“เป็นเยี่ยงไรบ้างเพคะเจ้านางน้อย รู้สึกดีหรือไม่” เพียงแค่ฉันลืมตาตื่นเสียงทักก็ดังขึ้น จึงหันไปมองพบเป็นกาลัดที่นั่งอยู่ข้างเตียง
“อืม หลับสนิทดี แล้วนี่กลีบบัวไปไหนล่ะ?” ฉันพยุงตัวลุกนั่งทั้งที่ยังมีอาการงัวเงีย ไม่เห็นกลีบบัวจึงได้ถามขึ้น
“ห้องครัวเพคะ เตรียมสำรับให้เจ้านางน้อย” กาลัดตอบ
“ตอนนี้กี่โมงกี่ยามละ” ฉันถามกาลัดทั้งที่ยังสะลืมสะลือมือขยี้ตาเบา ๆ
“ย่ำค่ำแล้วเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดตอบฉัน และมันก็ทำเอาตาฉันสว่างโล่ เพราะงุนงงกับเวลาที่กาลัดบอก
“ย่ำค่ำนี่กี่โมงวะ” ฉันเกาหัวงึมงำกับตัวเอง “เออย่ำค่ำก็ย่ำค่ำ”
“เจ้านางน้อยทรงตรัสว่ากระไรหรือเพคะ” กาลัดถามพลางขมวดคิ้วงง
“ไม่มีอะไรหรอก บ่นไปเรื่อยน่ะ” ฉันฉีกยิ้มแล้วตอบเธอ
“กลีบบัวไปนานนัก ทำให้เจ้านางน้อยต้องคอยอยู่นาน” กาลัดบ่น พร้อมกับชะเง้อมองไปทางบานประตู
“เออนี่กาลัด แล้วถ้าฉันอยากจะอาบน้ำล่ะต้องไปตรงไหน”
“สระบัวแก้วมรกตเพคะ เป็นสระส่วนพระองค์ที่เจ้าหลวงสร้างขึ้นเพื่อเจ้านางน้อยพระองค์เดียวอย่างไรเพคะ...ทรงลืมอีกแล้วรึเพคะ”
“ชื่อเพราะดีจัง”
“กลีบบัวมาพอดี”
ฉันกำลังนั่งคิดเพลิน ๆ ต้องชะงักเมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้น เป็นกลีบบัวที่มาพร้อมกับสำรับที่มีคนยกตามหลังเข้ามา
“ผ้าชุบน้ำเพคะเจ้านางน้อย จะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น” กลีบบัวยื่นผ้าชุ่มน้ำมาตรงหน้า ฉันรับมาและทำตามอย่างว่าง่าย ก็ไม่รู้ว่าจะฝืนไปเพื่ออะไร ขนาดการมาที่นี่ฉันก็ยังจับจุดไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ขอบใจนะ”
“จะ จะ เจ้านางน้อยพูดขอบใจบ่าวอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ข้าหูฝาดไปไหมวะกาลัด”
มันแปลกตรงไหนกับการที่ฉันพูดแบบนี้ ทำให้ทั้งกาลัดและกลีบมองมองหน้ากันด้วยความงุนงง และฉันก็งงพวกหล่อนเช่นกัน
“ข้าก็เช่นกันกลีบบัว”
“อะไรกันอะ แค่พูดขอบใจเองนะแปลกตรงไหน?”
“ตรงที่เจ้านางน้อยไม่เคยพูดกับพวกหม่อมฉันอย่างไรเล่าเพคะ” กลีบบัวรีบตอบหน้าตาตื่น
“เป็นสตรีที่ขึ้นชื่อว่าสุดแสนจะเย็นชา แล้วมากล่าววาจาเช่นนี้กับบ่าวอย่างหม่อมฉันเลยรู้สึกแปลกหูเพคะ” กาลัดพูดเสริมต่อ
“ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ? (“ไม่สินั่นไม่ใช่ฉัน แต่เป็นผณินทรต่างหาก”)” ฉันชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้าไม่ใช่ตัวตนของตัวเองจึงเข้าใจได้
“เพคะ”
“หิวแล้วล่ะ”
“พวกเจ้ายกสำรับมาถวายเจ้านางน้อยได้แล้ว” กลีบบัวหันไปออกคำสั่งคำเหล่าบริวาร จากนั้นสำรับก็ถูกวางตรงหน้าของฉันมากมาย หน้าตาของอาหารสวยสดงดงาม จนฉันไม่กล้าจะตักเข้าปาก
“ทอดพระเนตรอยู่นานแล้ว เจ้านางน้อยไม่สบายพระองค์หรืออย่างไรเพคะ” กลีบบัวพูดขึ้นทำให้ฉันต้องละสายตาจากอาหาร แล้วมองไปยังเธอที่กำลังชักสีหน้าสงสัย
“หน้าตาอาหารดีเกินไปจนไม่กล้ากิน” ฉันให้คำตอบ
“เสวยเถิดเพคะ ประเดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน” เป็นกาลัดที่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นฉันก็ข่มใจตักอาหารเหล่านั้นเข้าปาก คำแรกที่ได้ลิ้มรสมันจะจับใจเสียเหลือเกิน มันอร่อยมากจนฉันอยากจะตะโกนดัง ๆ รสชาติอาหารทำให้ฉันลืมเรื่องหน้าตาไปหมดสิ้น ตอนนี้ฉันนั่งตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย จนท้องของฉันเริ่มจุกแน่น
“เอิ้ก! อุ๊ย!...โคตรอิ่มเลยอร่อยมาก” ฉันเผลอหลุดเสียงออกมาเพราะความอิ่ม จนรีบยกมือปิดปากแล้วมองไปทางกาลัดกับกลีบบัวด้วยความอับอาย ทั้งสองคนก็ก้มหน้าอมยิ้มก้ำกึ่งหัวเราะ คงเพราะเสียงเรออันน่ารักของฉันที่พ่นออกมาหลังกินข้าวเสร็จ
“ต่อหน้าผู้อื่นเจ้านางน้อยจะกระทำเยี่ยงนี้ไม่งามนะเพคะ” กลีบบัวผู้เรียบร้อยบอกฉันด้วยคำพูดอ่อนโยน
“จ้า ฉันรู้...แค่ลืมตัวไปนิดนึง”
“เจ้านางน้อยทรงสรงน้ำเลยหรือไม่เพคะ นี่ก็มืดมากแล้ว”
“อืม เหนียวตัวจะแย่”
หลังจากที่นั่งย่อยสักพักกาลัดก็พูดขึ้น เป็นอะไรที่ดีมากเพราะตั้งแต่ที่ฉันรู้สึกตัวน้ำยังกระทบผิวของฉันสักหยด การมาอยู่ตรงนี้แม้จะยังไม่ข้ามคืน ความคิดถึงและคะนึงหาครอบครัวก็ทำให้หัวใจของฉันหว้าเหว่เหลือเกิน แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อมันไร้หนทางกลับ ฉันจำต้องอยู่ในสถานะนี้ด้วยความจำยอมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และต้องปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ให้ได้ แม้ว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญมากเหลือเกินก็ตาม
แสงไฟจากตะเกียงเพียงรำไร ทำให้พอเห็นเส้นทางเดินที่กำลังจะมุ่งหน้าเพื่อไปยังสระบัวแก้วมรกต ฉันเดินตามหลังกาลัดกับกลีบบัว พร้อมกับสอดสายตามองโดยรอบด้วยความใคร่รู้ และหูของฉันก็ดันได้ยินเสียงบางอย่างแว่วเข้ามา ทำให้ฉันต้องชะงักขาหยุดเดินทันที
“เสียงอะไรอะ”
“เสียงจากที่ใดหรือเพคะเจ้านางน้อย”
“มาจากทางนั้น”
ฉันหยุดนิ่งแล้วพยายามฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจ เสียงเหมือนกำลังมีการปะทะกัน เสียงของการต่อสู้หรืออะไรสักอย่าง จนกาลัดถามขึ้นฉันจึงขี้นิ้วไปตามเสียงที่ดังเข้าหู ซึ่งอยู่ฝั่งขวามือของฉัน
“หม่อมฉันไม่ยักจะได้ยินเพคะ” กลีบบัวพูดต่อ
“แต่ฉันได้ยินจริง ๆ นะ นั่นไงดังอีกแล้ว”
(“เจ้านางน้อย!”)
เสียงเริ่มดังขึ้นอีกระลอก พูดจบฉันก็รีบวิ่งไปตามเสียงนั้นทันที โดยไม่สนกาลัดกับกลีบบัวเลย มันดึงดูดความอยากรู้ของฉันมาก เสียงเหมือนเหล็กกระทบกระทั่งดังขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนว่าฉันกำลังเข้าใกล้เสียงนั้นเต็มที และสุดท้ายฉันก็มาถึงที่หมายเห็นภาพทุกอย่างเต็มสองตา มันทำให้ฉันแทบหยุดหายใจ...
-ปัจจุบัน- ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”“ครับพ่อ”พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบไปสิบแปดวันเลยนะคะ แน่ใจใช่ไหมคะว่าไม่เป็นอะไรจริง ๆ”แม่ถามย้ำท่านคงเป็นห่วง นี่ฉันนอนหลับไปสองอาทิตย์กว่าเลยงั้นเหรอ?“คนไข้ไม่เป็นอะ
ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้วเสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว..."ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ
“ความลับที่อยู่ในใจของอาศิรวิษ... คือกุญแจสุดท้าย”และก่อนที่ฉันจะถามต่อ เสียงระเบิดพลังพุ่งเข้ามาจากทิศตะวันตก เสียงร้องเตือนจากทหารของมคธนครดังสนั่น“มีเงามืดบุกเข้ามา! พวกมันมีตราเหมือนกับศศินา!”ฉันเบิกตากว้าง“หมายความว่าไง?!”เสียงของอาศิรวิษตะโกนมาอย่างรีบเร่ง“เจ้านางน้อย! อยู่ข้างหลังข้า!”เขาคว้าฉันไว้ในอ้อมแขน ดึงออกจากระเบียงก่อนเปลวพลังจะระเบิดฟาดผ่านจากเงามืด...ศศินาค่อยๆ เดินออกมาอีกครั้ง“ข้า...ไม่ใช่ศศินาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว อาศิรวิษ”และเบื้องหลังนางคือเงาในคราบอดีตของอาศิรวิษ ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าไม่ใช่เพียงศศินา หากแต่คือใครบางคนที่มีเงาทาบซ้อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตานางไม่ใช่ศศินาอีกต่อไปแต่คือผู้ที่ครอบครองนางอาศิรวิษหน้าถอดสี ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังสั่นเล็กน้อย“นางคือ...อาคิรนัย”เสียงของอาศิรวิษหลุดเบาออกมาราวกับวิญญาณเขาจะหลุดจากร่าง ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัยปนสั่นไหว
ฉันก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หัวใจหนักอึ้งด้วยความสูญเสีย ในมือยังคงกำผ้าผูกข้อมือสีทองของอาศิรวิษและจี้หยดครามของตรีภพไว้แน่น ความทรงจำของพวกเขายังคงชัดเจนในจิตใจ ฉันตัดสินใจเดินทางสู่แดนต้องห้าม สถานที่ซึ่งเล่าขานว่าเป็นที่สถิตของ ผู้เฝ้าประตูแห่งวิญญาณ เชื่อกันว่าผู้เฝ้าประตูสามารถนำวิญญาณกลับคืนสู่โลกได้ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฉันต้องฝ่าฟันผ่านป่าทึบที่มีสัตว์ร้ายและกับดักมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพ จึงไม่ยอมแพ้ เมื่อมาถึงประตูแห่งวิญญาณ ฉันพบกับผู้เฝ้าประตู เธอเป็นหญิงสาวลึกลับที่มีดวงตาสีเงินเปล่งประกาย เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"เจ้าปรารถนาจะนำวิญญาณกลับคืนหรือ?" เธอถามด้วยเสียงเย็นชาฉันพยักหน้าและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ"ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกเขากลับมา"ผู้เฝ้าประตูยิ้มบางๆ และกล่าวว่า"การแลกเปลี่ยนนี้ เจ้าต้องสละสิ่งที่เจ้ารักที่สุด เจ้าพร้อมหรือไม่?"ฉันนิ่งคิด ความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพคือสิ่งที่มีค่
คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนครจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”ฉันรู้สึกได
หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีตแต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อยแล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปแต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”