You SkyBAR …
เมื่อถึงเวลานิศราเดินทางมายังสถานที่นัดหมาย “ยูสกายบาร์” ร้านอาหารกึ่งบาร์สุดหรูที่อยู่บนตึกสูงชั้น 86 ของโรงแรมดังใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร เป็นร้านที่มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและตึกสูงกลางกรุงเทพได้แบบพาโนรามา มีที่นั่งให้เลือกหลายโซนทั้งอินดอร์และเอาท์ดอร์ เรียกได้ว่าวิวสวยบรรยากาศดีอาหารอร่อย ครบจบในที่เดียวจัดเป็นสวรรค์ของคนกรุงหากต้องการมาผ่อนคลาย หลังเลิกงานหรือช่วงวันหยุดยาวเสาร์อาทิตย์
“ดาวทางนี้” แพรไหมเพื่อนในกลุ่มเอ่ยเรียก
“ขอโทษที่มาช้านะทุกคน ข้างนอกรถติดมากเลย สั่งอะไรกันรึยัง” เจ้าของงานที่มาช้ากว่าแขกเอ่ยถามด้วยสีหน้าสำนึกผิด
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้า มาถึงก็สั่งกันเลย ฮ่าา” นุ่นเพื่อนในกลุ่มอีกคนเอ่ยขึ้น
“ยินดีด้วยนะบัณฑิตใหม่จบสักที” เชอร์รี่เพื่อนสาวประเภทสองอีกคนสมทบขึ้น
“ขอบใจนะ”
“มา ๆ ไหน ๆ ก็ครบองค์แล้ว สั่งอะไรมาดื่มฉลองให้ยัยดาวกัน” แพรไหมที่พูดไปแต่ตาก็ยังชะเง้อมองหาใครอีกคน ทั้งที่ก็เห็นว่าเพื่อนของตนเดินมาเพียงคนเดียว
“ไม่ต้องมองหาหรอก ยังไม่รู้ว่าพี่ดินจะมาได้มั้ย มีงานสำคัญที่ต้องเคลียร์ก่อน” นิศราทักขึ้นอย่างรู้ทัน
“บอกทำไม ไม่ได้รอใครสักหน่อยแค่มองไปเรื่อย” แพรไหมแก้ตัว ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เมื่อถูกเพื่อนจับได้
“ก็แค่บอกเฉย ๆ เผื่อจะมีคนรอเจอ” นิศราแสร้งแหย่
“นี่ชะนีทั้งสาม ผู้เยอะแยะหาใหม่เอา ใครไม่มาก็ช่างเขา เรามาถ่ายรูปหมู่กัน มายืนตรงนี้มุมนี้สวย”
เชอร์รี่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะกวักมือเรียกเพื่อนมาถ่ายรูป ถ่ายไปได้หลายมุม เชอร์รี่ก็จัดแจงดึงเพื่อน ๆ ไปถ่ายอีกมุมที่หันเข้าไปภายในร้าน
“ทำไมไม่ถ่ายมุมนั้น จะได้เห็นวิวตึกข้างนอกด้วยฮะยัยเชอร์รี่เน่า นี่แทบไม่เห็นหน้าพวกเราเลยเห็นแต่หน้าผู้ชายโต๊ะหลัง”
นิศราบ่นเพื่อนเมื่อเห็นว่ามุมที่เรียกมาถ่ายไม่เห็นจะสวยตรงไหน
“ยัยดาวก็ถ่ายมุมนี้ก่อนสิ วิวสวยอยู่นะแกไม่เห็นรึไง โน่นโต๊ะข้างหลังสเปกฉันเลย”
เชอร์รี่พูดด้วยน้ำเสียงกระดี๊กระด๊า หวังให้มีคนเห็นด้วยเมื่อหลอกให้เพื่อนมาแสร้งถ่ายรูป แต่ที่จริงแล้วจะถ่ายหนุ่มหล่อโต๊ะด้านหลังต่างหาก ทำเอาเพื่อนสาวพากันส่ายหน้า ในความจัดจ้านไวไฟของเพื่อน ที่ชอบใช้เรดาร์โฟกัสหาผู้ชายหล่อ ยามได้มาดื่มด้วยกัน
“นี่เชอร์รี่ แกนี่มันจริง ๆ เลยนะ เฮ้ยยยนี่มัน!!”
นิศราบ่นไปด้วยมือก็ซูมไปดูหน้าหนุ่มโต๊ะด้านหลังจากรูปที่พึ่งถ่ายไปด้วย ว่าจะหล่อสักเท่าไหร่กันเชียว เมื่อเห็นชัดเท่านั้นแหละ เธอและแพรไหมก็ร้องอุทานขึ้นพร้อมกันแต่ด้วยคนละความรู้สึก
“ดาว แกรู้จักคนโต๊ะนั้นด้วยเหรอ” แพรไหมรีบถามเพื่อนทันที
“ไม่รู้จัก แต่ไอ้คนกลางนั่นคือไอ้ขยะเปียกคนเมื่อวานที่ฉันเล่าให้แกฟังไง”
พูดไปด้วยนิศราก็หันไปชี้ทางโต๊ะข้างหลัง ที่มีชายหนุ่มหน้าตาดีนั่งอยู่กลางโต๊ะ วันนี้เขามาในเสื้อเชิ้ตสีดำดูภูมิฐาน ที่ถูกปลดกระดุมให้เห็นแผงอกแน่นเล็กน้อย แขนเสื้อทั้งสองข้างถูกถกขึ้นมาถึงข้อศอก
เพียงแวบเดียวที่เห็นหญิงสาวก็จำเขาได้ทันที แค่เห็นหน้าของเขาอารมณ์โกรธที่หายไปแล้วของเธอ ก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง ผู้ชายที่ทำให้เธอต้องทนอยู่กับคาบเหนียว ๆทั้งวัน ก่อนหันไปถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงคาดคั้น
“แล้วแกล่ะ ตกใจทำไม ยัยแพร!”
“เฮ้อ! ก็นั่นนะเจ้านายของฉันเอง ดุมากด้วย ไม่คิดว่าเลิกงานแล้วจะต้องมาเจอกันอีก”
แพรไหมถอนหายใจก่อนตอบด้วยน้ำเสียงหมดสนุก เมื่อเห็นหน้าเจ้านายหนุ่มในเวลานี้ พยายามไม่หันไปมองกลัวคนเป็นเจ้านายจะเห็นเข้า
“โอ๊ยย ฉันล่ะสงสารแกยัยแพร มีเจ้านายเป็นคนแบบนี้ ลาออกเลยมั้ย ไม่ต้องทนทำงานต่อหรอกคนเก่งอย่างแก หางานไม่ยากหรอกเชื่อฉันสิ” นิศรายุเพื่อนให้ลาออกจากงานซะเลยเพราะตัวเองไม่ชอบขี้หน้าเจ้านายเพื่อน
“จะบ้าเหรอยัยดาว ให้มันน้อย ๆ หน่อย ดูท่าทางเขาแล้วออกจะเป็นสุภาพบุรุษ ทั้งดูดี หล่อ เท่ และแก่ดูกล้ามแน่นขนาดนั้น ผิดนิด ผิดหน่อยก็ให้อภัยเขาไปเถอะ ชีวิตจะได้มีความสุข”
นุ่นที่นั่งฟังอยู่นานแล้ว เอ่ยขึ้นอย่างเพ้อ ๆ ในขณะที่ตาก็ยังจ้องมองไปยังหนุ่มหล่อโต๊ะนั้นอย่างไม่วางตา
“จริงด้วย หล่อ หล่อมาก ฉันอยากได้ บริษัทแกเขารับพนักงานเพิ่มมั้ยอะแพรฉันอยากไปสมัคร”
เชอร์รี่เอ่ยสมทบด้วยอีกคน ดูเหมือนเพื่อน ๆของเธอจะไม่มีใครสนใจสิ่งที่เขาทำกับเธอเลยแม้แต่น้อย เอาแต่สนใจความหล่อของเขา คำพูดของนุ่นทำให้เชอร์รี่ที่จ้องชายหนุ่มปานจะกลืนกินอยู่นั้น พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยในทันที
“นี่พวกแกให้มันน้อย ๆ หน่อย หน้าตาดีไม่ใช่ว่าจะเป็นคนดีนะ ถ้าแกเห็นสิ่งที่เขาทำกับฉันเมื่อวาน พวกแกจะไม่ชื่นชมเขาแบบนี้” นิศราเริ่มเสียงดังขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ
“จะถือโทษ โกรธแค้นกันไปทำไม มันบาปนะแก” เชอร์รี่บอก
“นี่ยัยเชอร์รี่เน่า แกยังเป็นเพื่อนฉันอยู่มั้ยเนี่ย เข้าข้างคนอื่นอยู่ได้” นิศราขึ้นเสียงอีกครั้ง ครั้งนี้ดังกว่าเดิม
“เบาหน่อยแก เสียงดังไปแล้วนะ ถ้าเขามาได้ยินคนที่ซวยน่ะเป็นฉันนะ ฉันยังต้องทำงานกับเขาอยู่”
แพรไหมปรามเพื่อนที่เสียงดัง เกรงว่าคนที่ถูกพูดถึงจะมาได้ยินเข้า
“แกก็อีกคนแพรเข้าข้างเขา เพราะเขาเป็นเจ้านายหรือไง คนไม่ดีแบบนั้นจะไปทนทำงานด้วยทำไม” นิศราต่อว่าอย่างหัวเสียเมื่อเพื่อนรัก ไม่มีใครอยู่ข้างเธอเลยสักคน
“ดาวที่ฉันว่าเขาดุอะ เขาดุเรื่องงานนะเพราะเขาเป็นคนจริงจังเวลาทำงาน แต่เป็นคนที่ทำงานเก่งมาก กับพนักงานพอเลิกงานแล้วก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่วันนี้ฉันไม่อยากเจอเขาตอนนี้ แล้วฉันก็ต้องอยู่ข้างแกอยู่แล้ว เพียงแค่ไม่อยากให้มีเรื่องกันวันนี้เรามาฉลองกันนะ”
แพรไหมอธิบายทั้งรู้สึกเกรงใจโต๊ะข้าง ๆ ที่พวกเธอเสียงดัง ที่สำคัญกลัวว่าเสียงที่พูดคุยกันอยู่นี้ จะดังไปถึงโต๊ะที่เจ้านายของเธอนั่งอยู่ พูดจบก็ยกแก้วมาการิต้าขึ้นดื่มจนหมดแก้ว เป็นการย้อมใจ ก่อนจะหันไปเปลี่ยนเรื่องคุยในกลุ่ม เพื่อไม่ให้บรรยากาศเสียไปมากกว่านี้
แต่ไม่ทันแล้วในขณะที่สาว ๆ กำลังพูดถึงชายหนุ่มอยู่นั้นด้วยเสียงที่ดัง ทำให้คนถูกนินทาได้ยินแล้ว ถึงจะได้ยินไม่ครบทุกประโยค แต่ก็พอจะรู้ตัวว่าพวกเธอกำลังพูดถึงเขาอยู่ และยัยนักศึกษาหญิงคนที่สาดกาแฟใส่เขาเมื่อวาน ส่งสายตาโกรธแค้นมาให้เขาขนาดนั้น เขาจำได้ขึ้นใจเลยทีเดียว
วันนี้เธอมาในชุดเดรสสีขาวเข้ารูปแขนยาวหนึ่งข้าง อีกข้างเปิดโชว์หัวไหล่กลมมน กระโปรงเข้ารูปยาวเหนือเข่าเล็กน้อย โชว์ให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าได้รูปอย่างชัดเจน ทำให้หญิงสาวดูเซ็กซี่เล็ก ๆ แต่ไม่ถึงกับโป๊จนเกินไป
และวันนี้เธอดูน่ารักเป็นสาวมากกว่าวันแรกที่เจอกัน ถึงจะรู้ว่าถูกนินทา เขาก็ไม่ได้เดินไปทักท้วงอะไร เพียงชายหางตามองไปยังกลุ่มพวกเธอเพียงเท่านั้น
เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง ทุกคนดื่มพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันอย่างสนุกสนาน ตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันนาน ต้องอัปเดตชีวิตกันหน่อย
“ดาวพอก่อนแกดื่มมากไปแล้วนะ ถึงฉันจะเคยเป็นผู้ชายแต่ตอนนี้ฉันบอบบางมาก ฉันแบกแกกลับบ้านไม่ไหวหรอกนะ” เชอร์รี่ออกตัวเมื่อเห็นเพื่อนที่คออ่อนเริ่มเมามากเกินไปแล้ว
“ฉันมาเองได้ก็กลับเองได้ พวกแกรู้มั้ยว่าฉันไม่ได้ออกมาสนุกแบบนี้มานานแล้ว ฉันเหนื่อย ขอวันหนึ่งนะต่อไปก็ไม่ค่อยได้มาดื่มกับพวกแกอีกแล้ว”
คนเมาบ่นและขอความเห็นใจจากเพื่อนในกลุ่ม เพราะหลังจากวันนี้ไป เธอต้องทำงานเต็มตัวมีหน้าที่และความรับผิดชอบมากขึ้น
เมื่อทุกคนในกลุ่มได้ฟังเช่นนั้น ก็ได้แต่เพียงมองหน้ากันด้วยความเห็นใจ และปล่อยให้คนที่บอกว่าตัวเองเหนื่อยได้ดื่มให้เต็มที่ไปเลย เพราะเข้าใจว่าสองปีที่ผ่านมานิศราไม่มีเวลาได้มาเที่ยวกับเพื่อน เพราะเอาแต่ทำงานหาเงินใช้หนี้ให้บริษัทของครอบครัว อีกทั้งพอหนี้เริ่มน้อยลง เริ่มมีเวลาก็ต้องกลับไปเรียนให้จบ ทุกคนก็ต่างทำงานกันหมดแล้ว เลยทำให้เวลาไม่ตรงกันจะหาเวลามาเจอหน้ากันก็มีน้อย
“เอ้า งั้นก็ดื่มไปให้เต็มที่ วันนี้ฉันจะแปลงร่างแบกแกไปส่งที่บ้านเอง” เชอร์รี่เอ่ยขึ้นพร้อมเสนอตัวไปส่งหญิงสาว
“ขอบใจนะเพื่อน รี่ ฉันรักแกจัง เดี๋ยวฉันกลับมาดื่มต่อ ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง สั่งเครื่องดื่มมาเติมให้ด้วยจะกลับมาดื่มต่อ” คนเมาสั่งก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นเดิน
“ฉันไปเป็นเพื่อน” แพรไหมอาสาเมื่อเห็นว่าเพื่อนเดินไม่ตรงทาง
“ไม่ต้อง ๆ แพรแกอยู่ที่แหละ ฉันไปคนเดียวได้สบายยย” คนเมาบอกขณะที่ยังใช้มือค้ำกับโต๊ะไว้อยู่เลย
“แน่ใจนะ” แพรไหมถามย้ำ
“อืม” คนเมาที่ไม่รู้ตัวว่าเมา เดินโซเซไปเข้าห้องน้ำ โดยมีสายตาเพื่อน ๆ ที่มองตามหลัง จนหายเข้าไปในมุมของร้านอาหาร
“แกว่ามันจะไปถึงห้องน้ำมั้ย” นุ่นถามเพื่อนที่อยู่ด้วยกัน
“ถึงสิ มันก็แค่เดินไม่ตรงทาง แต่ยังมีสติอยู่” เชอร์รี่บอก
“ถ้าหายไปนานเดี๋ยวฉันเดินไปตามเอง” แพรไหมบอกก่อนจะหันมาดื่มต่อ
เช้าวันต่อมาประภาสเดินทางมาเยี่ยมเพื่อนเก่า ที่ไม่ได้เจอกันมานานเป็นสิบปี พร้อมนคินทร์ทั้งสองสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันพูดคุยอัปเดตชีวิตในช่วงที่ไม่ได้ติดต่อกัน รวมถึงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวของลูก ๆ ช่วงที่ผ่านมาอย่างสนุกสนานทั้งรุ่นพ่อและรุ่นลูก“พวกเรามันแก่แล้ว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ สิ่งที่ทำให้อยู่ต่อได้ก็คือเห็นลูก ๆ มีความสุขไม่มีเรื่องทุกข์ใจนั่นแหละ” ประภาสว่า“อืม เห็นพวกเขาเติบโตมีงานการที่ดีทำ พ่ออย่างเราก็สบายใจนอนตายตาหลับแล้ว”“ถ้าเจ้าโจกลับไปทำงาน แล้วแกเหงาไม่มีเพื่อนก็มาอยู่ด้วยกันก็ได้นะ ต่อไปยัยดาวก็ต้องออกเรือน ฉันก็ต้องอยู่คนเดียวเหมือนกัน”“ฮ่า ๆ แบบนั้นก็ดีนะไม่เหงาดีด้วย แต่ฉันยังมีหลาน ๆทางโน้นไม่มีเวลาเหงาหรอก ถ้าจะให้มาอยู่กับแก ก็คงต้องคิดถึงหลานทางนั้นจนไม่เป็นอันทำอะไรเป็นแน่”“ก็ถ้าเหงาไง ให้มาอยู่ด้วยกัน”“ฮ่า ๆ ไอ้เรื่องอยู่ด้วยกันไม่ใช่ปัญหาหรอก ปัญหาคือ ตอนนี้แกน่าจะเหงานะเพื่อน ให้หนูดาวหรือตาดินรีบแต่งานสิ จะได้มีหลานมาวิ่
สามชั่วโมงที่นิศราหายออกจากห้องไป และไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลย โทรศัพท์ไปก็ไม่รับ ทำให้ธีรวัฒน์หงุดหงิดใส่ทุกคนเป็นการระบายอารมณ์ ไม่เคยมีใครปล่อยให้เขารอนานขนาดนี้มาก่อนเธอเป็นคนแรกที่กล้าทำแบบนี้กับเขา แถมไปไม่บอกไม่อธิบายอะไรเลย เขาไม่พอใจเธอมากภาพสุดท้ายก่อนที่เธอจะหายไป หญิงสาวเดินจับมือชายอื่นต่อหน้าต่อตาเขาออกจากห้องไป ยังวนเวียนอยู่ในหัวเขาอยู่เลยตอนนี้เขานอนไม่เป็นสุข นั่งก็ไม่เป็นสุข ต้องลุกเดินไปมา นคินทร์ก็ไม่ได้บอกเพื่อนว่าหญิงสาวอยู่เพียงห้องข้าง ๆ เท่านั้นเอง แต่หากเขารู้ว่าเธออยู่ห้องข้าง ๆมีหวังได้เดินไปอาละวาดพาตัวน้องสาวเขากลับมาเป็นแน่นคินทร์เอาแต่นั่งยิ้มอย่างสะใจ มองคนป่วยวุ่นวายหัวใจเดินวนไปวนมาภายในห้องอย่างอารมณ์ดี“มึงหยุดเดินก่อนได้มั้ยว่ะไอ้ธีร์ กูเวียนหัว” เมื่อเห็นเพื่อนเดินไม่หยุดก็อดรำคาญไม่ได้“มึงไม่เห็น ดาวจับมือไอ้ผู้ชายคนนั้น เดินออกไปเลยนะเว้ยต่อหน้ากู จะให้กูนอนเฉย ๆได้ยังไง” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“มึงอะ คิดมากเกินไปเขาบอกเป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อนสิวะ มึงพูดแบบนี้แสดงว่า
ไม่เพียงแต่ชายหนุ่มที่นั่งหน้าตึงรอเธอกลับเข้าไป แต่บอดี้การ์ดที่อยู่หน้าห้องก็ยืนมองทั้งสองคุยกันอย่างออกรส ใจก็ลุ้นให้นิศรารีบกลับเข้าไปในห้องโดยเร็ว เพราะพวกเขาก็ถูกคนในห้องกดดันมาให้รีบพาเธอเข้าไปแต่ก็ไม่มีใครกล้าแทรกกลางบทสนทนาของทั้งคู่ ที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ต่างเกี่ยงกันจนมีชายหนึ่งคนถูกเพื่อนผลักออกมาด้านหน้า ทำให้หญิงสาวหันไปมองและต้องสงสัยกับท่าทีที่แปลกไปของพวกเขา“มีอะไรหรือเปล่าคะ” นิศราหยุดการสนทนาลงแล้วหันไปถามด้วยความสงสัย“เอ่อ คือเจ้านายรอคุณดาวอยู่ด้านในครับ” บอดี้การ์ดคนหนึ่งบอกเมื่อได้โอกาสที่เพื่อนทั้งสองสร้างให้ ด้วยสีหน้าสำนึกผิดที่เสียมารยาทต่อเธอ“ค่ะ ดาวกำลังจะเข้าไปพอดี”เธอบอกอย่างอ่อนโยน บอดี้การ์ดหนุ่มจึงโค้งศีรษะรับอย่างสุภาพและโล่งใจที่หญิงสาวไม่ต่อว่า“โจงั้นเราเข้าไปข้างในก่อนนะ จะเข้าไปด้วยกันมั้ย” เธอหันมาถามเพื่อน“ยังดีกว่า เดี๋ยวเราจะไปคุยกับคุณหมอ เรื่องอาการของพ่อก่อน”“ถ้าอย่าง
เช้าวันที่สองของการอยู่โรงพยาบาลวันนี้นิศราตื่นเช้ากว่าคนป่วย จึงออกมาเดินสูดอากาศด้านนอก ปล่อยให้คนป่วยได้นอนหลับพักผ่อนยาว ๆขณะที่เดินเล่นมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย ทำให้ไม่ทันระวังเดินชนเข้ากับใครบางคน“อุ๊ย..”“ ขอโทษครับเป็นอะไรหรือเปล่า”“ไม่เป็นอะไรค่ะ แล้วคุณละคะ...เอ๊ะ” นิศราชะงักเมื่อใบหน้าของชายตรงหน้าช่างดูคุ้นชินอย่างกับเธอเคยเห็นเขามาก่อน“ดาวว” ชายที่เดินชนเธอเมื่อสักครู่เป็นฝ่ายจำได้ก่อนโดยตะโกนเรียกชื่อเธอด้วยสีหน้าที่ดีใจ“โจ เหรอ” ทันทีที่ได้ยินเสียงเธอก็จำได้ สีหน้าดีใจไม่แพ้กัน“ใช่นะสิ โชคดีจังที่เจอที่นี่” ชายหนุ่มตอบด้วยความดีใจ คาดไม่ถึงว่าจะมาเจอเธอที่นี่ หลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายปี“ฮ่าา โจจริง ๆด้วย กลับมาไทยตั้งแต่เมื่อไหร่” เธอถามในขณะที่ทั้งสองสวมกอดกันด้วยความคิดถึง หลังไม่ได้เจอกันนาน ทั้งคู่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน สนิทสนมเป็นเหมือนคนในครอบครัวกันเลย“พึ่งลงเครื่อ
“ครับ ๆผมก็แค่ตอบคำถามเจ้านายเองนะครับ” พูดแล้วก็มองหน้าเจ้านายอีกครั้ง เมื่อเห็นสายตาที่แข็งกระด้างนั้นแล้ว เขาคิดว่าควรที่จะไปจากตรงนี้ก่อนเสียดีกว่า“ไม่แซวแล้วครับบบ ผมไม่กวนทั้งสองคนแล้ว” พูดจบก็เดินถอยออกมา ก่อนไปก็แวะกระซิบเตือนหญิงสาวเสียหน่อย แต่พูดเสียงดังตั้งใจให้คนถูกนินทาได้ยินด้วย“เจ้านายผมรุกเก่งนะครับ ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี”“ไอ้วิทย์” ธีรวัฒน์เรียกเสียงเข้มเป็นการเตือนครั้งสุดท้าย“ไปแล้วคร๊าบบบ”“ขอบคุณนะคะ ดาวจะระวังตัวให้มาก ๆ” นิศรารับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เลขาหนุ่มเป็นการลา“ถ้าอย่างนั้นผมฝากคุณดาวดูแลท่านด้วยนะครับ ผมจะให้บอดี้การ์ดอยู่เฝ้าหน้าห้องสองคน ขาดเหลืออะไรบอกพวกเขาได้เลย”“ค่ะ พี่วิทย์ไปพักเถอะ ดาวจะดูแลพี่ธีร์ให้เองสัญญาว่ายุงสักตัวก็จะไม่ให้มากัดเลย” เธอบอกเสียงใสจากนั้นวรวิทย์ก็กลับบ้านไปพักผ่อน เพราะตั้งแต่เมื่อคืนเขาเองก็ยังไม่ได้นอนเลย“แฟนพี่นี่ทั้งน่ารักและจิตใจดีจัง” ได
เย็นวันเดียวกันนิศราเดินทางกลับมายังโรงพยาบาล เพื่อเฝ้าไข้ชายหนุ่มอีกครั้ง เธอมาในเสื้อผ้าชุดใหม่พร้อมลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่มีเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว เตรียมมาสำหรับเฝ้าไข้คนป่วยอีกหลายวัน“นี่จะย้ายบ้านไปไหน ลากกระเป๋าใบใหญ่มาเชียว”นคินทร์แซวน้องสาวที่พึ่งเดินเข้ามาเขารู้ว่าเธอเตรียมมาเฝ้าไข้คนป่วย ที่ต้องรักษาตัวที่นี่อีกหลายวัน แต่ไม่จำเป็นต้องขนกระเป๋าใบใหญ่ขนาดนี้มาก็ได้ นี่เธอกะว่าจะไม่ห่างจากเขาเลยหรือเนี่ย“ไม่ได้จะไปไหนคะ เตรียมมาเฝ้าคนป่วยนี่แหละ”“กะจะไม่กลับบ้านเลยหรือไง คนป่วยก็มีหมอมีพยาบาลดูแลอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาลำบากอยู่เฝ้าเลย” นคินทร์ให้เหตุผล“ดาวไม่ได้ลำบากอะไร อีกอย่างคุณหมอและพยาบาลก็ไม่ได้อยู่ดูแลตลอด24ชั่วโมงนี่คะ เกิดพี่ธีร์เป็นอะไรระหว่างที่พยาบาลไม่อยู่ขึ้นมาจะทำยังไง”“หรา”“ใช่ค่ะ อีกอย่างจะต้องเทียวไปเทียวมาให้เสียเวลาทำไม”นิศราอธิบายเพิ่ม“แล้วไม่ต้องไปทำงานหรือไงเรานะ” นคินทร์ยังพยา