‘อะไรกันสองคนนี่ เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ตีกัน รัณก็เหอะ ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้ แค่หลานขอให้ถ่ายรูปให้หน่อยแค่นี้มีปัญหาหรือคะ พลับจ๋า เดี๋ยวอาอิงถ่ายให้เองแล้วกันนะ’
‘ไม่ต้องหรอกจ้ะ ผมก็แค่แกล้งยัยพลับเล่นเฉยๆ เรารักกันจะตายไป เนอะพลับเนอะ’
เด็กหญิงพลับพลึงถูกดึงไปกอดแล้วยังหอมแก้มอิ่มแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาดหน้าตาเฉย คนหอมก็ไม่คิดอะไรมากไปกว่าเอ็นดู ส่วนคนถูกหอมก็หน้าเหยเกแล้วผลักคนตัวโตสุดแรง
‘โอ๊ย!! อารัณไม่อยากถ่ายรูปให้พลับ แล้วยังจะมาขโมยหอมแก้มพลับอีกเหรอ อาอิงเอาอารัณคืนไป อารัณจะหอมแก้มอาอิงคนเดียวเท่านั้น ยี้!!! คนจมูกเหม็น’
ภาพความหลังครั้งเก่าดรัณไม่เคยลืม ยังจำได้เลยว่ากว่าเขาจะจับพลับพลึงมาถ่ายรูปได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก ยัยเด็กจอมยวนนี่ถึงขนาดปีนต้นไม้ซุ่มอยู่ ถ้ากิ่งไม้นั่นไม่ลั่นเปรี๊ยะจนคนตัวเล็กเผลอปล่อยมือแล้วตกลงมาใส่ร่างเขาจังๆ เขาก็คงยังตามหาเจ้าหล่อนให้วุ่น
ริมฝีปากหยักหนาใต้หนวดเรียวเกือบจะยิ้มแต่แล้วมันก็จางหายเป็นขบเม้มกันไว้ดุจเดิม ดรัณเดินออกมาจากตรงนั้น ตรงไปยังเปลเด็กแบบที่มีรั้วแล้วมุ้งกันยุง เปลสีชมพูเพราะเด็กทารกเป็นเพศหญิง ปลายจมูกของชายหนุ่มแดงระเรื่ออย่างไม่อาจระงับความทุกข์ระทมที่ตีตื้นขึ้นมาอีกระลอก ห้องนี้รวบรวมความทรงจำที่มีทั้งสุขและทุกข์มากมาย ทุกครั้งที่เข้ามาเขาก็จะดึงเอาความรู้สึกทุกข์กลับออกไปด้วย เหมือนในตอนนี้
“อ้าวพลับกลับมาแล้วหรือลูก” แม่เลี้ยงกาญจนาเรียกบุตรสาว พลับพลึงจึงต้องหยุดชะงักแล้วเลี้ยวเข้าไปกอดมารดาแทน แต่ตอนนี้ท่านไม่ได้อยู่คนเดียวมีใครอีกสองคนนั่งอยู่ด้วย
“ลูกพลับ จำพี่ดลได้ไหมลูก พี่นฤดลลูกชายคุณป้าเดือนฉายกับคุณลุงโกวิท เจ้าของไร่โกวิทไงล่ะลูก” มารดาทบทวนความจำให้
“อ๋อค่ะ พลับจำได้” พลับพลึงบอกก่อนจะยกมือไหว้แขกของมารดาทั้งสองคน “คุณแม่มีแขก งั้นพลับขอตัวก่อนนะคะ”
“จะรีบไปไหนล่ะลูก อยู่คุยกับคุณป้าและพี่ดลด้วยกันก่อน” แม่เลี้ยงกาญจนาหัวมายิ้มให้แขก “วันนี้ยัยพลับเข้าไปช่วยงานในไร่ทั้งวันเลยค่ะ ท่าจะเหนื่อย”
“เก่งจังเลยนะคะ เป็นสาวเป็นนางทำงานได้เหมือนผู้ชายน่าภูมิใจจังค่ะแม่เลี้ยง” คุณเดือนฉายมองพลับพลึงอย่างพอใจ หญิงสาวหน้าตาสะสวยอยู่ในชุดทะมัดทะแมงดูท่าจะขยันขันแข็งไม่เบา แบบนี้สิดีเหมาะจะเป็นลูกสะใภ้ของไร่โกวิท
“ยัยพลับอยากเป็นมัณฑนากรค่ะ แต่พ่อเลี้ยงขอให้มาช่วยดูงานในไร่ไปพลางๆ ก่อนจะออกหางานทำตามที่ได้เรียนมาค่ะ จะได้รู้ว่างานไร่น่ะมันเป็นยังไง”
“เป็นมัณฑนากรก็เก่งนะครับแม่เลี้ยง แต่น้องพลับน่าจะเก่งกว่าเพราะต้องดูงานในไร่ได้ด้วย เยี่ยมจริงๆ ครับ” นฤดลกวาดตามองพลับพลึงตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อตอนเพิ่งจะแตกเนื้อสาวเขาก็เห็นเค้าความสวยอยู่แล้ว โตมาสวยกว่าที่คิดไว้ซะอีก ไม่ใช่สวยหวาน แต่เป็นสวยเปรี้ยว สวยสดใสสมวัย
“ก็พลับเป็นลูกชาวไร่นี่คะ เป็นธรรมดาที่ต้องเรียนรู้งานในไร่ ยิ่งไร่รุ่งโรจน์กินเนื้อที่บนเขาเป็นลูกๆ พลับก็ยิ่งต้องเรียนรู้จริงไหมคะ”
“นั่นสิจ๊ะ ไร่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาแบบนี้ก็ต้องช่วยกันดูแลถึงจะถูก แต่แบบนี้หนูพลับคงเหนื่อยไม่น้อย”
“เมื่อก่อนก็ยังไม่ขยันขนาดนี้หรอกค่ะ ยังมุดรั้วไปเที่ยวเล่นไร่อิงฟ้าประจำ ตอนนี้คงคิดได้แล้วว่าควรช่วยพ่อกับแม่ ถึงไม่ค่อยเห็นหนีไปอยู่ไร่โน้นอีกแล้ว” แม่เลี้ยงเพียงแค่จะเย้าลูกสาว หารู้ไม่ว่าประโยคนั้นจะทิ่มใจพลับพลึงจนหน้าเปลี่ยนสีไปนิด
หลังจากวันที่เธอตบหน้าพ่อเลี้ยงดรัณ เธอก็ไม่ได้โผล่หน้าไปให้เขาเห็นอีก รู้แต่ว่าวีกิจยังคงทำงานอยู่ที่นี่ไม่ได้ถูกไล่ออกอย่างที่คิด
“อย่างว่านะคะ หนูพลับยังเด็ก ยี่สิบหรือยังไม่รู้นะคะ”
“21 ปีแล้วค่ะ จะว่าเด็กก็ไม่ผิด แต่วัยนี้สมควรจะเรียนรู้เรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องทำได้แล้ว ดิฉันเคยหวังว่าเค้าจะรับช่วงต่อดูแลไร่แทน แต่ก็ไม่อยากขัดใจ เห็นว่าชอบศิลปะและอยากทำงานที่ใจรักก็ตามใจ ทางนี้ค่อยว่ากันอีกที”
“ถึงวันนั้นหนูพลับก็คงจะออกเรือนไปแล้ว พ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงก็คงจะได้ลูกเขยมาช่วยดูแลกระมังคะ”
พลับพลึงฟังคำสนทนาเหล่านั้นแบบเข้าหูขวาออกหูซ้าย เรื่องแต่งงานยังไม่อยู่ในสมอง เพราะยังไม่เจอคนถูกใจรักใคร่ กับคนที่รักจริง รักฝังลึกอยู่ในใจ เขาก็คงไม่มีตาจะเหลียวมองใครอีก คิดแล้วก็เศร้าใจจนเผลอถอนใจออกมาเสียงดัง
“ถอนใจอะไรลูก นี่คงเหนื่อยมากสินะ ไปอาบน้ำแล้วลงมาทานข้าวเย็นด้วยกันจะได้ไปพักผ่อนเอาแรงไป๊”
หญิงสาวพยักหน้ายินดีนักทีต้องเอ่ยขอตัวกับแขก เธอเห็นสายตาของนฤดลที่มองตามไม่มีหลบก็นึกเซ็ง ต่อให้เขามองเธอทะลุถึงขั้วหัวใจ เธอก็ไม่มีสายตาจะทอดให้เขามากกว่านี้
ทิวเขาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตามีแต่โอโซนบริสุทธิ์ให้สูดหายใจจนชุ่มปอด ในเวลาเย็นย่ำเช่นนี้นฤดลขับรถมาที่ไร่รุ่งโรจน์ด้วยหวังจะเข้าไปพูดคุยเพิ่มระดับความสนิทสนมกับลูกสาวเจ้าของไร่ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของจังหวัด รองจากไร่อิงฟ้า รถเก๋งสีแดงเปิดประทุนคันโก้ราคาหลายล้านถูกใช้งานผิดที่ผิดทาง ฝุ่นดินฟุ้งแดงกระจายเป็นหมอกควันให้เจ้าของรถต้องปัดมือไปตามเสื้อผ้าหน้าผมไล่ฝุ่นออก
“ผัวคิดถึงเมียจัง เมียจ๋า” พอกล้าหน่อยความคิดถึงก็ล้นทะลักเหมือนเขื่อนแตก อ้อมกอดรัดแน่นขึ้นก่อนโน้มหน้าลงจูบปากเมียรักด้วยความคะนึงหา “ฤาษีตนนั้นหายไปแล้วหรือคะ” พลับพลึงยิ้มแก้มปริ ลูกช่วยรักษาพ่อได้จริงๆ สามีของเธอหายจากอาการหวาดกลัวแล้วสินะ “หายไปแล้วเพราะคิดถึงเมียรัก ให้ผัวรักเมียนะ ให้พ่อบอกรักแม่ ได้มั้ยลูก” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากลูกในท้อง แต่ดรัณและพลับพลึงก็แน่ใจว่าลูกต้องยินดี “ท้องพลับ 6 เดือนแล้ว ใหญ่พอจะไม่เป็นอันตรายแล้วนะ ถ้าจะรักพลับบ้าง” “ได้สิคะ ช่วยนี้ปลอดภัยแล้วค่ะ คุณหมอว่าอย่างนั้น” ร่างสูงช้อนภรรยาขึ้นแล้วพาไปวางไว้บนเตียง ก่อนจะช่วยปลดชุดคลุมท้องออกจากร่างอิ่มเปลือยเปล่า แม้ขณะท้องโตๆ พลับพลึงของเขาก็ยังสวย ผิวพรรณอิ่มเอิบนวลเนียนน่าสัมผัส ชายหนุ่มเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองแล้วทิ้งตัวนอนเคียงข้าง เขาจูบเมียสาวอย่างดูดดื่มโหยหา มือฟอนเฟ้นร่างอิ่มนวดคลึงทรวงงามอวบใหญ่มากขึ้นหนักๆ คิดถึงปานขาดใจ หญิงสาวจูบตอบอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน ลูบมือไปตามลำตัวหนาแกร่งของสามีอย่างรักใคร่ ล
เอากับเขาสิ เปลี่ยนเรื่องจริงจังให้กลายเป็นเรื่องชวนหัวไปได้หน้าตาเฉย แล้วพลับพลึงก็ยิ้มออกเสียด้วย คราวนี้เธอเป็นฝ่ายกอดเขา จูบปลายคางของเขาแล้วแถมด้วยแก้มทั้งสองข้าง แต่พอสามีจะกอดให้บ้างเธอกลับดันตัวออก “อย่ากอดแน่นนักนะคะ พลับอึดอัดและขี้ร้อนจริงๆ” “ทำไม เกิดอะไรขึ้น บอกอาซิ” พลับพลึงตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย เธอถอนใจแล้วสูดลมกระตุ้นกำลังใจให้ตัวเองเต็มปอด เพื่อจะบอกเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต “พลับ...ท้องค่ะ เรากำลังจะมีลูกด้วยกันนะคะ” สามีของเธอเงียบกริบ สีหน้ายิ้มๆ ดีใจก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดราวกระดาษขาว เขาทิ้งมือลงสองข้างแล้วเซถอยหลังไปชนตู้กับข้าว พลับพลึงเห็นอาการนั้นก็หน้าเสีย ไม่คิดว่าสามีจะออกอาการขนาดนี้ให้เห็น ร่างของเขาสั่นเทิ้มคล้ายคนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง เป็นผลให้เธอต้องพุ่งตัวเข้าไปประคองกลัวเขาจะล้มหงายตึงไปต่อหน้าต่อตา “อารัณ!!! เป็นอะไรไปคะ อารัณได้ยินพลับมั้ยคะ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ อารัณขา...ได้ยินพลับมั้ยคะ” “ปล่อย ปล่อยอา” เพียงแค่เธอยอมปล่อยมือจากเขา ดรัณก็วิ่งหาห้องน้ำทันควัน เส
‘ฉันตอบเมล์พี่ชายสุดที่รักของฉันเมื่อหลายวันก่อน ฉันเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง และวันนี้เขาก็บินมาหาฉัน ฉันอับอายมากที่มีสภาพเหมือนผีให้พี่ชายเห็น ฉันไม่มีเงินมากพอจะเช่าอพาร์ตเม้นท์ดีๆ อยู่ แต่พพี่ชายของฉันก็ยังอุตส่าห์ให้เงินจำนวนมาก ฉันขอร้องให้เขาช่วยปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับ เขาจึงขอร้องให้ฉันกลับบ้าน แลกกัน ฉันขอเวลารักษาตัวเองให้เป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้สักระยะ ซึ่งพี่ชายที่รักของฉันไม่ว่าอะไร ยอมให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อสักระยะ ฉันสัญญากับเขาไว้แล้ว ฉันจะกลับบ้าน กลับไปกราบคุณแม่ กลับไปหาหลาน พลับพลึงหลานตัวน้อยโตขึ้นแค่ไหนแล้วนะ พี่ชายฉันหล่อ หลานฉันคงต้องสวยมากแน่ๆ เลย ฉันจะกลับไปหาทุกคน รอหน่อยนะครอบครัวที่รักของฉัน’ พลับพลึงปิดสมุดไดอารี่แค่นั้น เธอไม่อ่านอีกแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นยังไงไม่อยากรับรู้อีกแล้ว พอกันที! การอ่านไดอารี่อันเต็มไปด้วยความรู้สึกของอาสาว ทำให้หญิงสาวฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง ถ้าอารัณไม่อยากมีลูกเพราะการตายของอาอิง เธอจะทำให้เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ อดีตจะถูกลบเลือน แม้มันจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดก็ตาม เธอจะทำให้ได้ ไม่มีวันที่เธอจะคิดสั้นๆ
หญิงสาวถอนหายใจเอื่อยเฉื่อย เธอกำลังตัดสินใจว่าควรกลับไปบอกเรื่องลูกดีหรือไม่ เขาเคยบอกยังไม่พร้อมจะมีลูก สาเหตุเพราะอะไรเธอก็คิดว่ารู้แล้ว อารัณเผชิญกับความสูญเสียมานับครั้งไม่ถ้วน การสูญเสียเมียและลูกไปพร้อมกันก็เป็นเรื่องยากจะทำใจให้ลืม เธอเข้าใจดีทุกอย่างถึงต้องมานั่งถอนใจอยู่นี่ไง ร่างอวบอิ่มเดินเข้าไปในห้องหนังสือของคุณย่า เธอตั้งใจจะหาหนังสือธรรมะมาอ่านเป็นที่พึ่งของจิตใจ มือบางไล้ไปตามสันหนังสือหาเล่มที่อยากอ่าน แต่แล้วสายตาก็เหลือบขึ้นไปเห็นกล่องกระดาษใบหนึ่งวางอยู่ข้างบนสุดของชั้นหนังสือ ร่างอวบอิ่มเอื้อมมือหยิบกล่องใบนั้นลงมาอย่างทุลักทุเลเนื่องจากความสูงที่ต้องเขย่งปลายเท้าแล้วเหยียดแขนให้ตรงถึงจะหยิบได้ กล่องใบนั้นขนาดไม่ใหญ่และไม่หนักถูกยกลงมาปัดฝุ่นออกแล้วเปิดดูข้างใน ภายในมีรูปของอาอิงฟ้าหลายรูป เป็นรูปที่ถ่ายในต่างประเทศทั้งหมด ว่าที่คุณแม่มือใหม่ทอดสายตามองรูปถ่ายแต่ละรูปอย่างสังเกต อาอิงเป็นคนสวยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รูปหลังๆ ก็เหมือนอาอิงจะสวยขึ้น อวบขึ้นด้วย อวบเหมือน...เธอในตอนนี้ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อสายตาปะทะ
แม่เลี้ยงกาญจนาเคยคิดจะบอกลูกสาวเพราะถึงยังไงอิงฟ้าก็เป็นอาแท้ๆ ของเธอ ลูกในท้องของอิงฟ้าก็คือหลานแท้ๆ ของเธอ แต่สามีสั่งห้ามด้วยเห็นใจอดีตน้องเขยของตน ดังนั้นทุกคนจึงพากันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอยู่ในใจ เวลาผ่านพ้นไปก็ยังไม่มีใครพลั้งปากพูดให้พลับพลึงได้ยิน “เห็นทีคงต้องบอกแดนนี่แล้วล่ะ ผมคิดว่าแดนนี่แข็งแกร่งพอจะรับเรื่องนี้ไหว แม้ว่าตอนนี้เขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนก็ตาม” “น่าเห็นใจนายรัณนะคะ เขาตามหาเมียไม่เจอเสียที นี่ก็เห็นว่ากินแต่เหล้าจนเมาไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว ร่างกายผ่ายผอมจนน่าเป็นห่วงว่าจะทรุดเอาดื้อๆ” แม่เลี้ยงกาญจนาเห็นใจลูกเขยมาก ทั้งสงสารและเห็นใจ แต่ยังต้องลุ้นว่าหากดรัณรู้จะเป็นยังไงต่อ “ถ้างั้นเดี๋ยวรอแดนนี่ลงมา พวกเราก็บอกแกพร้อมกันดีมั้ยคะ” คุณดวงหทัยตัดสินใจ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ ทว่า...ภายในห้องนอนที่เต็มไปด้วยขวดเหล้า ร่างสูงผ่ายผอมซูบลงไปมากกำลังสร่างเมาคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร.หานักสืบเอกชนที่เขาจ้างวานให้ตามหาเมียรักให้เจอ “ได้เรื่องหรือยัง” “อ้อ...พ่อเลี้ยงโทร.มาพอด
“เมื่อเช้าดิฉันได้ยินเสียงคุณหนูอาเจียนนะคะคุณท่าน อาการเหมือนคนท้องเลยค่ะ” ทิพามารดาของกรรชัยตั้งข้อสังเกต คุณย่าขมวดคิ้ว คนแต่งงานมีครอบครัวจะตั้งครรภ์ก็ไม่เห็นแปลก แต่ตอนนี้พ่อของเด็กยังไม่รู้เลยว่าเมียอยู่ไหน ถ้าพลับพลึงท้องจริงๆ เรื่องที่คิดจะปิดบังจนกว่าหลานเขยจะตามหาเมียเจอ ก็คงต้องมีคนยื่นมือเข้าช่วยเสียแล้ว ไม่งั้นจะเป็นการพรากลูกพรากพ่อเสียเปล่าๆ ทว่า...คุณย่ายังไม่ลืมอดีตของหลานเขย ท่านจึงไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะทำให้เขาดีใจหรือเสียใจกัน “พายัยพลับไปโรงพยาบาลที ไปทั้งๆ ไม่มีแรงอย่างนี้แหละดี ยัยพลับกลัวโรงพยาบาลจะได้ดื้อไม่ออก” สิ้นคำสั่งคุณย่า กรรชัยก็เป็นคนขับรถพาหญิงสาวและคุณย่าไปโรงพยาบาล ผลการตรวจออกมาเป็นไปตามที่คิด พลับพลึงท้อง!!!พ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์เดินตามหาภรรยาทั่วไร่เพื่อจะบอกข่าวสำคัญข่าวด่วนของบุคคลอันเป็นที่รักคนหนึ่งให้บุคคลอันเป็นที่รักอีกคนได้ฟัง ร่างสูงหนาก้าวยาวๆ เร่งรีบเท่าที่จะทำได้ถามหาภรรยาสุดที่รักกับทุกคนที่เจอหน้า เกือบทุกคนชี้บอกไปในทิศทางเดียวกัน พ่อเลี้ยงก็แทบจะวิ่งตรงไปหาด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความยินดี