ท้องฟ้ามีแสงแดดจ้าจนแสบตา แต่เพราะลานด้านหลังของหอเจิ้นเชียงสร้างกระท่อมเล็กเป็นที่พักพิงคนงานไว้ไม่น้อย และที่ว่างบนลานด้านหลังมีราวไม้ มีเสื้อผ้าเก่า ผ้าขี้ริ้ว รวมทั้งของทะเลแห้งแขวนตากอยู่เต็มไปหมด เนื่องด้วยไม่มีแดดตลอดปี กลิ่นอับคาวจึงอบอวล กลิ่นพึงประสงค์ไม่เคยจางไปจากบริเวณนั้นเลย
บนพื้นแผ่นหินเป็นมันเขรอะวางกะละมังไม้ใบใหญ่ ซึ่งมีกองชามตะเกียบสกปรกกองไว้สิบกว่าคู่ ม้านั่งเตี้ยที่ไม่สามารถบอกอายุอานามได้ว่าใช้งานผ่านศึกมาเพียงใดหนึ่งตัว อีกคนต้องนั่งยองล้าง บ่อน้ำที่มีตะไคร่ และลูกยุงเจริญเติบโตหนึ่งบ่อ เหล่านี้เป็นองค์ประกอบทั้งหมดของลานหลัง
ด้านหน้าคือภัตตาคาร มีอาหารดีรสเลิศให้ลิ้มชิมได้ไม่หมด แต่ลานด้านหลังนี้กลับมีสภาพชวนสะอิดสะเอียน น้ำเจิ่งนองเฉอะแฉะเหมือนคูน้ำเน่า หากมีลูกค้ามาเห็น ร้อยทั้งร้อยต้องอ้าปากค้างเกิดอาการไม่อยากอาหารไปเลย
ไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นสถานที่เดียวกันเมื่อสองนายบ่าวมาถึงในตอนแรก น่ากลัวมากว่าจะมีหนูอยู่หรือไม่ มันสกปรกเสียจนที่ให้คนยืนยังไม่มีเลย แน่นอนว่าต้าหลิวกับอังโก้วที่คอยคุมพวกเขาเห็นจนชินกันแล้ว พูดว่า
“พอดีเลย พวกคนที่ทำงานล้างชามก่อนหน้านี้บ่นว่างานลําบากเกินไป พากันโบกมือไม่ทำแล้ว”
“กําลังกังวลเรื่องขาดคน พวกเจ้าสองคนก็มาพอดี ช่วยโรงเตี๊ยมล้างชามหกเดือน อย่างน้อยสุดมีหมื่นสองหมื่นใบ สวรรค์ทิ้งคนงานลงมาโดยแท้จะไม่ให้ดีใจได้หรือ ฮ่า ๆ”
ทั้งสองถึงกับหัวเราะลั่นพร้อมกัน แต่ด้วยเหตุนี้ท่าทีของยงเจ้งจึงมีความเป็นมิตรอยู่บ้าง เขาส่งผ้ากันเปื้อน ที่สภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วให้พวกเขาคนละชิ้น บอกให้แยกย้ายกันทํางานเลย
ชุนหลี่เอาแต่พูดไปด่าไปตลอดไม่หยุด ไม่ชอบที่พวกเขาทํางานชักช้า เรี่ยวแรงน้อย เวลากินกลับกินเยอะ พวกเขากินเยอะที่ไหนกัน กะอีแค่ซาลาเปาเหลือ ๆ มีกลิ่นเหม็นหืนฝืดคอ กล่าวอีกอย่างคือชุนหลี่หากระดูกในไข่ไก่ พยายามหาจุดบกพร่องที่ไม่มี สงสัยนี่คงเป็นคำแนะนำของเถ้าแก่ เพราะเห็นได้ชัดว่าตั้งแต่ขนมา จานชามก็บิ่นก็แตกอยู่แล้ว แต่กลายเป็นพวกเขาทําเสียหาย ยังให้ชดใช้เงินอีกต่างหาก บัญชีเก่าทบบัญชีใหม่
สองนายบ่าวล้างชามตลอดทั้งหกเดือนนึกว่าอยู่ในนรก เหนื่อยแทบตายผลกลับเป็น...ยังต้องชดใช้เงินให้เถ้าแก่หรงฝู่เลาเพิ่มอีกหนึ่งพวง วันนี้ก็อีก ฟ้ายังไม่สางกลับถูกชุนหลี่เรียกมาทำงาน แม้แต่ข้าวเช้ายังไม่ให้กิน อยากจะกระโดดถีบหน้าขาคู่นัก
“อันเต๋อจื่อ มา ข้าช่วยเจ้านะ!"
ชายหนุ่มซึ่งนั่งล้างชามบนแท่นข้างบ่อน้ำ ลุกขึ้นมาช่วยโดยจับถังไม้ให้อยู่นิ่ง สุดท้ายสองคนร่วมแรงร่วมใจกันหิ้วถังน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำบ่อเย็นเสียดกระดูกออกมาได้สำเร็จ
“อะ...องค์ชายสิบ งานที่เหลือเดี๋ยวกระหม่อมทําเอง พระองค์ทรงไปนั่งพักสักครู่เถิด”
เด็กรับใช้หายใจหอบ มองมือของเจ้านายอย่างปวดใจ นี่เพิ่งผ่านมาแค่สองวันเอง นิ้วที่เรียวขาวสะอาดหมดจดนั้นกลับมีบาดแผลน้อยใหญ่เต็มไปหมด ก้างปลาในจานอาหาร จานชามปากบิ่น สิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นของที่ทำร้ายคนได้ กระทั่งแปรงไม้ไผ่ หากไม่ระวังขูดโดนหลังมือก็เจ็บจนต้องกล้ำกลืน แต่ถึงกระนั้นยังต้องทําถึงหกเดือนเต็ม บ้าบอที่สุด ถ้าได้รู้สถานะที่แท้จริงของนายท่านพวกนี้ต้องมีสันหลังหวะแน่
“ไม่เป็นไร เจ้าวางใจเถอะ อย่าเรียกนามจริงข้า ในตอนนี้เราอยู่ที่ห่างไกลบ้านเกิดไร้อำนาจ ยิ่งต้องระมัดระวัง อันเต๋อ ข้ายังทำไหว”
”ขอรับ..นายท่าน..”
เด็กรับใช้สีหน้าสลดลง ตนเองนั้นไร้วิชาปกป้ององค์ชายสิบก็ไม่ได้ เป็นผู้ติดตามแท้ ๆ ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ กลับไปนั่งหน้ากะละมังไม้ที่มีชามสกปรกกองพะเนิน หยิบผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งขึ้นมาล้างชามอย่างขะมักเขม้น เร่งรีบให้เสร็จจะได้พักพร้อมกัน กิจการของภัตตาคารรุ่งเรืองดี มีจานชามใช้แล้วส่งมาหลังครัวเป็นร้อยใบ
จากเช้าตรู่จนถึงตอนนี้ หัวของชายหนุ่มไม่ได้เงยขึ้นมาเลย กลับยังเหลือจานชามที่ยังไม่ได้ล้างอีกกองโต ถ้าชุนหลี่ตื่นแล้วคงต้องด่าว่าสักหน่อย เด็กรับใช้มองชายหนุ่มแล้วน้ำตาจะร่วง ถ้าเพียงตนโดนทุบตี หิวท้องกิ่ว เขาก็สามารถอดทนต่อไปได้ ถึงอย่างไรบทลงโทษของขันทีในวังยังโหดกว่าเถ้าแก่หรงฝู่เลาเสียอีก! แต่เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้กับองค์ชายสิบ ช่างทำใจได้ยากเหลือเกิน
ไป๋อันโหวเต๋อจื่อรู้สึกว่าตนเองทำผิดมหันต์ นึกเสียใจทีหลังว่าไม่ควรนําเสด็จองค์ชายสิบออกจากวังเลย พอเหลือบมองชุนหลี่ก็เห็นเขาหลับอุตุอยู่ จึงวางถังน้ำเขยิบไปใกล้ชายหนุ่มที่กำลังจะถ้ำมองบ้านของคนอื่น เพียงแต่บ้านเหล่านั้นเป็นกําแพงดินโคลนหลังคามุงหญ้าดูไม่โอ่อ่าเหมือนหอเจิ้นเชียง
“นายท่าน เหมือนจะมีพิธีมงคล...งานแต่งงานขอรับ”
เด็กรับใช้เอาขากางเกงลง มองไปข้างนอกพลางมองเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงหลังใหญ่ที่หยุดตรงปลายตรอก แต่ที่น่าแปลกคือคนที่ถือประทัดไม่ใช่ขบวนรับเจ้าสาว แต่เป็นเจ้าหน้าที่ขุนนางฝ่ายพลเรือนในชุดข้าราชการ
“ไหนข้าขอดูหน่อย”
ชายหนุ่มรามือจากการล้างจานไปมองข้างนอก รู้สึกเหตุการณ์มันดูแปลก ๆ ไม่ได้มงคลขนาดนั้น พวกเจ้าหน้าที่ขุนนางพลเรือนถืออาวุธล้อมบ้านพลเรือนเรียบง่ายหลังหนึ่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งใช้ดาบเหล็กตบประตูกล่าวเสียงกรรโชก
“สกุลหยาง! รีบเปิดประตู! ใต้เท้าเฉินมารับลูกสาวบ้านพวกเจ้าเป็นอนุภรรยา!”
ตะโกนจบยังยกเท้าถีบประตูอีก บานประตูหยาบ ๆ นั้นไหนเลยจะทานแรงกระแทกได้ ล้มคว่ำไปด้านในเสียงปังใหญ่
“ท่านพ่อ! ท่านแม่! ช่วยเสี่ยวหลินด้วย!”
เจ้าหน้าที่พลเรือนกระทำดุจโจรชั่ว เข้าไปก็ก่อความวุ่นวายทุบทำลายข้าวของ บ้านใกล้เรือนเคียงได้ยินทีแรกยังเปิดประตูเฝ้ามอง ครั้นเห็นขบวนแห่ก็ปิดประตูตายทันทีไม่สนเสียงเอะอะทั้งหมดทั้งมวลของภายนอก แม่นางน้อยที่ถูกลากจูงสวมชุดกระโปรงสีขาวเนื้อผ้าหยาบ รูปโฉมงามสะคราญหยดย้อย นางร้องไห้ฟูมฟาย
กลับยังคงถูกเจ้าหน้าที่จับตัวออกมาจากบ้าน พยายามเอาผ้าแดงหนึ่งผืนคลุมศีรษะ บังคับส่งเข้าเกี้ยวเจ้าสาว สามีภรรยาสูงวัยร้องห่มร้องไห้ไล่ตามออกมา ถูกเจ้าหน้าที่ทุบตีจนล้มอยู่กับพื้น หลังจากกระทํารุนแรง เจ้าหน้าที่ตัวแทนใต้เท้าเฉินโยนตั๋วเงินสามใบให้แล้วยังกล่าวน้ำเสียงกร้าว
“ถือว่าท่านเจ้าเมืองใต้เท้าเฉินซื้อลูกสาวบ้านเจ้าแล้ว หลังจากนี้เป็นตายไม่ติดต่อกันอีก!”
ชายหนุ่มเฝ้ามองจนตัวสั่นโกรธจนลมออกหู แคว้นเหยาเป็นสถานที่เจริญระดับนี้ ยังทำผิดจรรยาบรรณมนุษย์ที่เกินคาด
“นี่...นี่มันใช้กําลังฝืนบังคับสตรีชาวบ้านมาแต่งเป็นอนุภรรยามิใช่หรือ? น่ารังเกียจ เลวทรามที่สุด! ไม่คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้กลางวันแสก ๆ?! ช่างไม่เห็นกฎหมายในสายตาจริง ๆ!
“บ่นอะไรของเจ้าหา! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า? ท่านเจ้าเมืองต้องตาลูกสาวพวกสกุลหยางจึงรับตัวไป เป็นอนุพวกเขาน่ะโชคดีไปถึงคนรุ่นหลังหลายชั่วอายุคนเลยจะบอกให้”
ชุนหลี่ที่อยู่ข้าง ๆ โผล่มาตอนไหนไม่รู้พูดหน้าตาย
“พวกเจ้ารีบกลับไปล้างชามเร็วเข้า คืนนี้ข้ายังต้องไปดื่มเหล้ามงคลที่จวนใหญ่เจ้าเมืองนะ!”
“นี่มันข้าราชการเป็นดั่งพ่อแม่ของชาวบ้านที่ไหนกัน นักเลงอันธพาลในคราบผู้ดีชัดๆ!”
ชายหนุ่มระเบิดโมโห ไม่คิดให้มากความ มองซ้ายขวาหนึ่งที หยิบกระบอกไม้กระบองลำหนึ่งไว้ในมือแล้วพุ่งออกไป
“นะ! นายท่าน! รอข้าก่อน! อย่าวู่วาม!”
เด็กรับใช้ตะโกน เมื่อยั้งเจ้านายไว้ไม่ทันจึงตามไล่หลังไปติด ๆ
“เจ้าพวกเด็กโง่! ไสหัวกลับมา!”
ชุนหลี่ตะโกนพลางรีบไล่ตามออกไป เขาคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเจ้าหนูนุ่มนิ่มนี่จะกล้าหาเรื่องเจ้าหน้าที่ทางการ ทำลายเรื่องดี ๆ ของคนอื่น รนหาที่ตายชัด ๆ
“ข้าบอกให้หยุด!”
ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง มือกระชับไม้กระบองแน่น ยืนขวางหน้าเกี้ยว หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตัวแทนเจ้าเมืองกําลังเดินอย่างภาคภูมิ จู่ ๆ มีชายแปลกหน้ากระโจนมาขวางหน้า กลับไม่รู้สึกตกใจสักนิด มองสํารวจโดยละเอียด ผู้ที่มาขวางอายุน้อย สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ จากหัวจรดเท้าล้วนสกปรกมอมแมมน่ารังเกียจ กระทั่งใบหน้ายังเปื้อนขี้เถ้าก้นหม้อ ถือไม้กระบองเป็นอาวุธ มองทีเดียวก็รู้ว่ากระจอกงอกง่อย หัวหน้าเจ้าหน้าที่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก
“ไอ้เด็กสามหาวนี่มันเป็นใคร ไม่กลัวจะถูกข้าบั่นหัวงั้นรึ!”
"บังอาจ! ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูดจาหยาบคายโต้เถียงกับนายท่านของข้า! เจ้าคนเลวแสนต่ำช้า!”
เด็กรับใช้กระโจนตามออกมาติด ๆ ขวางอยู่ระหว่างชายหนุ่มกับหัวหน้าเจ้าหน้าที่ ยื่นมือปกป้องผู้เป็นนายอย่างแข็งขัน
“หา? นายท่าน? ฮ่า ๆ ๆ หน้าอย่างนี้เนี่ยนะเป็นนายท่าน?! ข้าล่ะอยากหัวเราะให้ฟันหัก”
พวกเจ้าหน้าที่พากันหัวเราะขบขันฟันแทบร่วง ชุนหลี่ไล่ตามมาด้วยความร้อนใจ โค้งคํานับขอโทษเจ้าหน้าที่ทุกท่านก่อนแล้วจึงค่อยกล่าวอธิบาย
“พะ...พวกเขามาจากที่อื่น หลอกกินหลอกดื่มในหอเจิ้นเซียง ถูกเถ้าแก่จับตัวไว้ ตอนนี้ทํางานล้างชามที่ลานหลังขอรับ โปรดอย่าถือสา”
“อ้อ ที่แท้เป็นกุลีของหอเจิ้นเชียง พวกชักดาบกินไม่จ่าย โจรชัด ๆ”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่เหลือบมองเด็กรับใช้กับชายหนุ่มด้วยสีหน้าดูถูก คิดว่าหอเจิ้นเชียงกับเจ้าเมืองสนิทสนมกันอยู่พอสมควร เวลาปกติก็ให้ของกำนัลไม่น้อยด้วย สู้ไว้ค่อยคิดบัญชีกับเขาทีหลังดีกว่า จึงกล่าวตวาด
“ชุนหลี่ รีบให้พวกเขาหลีกไปซะ หากเลยฤกษ์มงคลแต่งงานของนายท่านใครก็รับผิดชอบไม่ไหว!"
“ขอรับ ขอรับ! เอ่อ...เจ้า! ยังไม่รีบหลบอีก!”
ชุนหลี่คิดจะเรียกชื่อของชายหนุ่ม กลับนึกไม่ออกว่าจะเรียกอีกฝ่ายว่าอะไร เช่นนั้นจึงชี้หน้าชายหนุ่ม กล่าวเอ็ด
“เจ้า! เจ้าน่ะ! รีบไสหัวกลับไปล้างชามเลย! ยุ่งเรื่องชาวบ้านให้มันน้อยหน่อย!”
“ยุ่งเรื่องชาวบ้าน? สุภาษิตว่าถนนไม่เรียบมีคนเกลี่ยเกิดอยุติธรรมต้องมีคนจัดการ! นับประสาอะไรกับตอนนี้ ข้าราชการชั่วถืออํานาจ ใช้กําลังฉุดหญิงสาว ข้าในฐานะ...เอ่อ...ฐานะประชาชนเหยาไม่สนมิได้!”
“เหอะ! เจ้าหนู ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่ไหมถึงกล้าด่าท่านนายอําเภอว่าชั่ว? มานี่ ซ้อมมันให้ข้า! เอาให้ตาย! ถ้ามันตายข้ามีรางวัลให้!”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาล เหล่าเจ้าหน้าที่เข้าล้อมกรอบในทันที
“พระบิดาอรหันต์! มีคนได้ตายแน่!”
ชุนหลี่เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี รีบหดหัววิ่งแจ้นไปแจ้งข่าว เหลือเพียงเด็กรับใช้คุ้มครองชายหนุ่มอยู่ข้างหน้า รับหมัดดุจเม็ดฝน ไม้พลองดุจป่าไม้ที่ตีเข้ามาไม่หยุดหย่อน ท้ายสุดนอนคว่ำบนพื้นเลือดเปรอะหน้า! ชายหนุ่มกระชับไม้กระบองในมือ ปัดป้องลูกถีบกับกำปั้นแบบชุลมุน พลางกระโจนใส่เหยื่อไม่หยุดมือ ช่วยเด็กรับใช้ขึ้นจากพื้นจนได้ในที่สุด อีกฝ่ายเห็นคนชั่วชักดาบเล่มใหญ่มาตั้งใจจะฟันให้รู้แล้วรู้รอดไป ชายหนุ่มยกเท้าข้างหนึ่งถีบสองคนคว่ำ ยังใช้ไม้กระบองฟาดไม่ยั้งมือ ก่อนตะโกนว่า
“ตัดสินจากการต่อสู้ ข้าไม่แพ้พวกเจ้า! วันนี้ ข้าจะขจัดความชั่วแทนเบื้องบน ลงโทษพวกเจ้าอันธพาลช่วยคนชั่วทำเรื่องเลวทรามให้หนัก!”
เท้าชายหนุ่มราวกับทาน้ำมัน ไม่ว่าเจ้าหน้าที่รุมจู่โจมอย่างไร ล้วนต่อสู้หลบหลีกด้วยความปราดเปรียวว่องไว ซ้ำยังฟาดเหล่าเจ้าหน้าที่เสียจนร้องโอดโอยเสียงหลง
“มัวร้องบ้าอะไร! รีบฟันมันให้ตาย ๆ ไปซะสิวะ!” หน้าผากของหัวหน้าเจ้าหน้าที่ถูกไม้คานฟาดแตก เลือดไหลซิบเจ็บจนขาดสติ โก่งคอตะเบ็งสุดเสียง
พิธีสถาปนาราชวงศ์ใหม่ถูกจัดเตรียมอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา เหล่าขุนนางทุกฝ่ายแต่งกายจัดเต็มพิธีการ ประชาราษฎร์ทุกคนต่างมายืนล้อมนอกวังหลวงเพื่อชมการแต่งตั้งฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ โดยมีจวิ้นอ๋องเฒ่าไห่หมิงหรา และ พระชายาไป๋ฟานเหนียนเป็นผู้ใหญ่นำพิธีการเวลาฤกษ์มงคลถูกจัดขึ้นในเวลาเที่ยงวัน พระอาทิตย์เลยดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษ พิธีดูเหมือนจะไปได้ดี แต่หารู้ไม่ว่ากำลังจะเกิดการปฏิวัติขึ้น หวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวานั้นมาถึงแคว้นเหยาชุนแล้ว โดยมีชินอ๋องจูไปรับที่ท่าเรือเมืองควานเหลียง และได้รับกองกำลังสนับสนุนจากใต้เท้าเฉินมาช่วยเสริมทัพพร้อมกับทหารแคว้นซีเป่ยจำนวนหนึ่ง เพื่อหวนคืนสู่บัลลังก์อันชอบธรรมเมื่อกำลังจะถึงเวลาที่จงถานไถหมิงและเจียวหวงกำลังจะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์มังกรในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาก็ต้องหยุดชะงัก เป็นเสียงของขันทีผู้หนึ่ง เป็นเสี่ยวสี่จื่อที่หายตัวไปตั้งแต่เช้ามืดและจงถานไถหมิงตามหาไม่พบ บัดนี้ได้เห็นเขาล้มลุกคลุกคลานกลิ้งมาหลุน ๆ จนหยุดตรงหน้าราชพิธี“เป็นบ่าวทำไม่ถูก! บ่าวสมควรตาย!” เสี่ยวสี่จื่อคุกเข่ากับพื้น เป็นแส้หนังที่หวดขึ้นเหนือหัวของอู๋เสี่ยวหวาที่กระทำอุกอาจลงแส้เฆี
โคมไฟสว่างไสวแขวนห้อยสูง แสงเทียนเหลืองแกมส้มให้แสงสว่างครอบคลุมลานสวนของตำหนักสนมเสียนเฟยประหนึ่งม่านโปร่งสีเหลืองคฤหาสน์แห่งนี้ห่างจากวังหลวงจะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ จะว่าไกลก็ไม่ไกล สวนและสิ่งก่อสร้างลอกเลียนรูปแบบซูรวมมียี่สิบห้องพัก หลังคาเชิงชายกิเลนทองสัมฤทธิ์กระดกเชิดสูงเป็นสัญลักษณ์แทนความรุ่งโรจน์รุ่งเรือง เมื่อสายลมยามค่ำโชยแผ่วยังสามารถได้ยินเสียงกระดิ่งลมด้านล่างชายคาดังเสนาะเพราะพริ้งชวนให้สดชื่นรื่นใจจะมีต้นไม้เยอะมากกว่าตำหนักอื่นเป็นพิเศษโดยเฉพาะต้นกุ้ยเหม่ยขวับ!เสียงคมกระบี่แหวกลมเด็ดขาดว่องไว เกิดประกายแสงทองจุดเล็กพร่างตาประหนึ่งดาราทองจํานวนนับไม่ถ้วนกะพริบวิบวับกลางท้องนภายามราตรี พร้อมกันนั้นร่างผู้ถือกระบี่เหินแฉลบวนเวียนในสวนเบาดุจนกนางแอ่น“เจียวหวง เจ้าอยู่นี่เอง”เสียงเรียกอันคุ้นเคยจู่ ๆ ก็ดังขึ้นมา ทําให้การร่ายกระบี่สะดุดหยุดชั่วขณะ เจียวหวงพลิกตัวลงจากบนหลังคามาอยู่ข้างหน้าคนผู้นั้นอย่างแผ่วเบา“ฝ่าบาท?! ทรงมาได้อย่างไรเพคะ” นี่เป็นครั้งที่สองอีกฝ่ายมาเยือนตำหนักเหม่ยกุ้ยของนาง เจียวหวงแปลกใจพอสมควรคุกเข่าลงเสียงดังตุบ“สนมเสียนเฟยน้อมรับเสด็จ ขอทรงพระเจร
ตลอดจนถึงนาทีนี้จงจวิ้นอ๋องเฒ่ายังคิดว่าทำแบบนี้จะบีบบังคับให้หวังเผยจูสิโรราบแก่เขาได้ จะต้องคุกเข่าวิงวอนขอให้อภัย อย่างไรเสียชินอ๋องหวังเผยจูก็ไม่กล้าเหยียบออกจากจวนอ๋องสักก้าวแน่ หากไร้ที่พึ่งพิงอย่างเสด็จพี่ใหญ่ของเขา ผ่านมาหกเดือนแล้วที่ฟางเย่เซียนเข้ามาสวมบทบาทเป็นพระชายาเอกปรนนิบัติดูแลชินอ๋องจูเป็นอย่างดี จนเกิดความรักใคร่กันขึ้นมาจริง ๆ แต่ยังไม่สุกงอมดี หวังเผยจูยังไม่เคยร่วมเตียงเคียงหมอนกับนาง นับแต่พลาดพลั้งครั้งแรกไปเขาก็ไม่แตะต้องตัวนางอีก ให้เกียรติฟางเย่เซียนเป็นอย่างมาก เรียกนางว่าพระชายาหาใช้คำพูดว่านังโสเภณีหรือนางคณิกาหอนางโลมอีกเลยเมื่อตอนยังไม่เกิดเรื่อง ฟางเย่เซียนก็ใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องนี้สุขสบาย แต่นางไม่ใช่คนอยู่นิ่งเฉย ก็คอยหาอะไรทำตามที่พ่อบ้านเหอชิงอบรมสั่งสอนเพิ่มเติม ทุกคนในตำหนักก็ต่างพากันชื่นชอบพระชายาฟางเย่เซียน แล้วพอหลังจากที่ฮ่องเต้หวังซีเอ่อถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์ ฝ่ายพระชายาไป๋ฟานเหนียนก็ควบคุมภรรยาหวังชินอ๋องจูอย่างเข้มงวดในฐานะอาสะใภ้ พระชายาฟางเย่เซียนตะลึงงันจากนางขับร้องที่เพียงเหลือบตาคลี่ยิ้มก็บังเกิดเสน่ห์ล้นเหลือคนหนึ่ง กลายเป็นนางอ
อีกสองวันจะถึงพิธีสถาปนาฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ แสงอาทิตย์ระอุอบอ้าวทำคนแทบจะละลายได้ แต่ในจวนหวังชินอ๋องจู มีทหารยืนกันชนิดเต็มทางเดิน แน่นขนัดไปถึงสวนดอกไม้รอบตำหนัก ระยะสองก้าวต่อหนึ่งคน พวกเขากําลังเฝ้าจวนหวังชินอ๋องจูไว้ตามคำสั่งจวิ้นอ๋องเฒ่าจงไห่หมิงหรา บนใบหน้าทหารทุกนายต่างมีเหงื่อกาฬผุดพราย มือทั้งคู่เหยียดยื่นส่งต่อของมีค่า สิ่งเหล่านี้เป็นของที่นําออกมาจากคลังสมบัติของตำหนักชินอ๋องจู มีเครื่องเคลือบงานฝีมือชั้นยอด ดาบล้ำค่าประดับมุกตะวันออก กระทั่งไม้แกะสลักหรือหินประหลาดขนาดเกินฝ่ามือล้วนไม่ปล่อยผ่านของเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นลาภผลซึ่งตำหนักชินอ๋องจูรับจากภายนอกโดยใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของหวังซีเอ่อ นับแต่ก่อนเขาจะมาเป็นชินอ๋อง เป็นเพียงแค่องค์ชายรอง ถึงแม้พระประสงค์องค์ฮ่องเต้องค์ใหม่คือให้ชินอ๋องจูส่งมอบทรัพย์สินเอง แต่หลังสิ้นอำนาจราชวงศ์หวัง ใต้เท้าที่ไม่ชอบหน้าชินอ๋องได้ทีจึงแสร้งตรวจสอบเปิดโปงโกงกินรับสินบนก็อยู่ในความรับผิดชอบของตนด้วย ทว่ามิได้ล่วงรู้ก็ละเลยหน้าที่เสียแล้ว กระนั้นวัวหายล้อมคอกก็ยังดี ด้วยเหตุนี้จึงนําทหารชั้นดีจํานวนหนึ่งมาอย่าง
“ไม่เป็นไร ข้าไม่กินก็ได้...” จงถานไถหมิงพูดอุบอิบเสียงเบาวางตะเกียบลง“ฝ่าบาท เสวยเพคะ” เฉิงกุ้ยเฟยปล่อยชิ้นนั้น หันไปเลือกชิ้นอื่น ขยับมือคีบส่งถึงปากของฮ่องเต้อย่างว่องไว“ฝ่าบาท เสวยของหม่อมฉันเถิดเพคะ” เจียวหวงไม่ยอมตกอยู่ข้างหลัง ขยับตะเกียบคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นนั้นส่งไปจ่อตรงหน้าจงถานไถหมิงอย่างเร็ว จงถานไถหมิงมองซ้ายมองขวายิ้มบางรับมาทั้งหมด หัวหน้าราชองครักษ์เองก็ยื่นตะเกียบออกไปคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นเล็กวางใส่ในจานของตัวเองอย่างเงียบ ๆ“เอาเถอะอย่ามัวแต่ดูแลเรา พวกเจ้าก็กินด้วยสิ”จงถานไถหมิงเอ่ย จากนั้นก็พยายามจัดการของที่อยู่ในจานตัวเอง พอเจียวหวงคีบขนมชิ้นหนึ่งให้จงถานไถหมิง ลี่เฉี่ยวก็เช่นกัน ท้ายสุดเจียวหวงยื่นตะเกียบไปทางลี่เฉี่ยวที่กําลังเอาโต้วเหลียงเกาชิ้นเล็กวางลงในจานของจงถานไถหมิง แล้วหนีบหยุดตะเกียบลี่เฉี่ยวไว้เสียงดังเพียะเข้าหูอย่างต่อเนื่อง ตะเกียบทองแกะสลักลายเมฆาสองคู่ตะลุมบอนกันเร็วเสียจนตามองแทบไม่ทัน จงถานไถหมิงเองก็ตะลึงมองกับการกระทำของสตรี“คีบให้ฝ่าบาทมากขนาดนั้น เสด็จพี่หญิงไม่กลัวฝ่าบาททรงเสาะท้องเช่นนั้นหรือ” เจียวหวงพูดแล้วเลือกเอาเฉพาะขนมที่ลี่เฉี่
ใกล้ถึงวันราชาภิเษกฮ่องเต้องค์ใหม่แคว้นเหยาชุนรุ่นที่สิบเอ็ด สองวันหลังการจากไปของฮ่องเต้หวังซีเอ่อที่ละเลยทิ้งหน้าที่บริหารบ้านเมือง จิตใจอกตัญญูสั่งขังไท่ซ่างหวงและฮองไทเฮา หายสาบสูญไปสามเดือนแล้ว จึงมีประกาศจากอัครเสนาบดีทั้งสองฝ่ายให้ถอดถอนฮ่องเต้หวังซีเอ่อออกแล้วผลักดัน ‘ท่านแม่ทัพใหญ่ จงถานไถหมิง ขึ้นครองราชย์ เป็น ฮ่องเต้ราชวงศ์จงรุ่นที่หนึ่ง’ดังนั้นหวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวาจึงเร่งเดินทางกลับไปยังแคว้นเหยาชุนให้เร็วที่สุด และหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายลอบสังหารในเมืองอันเว่ยที่อยู่ติดชายแดนใกล้แคว้นหลิ่ง มีแม่น้ำขวางต้องเดินเรือสำเภาข้ามไปยังแคว้นเหยาชุน มาพร้อมรับเด็กทารกที่มารดาเสียชีวิตกลับมาเลี้ยงดู โดยให้อันเต๋อจื่อดูแลไว้ก่อนในแคว้นซีเป่ยแสงตะวันแผดจ้าสาดส่องลอดช่องว่างของแมกไม้ซึ่งส่งเสียงเสียดสีกันไม่หยุดหย่อนตรงลงมายังพื้นดินผืนใหญ่ ผู้ที่นั่งอยู่ในศาลาอู๋เหม่ยของอุทยานตะวันตกทอดตามองด้านนอกดอกไม้ใบหญ้าเฉกเช่นกับผืนทุ่งนากสิกรรม เห็นเพียงสีเขียวเข้มขจี ท้องฟ้าวันนี้สว่างสดใสมาก หลังจากม่านไผ่รอบศาลาถูกปล่อยลงโดยนางกํานัลภายใต้การสั่งการจากหัวหน้าขันที ภายในศาลาโบราณก็พลั