“คุณหมอ...” พลับพลึงเริ่มมึนหัวหนักขึ้น “มากับอารัณเหรอคะ” เสียงของเธอเริ่มติดขัด และปกรณ์ก็แน่ใจว่ายากำลังออกฤทธิ์ ไม่ว่ายานั่นจะเป็นยาอะไรก็ตาม เขาจะต้องหาทางช่วยหญิงสาว
“ครับ คุณหนูพลับเหมือนจะเมาแล้ว ผมว่ากลับบ้านดีกว่าไหมครับ”
“ถ้าน้องพลับอยากกลับบ้าน ผมจะไปส่งเองเพราะผมพาเธอมา คุณหมออย่ายุ่ง”
หมอสัตว์ขมวดคิ้ว เมื่อนฤดลส่งสายตาเป็นเชิงบอกว่าอย่างยุ่งเรื่องชาวบ้าน แล้วเกี่ยวเอวพลับพลึงเดินออกไปจากฟลอร์เต้นรำ ปกรณ์ขอตัวกับหญิงสาวในอ้อมแขนแล้วรีบไปบอกดรัณ
“เฮ้ยไอ้พ่อเลี้ยง เกิดเรื่องแล้วว่ะ”
“อะไรของแกวะไอ้หมอ” ดรัณกำลังเพลิดเพลินอยู่กับรสชาติของวิสกี้ออนเดอะร็อค ผสมกับความคิดที่เริ่มลอยไปถึงใครบางคนที่กลายเป็นอดีต
“ผู้หญิงคนที่นายนฤดลวางยา ฉันรู้แล้วว่าเป็นใคร”
“นี่แกยังไม่เลิกคิดจะยุ่งเรื่องคนอื่นอีกหรือวะ ตอนนี้ฉันไม่อยากชักปืนใส่หน้าใครว่ะ ขอโทษนะเพื่อน” ดรัณปฏิเสธแล้วหันไปสนใจกับเครื่องดื่มสุดโปรดต่อ
“แต่คนนี้แกต้องยุ่ง เพราะหล่อนคือพลับพลึง ลูกสาวพ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์ หลานสาวของอิงฟ้า”
พ่อเลี้ยงหนุ่มชะงักมือค้างกลางอากาศ เขาหันมาเลิกคิ้วให้กับเพื่อนสีหน้าไม่ยินดียินร้าย จนปกรณ์เริ่มลังเลว่าจะไม่ทันการ พอดีพลับพลึงคงถูกนฤดลพาขึ้นรถแล้วคงจบที่โรงแรมไหนสักแห่ง
“ถ้าแกไม่ช่วย ฉันจะทำเอง แล้วแกจำไว้ว่าแกกำลังฆ่าคุณหนูพลับทั้งเป็นไอ้รัณ”
จบคำแทนที่ปกรณ์จะพุ่งตัวออกไปก่อนกลายเป็นพ่อเลี้ยงรูปหล่อควักเงินมาวางบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว แล้วแทรกผู้คนมากมายออกไปราวพายุ เขาออกไปทันเห็นไฟท้ายรถเปิดประทุนของนฤดลเลี้ยวออกไปจากลานจอดรถ ร่างสูงวิ่งไปที่รถของตนแล้วออกรถตามไปทันที
“เออเฮ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิเพื่อนยาก” หมอปกรณ์ทำได้แค่เพียงมองตามรถที่พุ่งปรี๊ดราวกับถูกดีดออกจากที่จอด ความเร็วขนาดล้อฟรีคงตามรถของนฤดลได้ทันแน่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าเพื่อนรักจะต้องไปช่วยพลับพลึงไว้ทัน ปกรณ์ก็ถอนใจโล่งอก เขาไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงต่อไปแล้ว สาวน้อยจะต้องปลอดภัยไร้กังวล
คนขับรถคันใหญ่ขับตามรถคันเตี้ยเปิดประทุนชนิดไม่ให้คลาดสายตา ดรัณบอกตัวเองว่าเขาจะปล่อยให้พลับพลึงถูกนฤดลพาไปไหนต่อไหนในค่ำคืนนี้ไม่ได้ ยานั่นไม่รู้ว่าจะออกฤทธิ์แบบไหน เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นยานอนหลับ ผู้ชายเสเพลอย่างนฤดลคงจะอยากให้พลับพลึงหมดสติแล้วลวนลามเธอ ตอนได้ยินปกรณ์บอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ใช่ว่าเขาไม่สนใจหรือไม่อยากช่วย แต่ที่ชะงักค้างเพราะกำลังคิดว่าผู้หญิงอย่างเด็กคนนั้นจะมาเที่ยวสถานที่แบบนี้ได้ยังไง แต่พอคิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้นถ้าเป็น...เด็กสาวที่ชื่อพลับพลึง
รถโฟล์วีลล์ขับเคลื่อนสี่ล้อแซงปาดหน้ารถคันโก้ของนฤดลไว้ได้ เมื่อมีช่องว่างบนท้องถนนให้แซงรถคันอื่นขึ้นมา นฤดลเบรกรถไม่ทันก็เลยชนเข้ากับรถคันใหญ่ของดรัณ
“เฮ้ย!!! ใครวะ ขับรถอย่างนี้ได้ยังไงเนี่ยฮะ”
ดรัณกระโดดลงจากรถอย่างไม่รอให้นฤดลมาถึง เขาเหลือบตาเห็นพลับพลึงนั่งคอพับคออ่อนอยู่ในรถเปิดประทุนแล้วรู้สึกใจหาย ไม่เสียดายรถของตนที่ถูกชนเลยสักนิด ความเสียหายนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมากมายจนต้องตกใจเพราะรถกระบะสี่ประตูคันสูงใหญ่แข็งแกร่งบึกบึนจนรถคันโก้หรูแต่เตี้ยราบเทียบไม่ได้ รถที่เสียหายมากกว่าก็คือรถของนฤดล
“อ้อ...นึกว่าใคร พ่อเลี้ยงขับรถแบบนี้ได้ยังไง หรืออยากตายก่อนแก่”
ดรัณไม่ตอบ เดินไปกระชากประตูรถข้างที่หญิงสาวนั่งอยู่
“เฮ้ย! พ่อเลี้ยงจะทำอะไร ปล่อยน้องพลับเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงโหวกเหวกของนฤดลทำให้พลับพลึงปรือตาปรอยขึ้นมอง เธอเห็นอารัณของเธอเป็นคนแรกจึงพยายามทรงตัวขึ้นแบบทุลักทุเลพอประมาณ ก็ชุดแสคสวยสีเข้มรัดรูปอวดโนมเนื้อเสียจนขยับตัวก็ลำบาก ดรัณไม่ชอบใจเลยที่เห็นหลานสาวของอิงฟ้าในสภาพแบบนี้
“อารัณหรือคะ”
“อย่าแตะน้องพลับของผมนะพ่อเลี้ยง คุณไม่เกี่ยว กลับไปอยู่ในที่ของคุณเถอะ” นฤดลออกปากไล่แล้วตบมือพ่อเลี้ยงไม่ให้แตะต้องหญิงสาว ดรัณโมโหก็เลยเหวี่ยงหมัดลุ่นๆ ไม่มีรูกระแทกหน้าชายหนุ่มรุ่นน้องเสียหงายหลัง
“ผัวะ”
“ไปพลับ ไปกับอา”
หญิงสาวถูกดึงออกจากรถเซแซ่ดๆ ตามแรงลากของพ่อเลี้ยงหนุ่ม สติไม่สมประกอบในยามนี้ทำให้เธอได้แต่มองจ้องหน้าเขาเขม็ง ดรัณสังเกตว่าหน้าของพลับพลึงแดงกว่าปกติทั้งที่ตอนนี้ก็ดึกแล้ว แถมยังนั่งรถเปิดประทุนตากลมมาคงไม่ได้เกิดจากความร้อนกระมัง
“พ่อเลี้ยง!!! พูดไม่รู้เรื่อง อยากให้ใช้กำลังใช่มั้ย” คนถูกต่อยยังเบ่งกล้าม กระชากคอเสื้อของดรัณให้หันมาหา แต่พ่อเลี้ยงผู้เจนเรื่องหมัดมวยมาพอสมควรด้วยความที่ต้องมีพระเดชควบคุมดูแลคนงานชายนับร้อยคนให้ได้ ฉะนั้นเรื่องการกำราบให้จดจำแบบผู้ชายจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา
“ผัวะ” หมัดลุ่นๆ สวนเข้ากระแทกหน้านฤดลอีกหน คราวนี้ชายหนุ่มรุ่นน้องไม่ได้หงายเก๋ง แต่เซแซ่ดๆ ไปที่รถแล้วเปิดลิ้นชักหน้ารถหยิบอาวุธออกมา ทว่าหนุ่มรุ่นน้องที่มีแค่ความกร่างอยากหาเรื่องเทียบไม่ติดฝุ่นกับหนุ่มใหญ่รุ่นพี่ ดรัณดึงปืนออกจากซอกเอวที่พกติดต่อตลอดเวลามาแต่ไหนแต่ไร แล้วชี้ไปที่หน้าของนฤดล หนุ่มกร่างยังไม่วางมือคิดจะต่อกรกับรุ่นพี่ ดรัณก็เลยสับสันมือใส่ปืนของนฤดลแล้วฟันศอกใส่อีกหน
“โอ๊ย!!! พ่อเลี้ยง...มึง!!”
“ฉันไม่คิดจะฆ่าแกทั้งที่น่าฆ่าให้ตายตอนนี้ จะไว้ชีวิตระยำของแก แต่อย่ามายุ่งกับพลับพลึงอีก” พ่อเลี้ยงเก็บปืนที่กระเด็นมาหา แล้วขึ้นลำปืนจนเกิดเสียง “กริ๊ก” ให้นฤดลตาเหลือก
“น้องพลับมากับฉันเอง แกไม่เกี่ยว” หนุ่มเสเพลยังกร่างไม่เลิกทั้งที่กลัวจนเสียงสั่นไปหมด
“ผัวคิดถึงเมียจัง เมียจ๋า” พอกล้าหน่อยความคิดถึงก็ล้นทะลักเหมือนเขื่อนแตก อ้อมกอดรัดแน่นขึ้นก่อนโน้มหน้าลงจูบปากเมียรักด้วยความคะนึงหา “ฤาษีตนนั้นหายไปแล้วหรือคะ” พลับพลึงยิ้มแก้มปริ ลูกช่วยรักษาพ่อได้จริงๆ สามีของเธอหายจากอาการหวาดกลัวแล้วสินะ “หายไปแล้วเพราะคิดถึงเมียรัก ให้ผัวรักเมียนะ ให้พ่อบอกรักแม่ ได้มั้ยลูก” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากลูกในท้อง แต่ดรัณและพลับพลึงก็แน่ใจว่าลูกต้องยินดี “ท้องพลับ 6 เดือนแล้ว ใหญ่พอจะไม่เป็นอันตรายแล้วนะ ถ้าจะรักพลับบ้าง” “ได้สิคะ ช่วยนี้ปลอดภัยแล้วค่ะ คุณหมอว่าอย่างนั้น” ร่างสูงช้อนภรรยาขึ้นแล้วพาไปวางไว้บนเตียง ก่อนจะช่วยปลดชุดคลุมท้องออกจากร่างอิ่มเปลือยเปล่า แม้ขณะท้องโตๆ พลับพลึงของเขาก็ยังสวย ผิวพรรณอิ่มเอิบนวลเนียนน่าสัมผัส ชายหนุ่มเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองแล้วทิ้งตัวนอนเคียงข้าง เขาจูบเมียสาวอย่างดูดดื่มโหยหา มือฟอนเฟ้นร่างอิ่มนวดคลึงทรวงงามอวบใหญ่มากขึ้นหนักๆ คิดถึงปานขาดใจ หญิงสาวจูบตอบอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน ลูบมือไปตามลำตัวหนาแกร่งของสามีอย่างรักใคร่ ล
เอากับเขาสิ เปลี่ยนเรื่องจริงจังให้กลายเป็นเรื่องชวนหัวไปได้หน้าตาเฉย แล้วพลับพลึงก็ยิ้มออกเสียด้วย คราวนี้เธอเป็นฝ่ายกอดเขา จูบปลายคางของเขาแล้วแถมด้วยแก้มทั้งสองข้าง แต่พอสามีจะกอดให้บ้างเธอกลับดันตัวออก “อย่ากอดแน่นนักนะคะ พลับอึดอัดและขี้ร้อนจริงๆ” “ทำไม เกิดอะไรขึ้น บอกอาซิ” พลับพลึงตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย เธอถอนใจแล้วสูดลมกระตุ้นกำลังใจให้ตัวเองเต็มปอด เพื่อจะบอกเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต “พลับ...ท้องค่ะ เรากำลังจะมีลูกด้วยกันนะคะ” สามีของเธอเงียบกริบ สีหน้ายิ้มๆ ดีใจก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดราวกระดาษขาว เขาทิ้งมือลงสองข้างแล้วเซถอยหลังไปชนตู้กับข้าว พลับพลึงเห็นอาการนั้นก็หน้าเสีย ไม่คิดว่าสามีจะออกอาการขนาดนี้ให้เห็น ร่างของเขาสั่นเทิ้มคล้ายคนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง เป็นผลให้เธอต้องพุ่งตัวเข้าไปประคองกลัวเขาจะล้มหงายตึงไปต่อหน้าต่อตา “อารัณ!!! เป็นอะไรไปคะ อารัณได้ยินพลับมั้ยคะ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ อารัณขา...ได้ยินพลับมั้ยคะ” “ปล่อย ปล่อยอา” เพียงแค่เธอยอมปล่อยมือจากเขา ดรัณก็วิ่งหาห้องน้ำทันควัน เส
‘ฉันตอบเมล์พี่ชายสุดที่รักของฉันเมื่อหลายวันก่อน ฉันเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง และวันนี้เขาก็บินมาหาฉัน ฉันอับอายมากที่มีสภาพเหมือนผีให้พี่ชายเห็น ฉันไม่มีเงินมากพอจะเช่าอพาร์ตเม้นท์ดีๆ อยู่ แต่พพี่ชายของฉันก็ยังอุตส่าห์ให้เงินจำนวนมาก ฉันขอร้องให้เขาช่วยปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับ เขาจึงขอร้องให้ฉันกลับบ้าน แลกกัน ฉันขอเวลารักษาตัวเองให้เป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้สักระยะ ซึ่งพี่ชายที่รักของฉันไม่ว่าอะไร ยอมให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อสักระยะ ฉันสัญญากับเขาไว้แล้ว ฉันจะกลับบ้าน กลับไปกราบคุณแม่ กลับไปหาหลาน พลับพลึงหลานตัวน้อยโตขึ้นแค่ไหนแล้วนะ พี่ชายฉันหล่อ หลานฉันคงต้องสวยมากแน่ๆ เลย ฉันจะกลับไปหาทุกคน รอหน่อยนะครอบครัวที่รักของฉัน’ พลับพลึงปิดสมุดไดอารี่แค่นั้น เธอไม่อ่านอีกแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นยังไงไม่อยากรับรู้อีกแล้ว พอกันที! การอ่านไดอารี่อันเต็มไปด้วยความรู้สึกของอาสาว ทำให้หญิงสาวฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง ถ้าอารัณไม่อยากมีลูกเพราะการตายของอาอิง เธอจะทำให้เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ อดีตจะถูกลบเลือน แม้มันจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดก็ตาม เธอจะทำให้ได้ ไม่มีวันที่เธอจะคิดสั้นๆ
หญิงสาวถอนหายใจเอื่อยเฉื่อย เธอกำลังตัดสินใจว่าควรกลับไปบอกเรื่องลูกดีหรือไม่ เขาเคยบอกยังไม่พร้อมจะมีลูก สาเหตุเพราะอะไรเธอก็คิดว่ารู้แล้ว อารัณเผชิญกับความสูญเสียมานับครั้งไม่ถ้วน การสูญเสียเมียและลูกไปพร้อมกันก็เป็นเรื่องยากจะทำใจให้ลืม เธอเข้าใจดีทุกอย่างถึงต้องมานั่งถอนใจอยู่นี่ไง ร่างอวบอิ่มเดินเข้าไปในห้องหนังสือของคุณย่า เธอตั้งใจจะหาหนังสือธรรมะมาอ่านเป็นที่พึ่งของจิตใจ มือบางไล้ไปตามสันหนังสือหาเล่มที่อยากอ่าน แต่แล้วสายตาก็เหลือบขึ้นไปเห็นกล่องกระดาษใบหนึ่งวางอยู่ข้างบนสุดของชั้นหนังสือ ร่างอวบอิ่มเอื้อมมือหยิบกล่องใบนั้นลงมาอย่างทุลักทุเลเนื่องจากความสูงที่ต้องเขย่งปลายเท้าแล้วเหยียดแขนให้ตรงถึงจะหยิบได้ กล่องใบนั้นขนาดไม่ใหญ่และไม่หนักถูกยกลงมาปัดฝุ่นออกแล้วเปิดดูข้างใน ภายในมีรูปของอาอิงฟ้าหลายรูป เป็นรูปที่ถ่ายในต่างประเทศทั้งหมด ว่าที่คุณแม่มือใหม่ทอดสายตามองรูปถ่ายแต่ละรูปอย่างสังเกต อาอิงเป็นคนสวยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รูปหลังๆ ก็เหมือนอาอิงจะสวยขึ้น อวบขึ้นด้วย อวบเหมือน...เธอในตอนนี้ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อสายตาปะทะ
แม่เลี้ยงกาญจนาเคยคิดจะบอกลูกสาวเพราะถึงยังไงอิงฟ้าก็เป็นอาแท้ๆ ของเธอ ลูกในท้องของอิงฟ้าก็คือหลานแท้ๆ ของเธอ แต่สามีสั่งห้ามด้วยเห็นใจอดีตน้องเขยของตน ดังนั้นทุกคนจึงพากันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอยู่ในใจ เวลาผ่านพ้นไปก็ยังไม่มีใครพลั้งปากพูดให้พลับพลึงได้ยิน “เห็นทีคงต้องบอกแดนนี่แล้วล่ะ ผมคิดว่าแดนนี่แข็งแกร่งพอจะรับเรื่องนี้ไหว แม้ว่าตอนนี้เขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนก็ตาม” “น่าเห็นใจนายรัณนะคะ เขาตามหาเมียไม่เจอเสียที นี่ก็เห็นว่ากินแต่เหล้าจนเมาไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว ร่างกายผ่ายผอมจนน่าเป็นห่วงว่าจะทรุดเอาดื้อๆ” แม่เลี้ยงกาญจนาเห็นใจลูกเขยมาก ทั้งสงสารและเห็นใจ แต่ยังต้องลุ้นว่าหากดรัณรู้จะเป็นยังไงต่อ “ถ้างั้นเดี๋ยวรอแดนนี่ลงมา พวกเราก็บอกแกพร้อมกันดีมั้ยคะ” คุณดวงหทัยตัดสินใจ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ ทว่า...ภายในห้องนอนที่เต็มไปด้วยขวดเหล้า ร่างสูงผ่ายผอมซูบลงไปมากกำลังสร่างเมาคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร.หานักสืบเอกชนที่เขาจ้างวานให้ตามหาเมียรักให้เจอ “ได้เรื่องหรือยัง” “อ้อ...พ่อเลี้ยงโทร.มาพอด
“เมื่อเช้าดิฉันได้ยินเสียงคุณหนูอาเจียนนะคะคุณท่าน อาการเหมือนคนท้องเลยค่ะ” ทิพามารดาของกรรชัยตั้งข้อสังเกต คุณย่าขมวดคิ้ว คนแต่งงานมีครอบครัวจะตั้งครรภ์ก็ไม่เห็นแปลก แต่ตอนนี้พ่อของเด็กยังไม่รู้เลยว่าเมียอยู่ไหน ถ้าพลับพลึงท้องจริงๆ เรื่องที่คิดจะปิดบังจนกว่าหลานเขยจะตามหาเมียเจอ ก็คงต้องมีคนยื่นมือเข้าช่วยเสียแล้ว ไม่งั้นจะเป็นการพรากลูกพรากพ่อเสียเปล่าๆ ทว่า...คุณย่ายังไม่ลืมอดีตของหลานเขย ท่านจึงไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะทำให้เขาดีใจหรือเสียใจกัน “พายัยพลับไปโรงพยาบาลที ไปทั้งๆ ไม่มีแรงอย่างนี้แหละดี ยัยพลับกลัวโรงพยาบาลจะได้ดื้อไม่ออก” สิ้นคำสั่งคุณย่า กรรชัยก็เป็นคนขับรถพาหญิงสาวและคุณย่าไปโรงพยาบาล ผลการตรวจออกมาเป็นไปตามที่คิด พลับพลึงท้อง!!!พ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์เดินตามหาภรรยาทั่วไร่เพื่อจะบอกข่าวสำคัญข่าวด่วนของบุคคลอันเป็นที่รักคนหนึ่งให้บุคคลอันเป็นที่รักอีกคนได้ฟัง ร่างสูงหนาก้าวยาวๆ เร่งรีบเท่าที่จะทำได้ถามหาภรรยาสุดที่รักกับทุกคนที่เจอหน้า เกือบทุกคนชี้บอกไปในทิศทางเดียวกัน พ่อเลี้ยงก็แทบจะวิ่งตรงไปหาด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความยินดี