาดต่อหน้าต่อตา“จับมันสิ ลูบมัน” เขาสั่งเร่งเร้าเพราะเธอมัวแต่ยืนไม่จัดการสักทีสริตาทำใจกล้าย่อกายนั่งคุกเขาจับท่อนลำอวบตรงหน้ากำมันและรูดขึ้นรูดลงเบา ๆ ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้ส่วนหัวปลายอย่างเน้น ๆ ทำเอาเขาสะท้านไปทั้งกาย“อ่า แบบนั้นแหละ อืม”เสียงทุ้มเข้มครางกระหึ่มคล้ายถูกใจในการกนะทำของหญิงสาว“เอาเข้าปากเร็ว ๆ สิ”คนตัวเล็กเริ่มเปลี่ยนจาดมือเรียวสวยมาเป็นปากบางกระจับ ลิ้นเล็กค่อย ๆ ไล้เลียส่วนปลายท่อนเอ็นอย่างเชื่องช้า เพียงแค่สัมผัสน้อยนิดก็ทำเอาชายหนุ่มถึงกับเดือดเลือดพล่านไม่น้อย“อ่า เก่งมาก เอาอีกสิอยากไปจากที่นี่ก็ต้องลงทุนหน่อย”สิ้นเสียงพร่าแสนยั่วยวนของเขามันกระตุ้นเธอได้ไม้น้อย ลิ้นเล็กตะวัดไล้เลียอย่างรวดเร็วก่อนจะส่งตัวตนของเขาเข้าป
บทที่ 11สริตาลืมตาขึ้นด้วยความเคยชินนับตั้งแต่มายู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันที่เธอต้องจัดการอะไรต่าง ๆ มากมายทั้งทำความสะอาดบ้านหลังน้อยหรือแม้กระทั้งซักเสื้อผ้าของตนเอง ที่นี่ไม่ได้มีเครื่องอำนวยความสะดวกเหมือนกับตอนที่เธออยู่บ้านหรือกรุงเทพฯ คนที่นี่บางคนใช้เครื่องซักผ้า แต่สำหรับเธอแล้วต้องซักด้วยมือเท่านั้นไม่กล้าไปเอ่ยปากขอยืมจากใครหญิงสาวเปิดประตูเข้าไปในห้องอย่างเบามือเพื่อที่จะเอาเสื้อผ้าชุดชั้นในที่ถูกโดนทิ้งไว้ในตะกร้าออกมารอหลังจากที่ทำอาหารเช้าเสร็จจะเดินไปที่ลำธารเช่นเคย สริตาเปิดตู้เย็นเล็กของบ้านหาของสดผักสดที่อัทธ์สั่งลูกน้องซื้อมาให้เธอทุกสัปดาห์ออกมาจัดเตรียมเช้านี้อยากจะทำอะไรง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากเสียเวลา แต่ในจังหวะที่เธอจะเปิดเตาแก๊สปิกนิกที่ใช้ประจำกลับไม่ติดเสียอย่างนั้น“ทำไมไม่ติดล่ะ”เธอพยายามเปิดครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ติดจึงละความพยายามและออกไปดูด้านนอกว่าพอจะมีอะไรที่ช่วยเธอได้บ้างหรือไม่ เพราะคราวก่อนจำได้ว่าเคยมีเตาถ่านวางอยู่ข้างบ้านสั่นนั้นมันอาจจะช่วยเธอได้“มีเตาอยู่ด้วย ว่าแต่มันจุดยังไงล่ะทีนี้” สริต
บทที่ 10สามวันที่อัทธ์ออกไปทำธุระของเขาตั้งแต่วันก่อน มันทำให้เธอหายใจหายคอได้สะดวกที่ไม่พบคนใจร้ายให้วุ่นวายใจหรือใช้งานหนักเยี่ยงทาสทว่าในยามที่เขาไม่อยู่สริตาจึงใช้เวลาหลังเลิกงานคอยสอดส่องหาทางหนีทีไร่อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะการที่จะออกจากกรงขังของเขาได้นอกจากจะมีเรือเท่านั้น แต่นี่ไม่พบเรือสักลำถ้าหากอัทธ์กลับมาเธออยากจะลองอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาได้รับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบางทีเขาอาจจะปล่อยเธอไปก็ได้ในขณะที่สริตากำลังฮำเพลงระหว่างเดินกลับบ้านเล็กท้ายเกาะก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเอะอะโวยวายของใครบางคนที่ดังขึ้นตรงบริเวณที่มีเรืออยู่จนต้องหันไปมอง คนตัวเล็กพยายามหรี่ตามองว่าใครกันที่เสียงดังเช่นนี้ จนกระทั่งรู้แน่ชัดว่าเจ้าของเสียงนั้นคืออัทธ์“นายหัวรอผมก่อนเดี๋ยวผมช่วย” ลูกน้องของอัทธ์ร้องห้ามเมื่อเจ้านายของตัวเองเดินปรี่ไปที่หญิงสาวที่อยู่ริมหาด ด้วยความที่กลัวเจ้านายจะเป็นอันตรายจึงรีบวิ่งไปประคองกระนั้นคนเมามายกลับไม่ยอมพร้อมบอกให้ไม่ต้องมายุ่งเสียอย่างนั้น “ไม่ต้องกูเดินเองได้”