ร้านซาลาเปาสกุลจู
“เจ้าแน่ใจเหรออาเกอ ฟังผิดไปหรือเปล่า” จูอินชักสีหน้าและน้ำเสียงแสดงความไม่เชื่อ
“ไม่ผิด ข้าถามแล้วถามอีก คำตอบก็ยังเป็นอาซิน”
“ไม่จริง ข้าจะไปถามพ่อบ้านโปให้รู้เรื่อง”
“อาอิน อย่าหุนหันได้ไหม”
“ท่านอยู่เฉย ๆ เถิด เรื่องนี้ข้าใจเย็นไม่ได้หรอก”
“ทำไม เจ้าโมโหอะไรนัก”
“นางจะโชคดีกว่าลูกสาวของเราได้อย่างไร”
“แล้วอาซินไม่ใช่ลูกสาวของเจ้าหรือ” จูเกอได้แต่ถอนหายใจ “เจ้าเกลียดอาหูเพราะเหตุใดกันแน่อาอิน เกลียดที่เขาแต่งงานกับเจ้า หรือเกลียดที่เขาตายก่อนเวลาอันควร แต่ถึงเจ้าจะเกลียดเขาเจ้าก็ไม่ควรเกลียดลูกตัวเอง”
“ข้าเกลียดทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา เพราะเขาข้าถึงต้องกลายเป็นหญิงม่าย เพราะเขาข้าถึงกลายเป็นลูกอกตัญญู ต้องทิ้งพ่อแม่มาอยู่ต่างถิ่นต่างเมือง” นางโยนความผิดที่ตัวเองเป็นคนทำให้กับอดีตสามีทั้งหมด
“เจ้าควรจะคิดสักนิดก่อนที่จะพูดคำพวกนี้ออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะอาหูแม่เจ้าอาจจะตายไปนานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอาหูเจ้าอาจจะกลายเป็นทาสของผู้มีอันจะกินหลังใดหลังหนึ่ง เห็นแก่ความดีของเขาบ้างเถิดนะ” ตำหนินางรุนแรงเป็นครั้งแรกตั้งแต่เป็นสามีภรรยากันมาเกือบสิบแปดปี “อย่าใจดำนักเลยอาอิน”
“เจ้ากล้าต่อว่าข้าเพื่ออาหูเลยหรืออาเกอ”
“ข้าแค่อยากเตือนสติเจ้าเท่านั้น หวังว่าเจ้าจะคิดได้ ต่อไปนี้จะทำอะไรก็ใช้สติให้มาก อย่าเอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้งอีก..รับปากข้าสิ”
จูอินมองหน้าสามีน้ำตาคลอเบ้า เสียใจที่ถูกเขาตำหนิ คนที่พูดน้อยอย่างเขา คนที่แทบจะไม่เอ่ยปากพูดอะไรถ้าไม่จำเป็น มาวันนี้กลับต่อว่านางหลายคำ ต้นเหตุล้วนมาจากไป๋ซินซิน
“เพราะนางสินะ”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน มองภรรยาด้วยสายตาไม่เข้าใจความหมาย
“เจ้าคิดไม่ซื่อกับนาง”
“อาอิน!!! นางเป็นลูกของข้านะ!” แผดเสียงเตือนสติที่คิดบัดสีของภรรยา
จูอินผลักอกสามีเต็มแรง ใบหน้าแดงจัดด้วยความโมโหหึง
“นางไม่ใช่ลูกของเจ้า!! นางไม่ใช่ลูกเจ้า! นางเป็นลูกของคนแซ่ไป๋ คนที่ข้าจุดธูปสาปแช่งให้มันตายไปแล้วโน่น!!! ได้ยินไหม ๆ ๆ”
ฉาด!!
จูเกอตกใจกับคำพูดที่ได้ยิน มองภรรยาที่ล้มไปกองกับพื้น
“เจ้าพูดอะไรออกมาอาอิน เจ้าพูดอะไรออกมา” คิดว่าตัวเองตะคอกถามเสียงดังออกไป แต่จริง ๆ แล้วแสนเบาราวกระซิบ
จูอินได้สติเพราะแรงตบของสามี ความโกรธเปลี่ยนเป็นความกลัวอยู่ภายในใจ นางไม่ได้เป็นคนฆ่าเขาให้ตาย นางไม่ได้ทำอะไรผิด
แต่ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นความบังเอิญ หรือเป็นเพราะคำขอของนาง..มันก็กัดกร่อนอยู่ลึก ๆ ในใจมาตลอดสิบแปดปี
“ข้าขอโทษ ข้าแค่พูดไปเพราะความโมโห อย่าถือสาเลยนะ” ไม่ว่าอย่างไร นางก็ไม่อยากให้เขามองด้วยสายตาแบบนี้
“..อาหูคือเพื่อนรักของข้า อย่าพูดถึงเขาในทางที่ไม่ดีให้ข้าได้ยินอีก ระวังปากของเจ้าเอาไว้บ้างก็ดี” เขาตกใจกับคำพูดพลั้งปากของภรรยามาก แม้เรื่องมันผ่านมาแล้วถึงสิบแปดปี แต่เมื่อนึกถึงเด็กสาวผู้อาภัพเขาก็ต้องขู่นางเอาไว้บ้าง
อาซินเอ๋ย ตลอดสิบแปดปีมานี้ข้าพยายามจะดูแลเจ้าอย่างดีเท่าที่ทำได้ ข้าอยากให้เจ้ารู้เหลือเกิน ที่ข้าเย็นชาต่อเจ้าไม่ใช่เพราะเกลียดเจ้า แต่ข้าเกรงว่าถ้าทำดีกับเจ้า จะทำให้เจ้าลำบากยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ เจ้าใช้ชีวิตน่าสงสารมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่ควรได้ออกไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้แล้ว
จูอินประคองตัวเองลุกขึ้นยืน “เจ้ารักเพื่อนมากกว่าข้าที่เป็นเมียอีกหรืออาเกอ”
หูเกอมองใบหน้าที่ปรากฏรอยแดงชัดเจนด้วยความสงสาร.. เขารักนาง รักมากจนยอมทรยศเพื่อน
รักมากจนทำให้สตรีนางหนึ่งที่กำลังจะแต่งงานกันต้องอับอาย เพราะเขาดันพาเมียเพื่อนที่เพิ่งคลอดลูกหนีมาด้วยกันก่อน
เขายอมกลายเป็นคนเลวในสายตาชาวบ้าน ยอมทิ้งพ่อแม่ที่ต้องแบกรับความอัปยศนี้เพื่อมาเริ่มต้นกับนางที่นี่
แต่ต่อไปนี้เขาจะไม่ยอมใจอ่อนกับนางอีกเด็ดขาด ตั้งแต่วันนี้เขาต้องทำใจให้แข็งดั่งหินเข้าไว้
“เจ้าน่าจะรู้อยู่แก่ใจนะอาอิน”
“ข้ากับนางเจ้ารักใครมากกว่ากัน” จูอินรีบหลับตาเบี่ยงหน้าหนี เมื่อเห็นสามียกมือขึ้นพร้อมสายตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ
จูเกอหักห้ามใจอย่างมาก ค่อย ๆ ชักมือกลับมาที่ข้างตัว มองสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา เป็นมารดาลูกสาม
“ข้าตัดสินใจจะยกอาซินให้ท่านเติ้ง บอกให้เจ้ารู้ไว้แค่นี้” นี่คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อเด็กสาวคนนั้น
“ท่านจะไปไหน”
“ข้าจะไปให้คำตอบกับท่านพ่อบ้าน”
“เวลานี้คงไม่เหมาะ พรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้” เห็นสามีทำท่าลังเลก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ จับมือข้างหนึ่งของเขาขึ้นมา “อาเกอ ข้ารู้ตัวดีว่าข้าเป็นแม่ที่ดีของนางไม่ได้ แต่ตอนนี้ข้าคิดได้แล้ว ให้นางแต่งงานออกเรือนไปก็ดี จะได้ไม่ขัดหูขัดตาข้าอีก”
เขามองภรรยาด้วยสายตาจับผิด แต่ไม่เห็นความผิดปกติอันใดก็เริ่มคลายใจ
“พรุ่งนี้ข้าจะไปให้คำตอบแก่ผู้เฒ่าโป”
“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด”
ความไม่ไว้ใจกลับมาในแววตาของหูเกออีกครั้ง
“อย่ามองข้าแบบนั้นสิ เรื่องนี้ต่อให้ต้องฝืนใจข้าก็อยากทำหน้าที่แม่ที่ดีสักครั้ง เชื่อใจข้าเถิดนะอาเกอ”
“ก็ได้”
“งั้นเรามาดื่มเหล้ากันสักกาเถิด ฉลองที่ข้าจะได้อยู่อย่างสุขใจ ได้อยู่แบบครอบครัวของเราจริง ๆ สักที”
แม้อยากโต้แย้งคำพูดของนาง แต่เขาปิดปากเงียบเสีย เพื่อให้คลื่นลมสงบไปจนถึงวันแต่งงานของไป๋ซินซิน
‘อาหูเอ๋ย ข้าอาจจะเป็นเพื่อนที่แสนชั่วช้าในสายตาของเจ้า แต่ข้าก็พยายามอย่างที่สุดแล้วเพื่อลูกสาวของเจ้า หวังว่าเจ้าจะยกโทษให้ข้า’
คำตอบที่ได้ยินทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าถมึงทึงด้วยความโมโหในการกระทำของภรรยา โมโหจนจุกอกจนต้องใช้มือช่วยขยี้“หรือเจ้าไม่รู้เรื่องนี้”“นางเคยพูดถึงผู้เฒ่าเสิ่นหลังจากที่ข้าบอกเรื่องที่ท่านจะแต่งอาซินเข้าบ้าน เราสองคนมีความเห็นที่ไม่ตรงกันเรื่องนี้ นางอยากให้อาซินแต่งเข้าสกุลเสิ่น แต่ข้าก็ปฏิเสธชัดเจน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะให้อาซินแต่งงานกับท่าน นางก็รับปากข้าดิบดี ขอมาคุยเรื่องนี้กับพ่อบ้านโปเอง ดังนั้นที่ข้าเห็นอาซินร้องไห้วันนี้ ข้าจึงเข้าใจว่านางไม่อยากแต่งงานกับท่าน”“เหตุใดฮูหยินจูถึงอยากให้นางแต่งกับผู้เฒ่าเสิ่นมากกว่าข้า” แม้จะรู้เหตุผลแต่ก็อยากจะถามลองเชิงให้แน่ชัด เพราะอยากรู้ว่าคนผู้นี้มีความหวังดีและจริงใจ ให้หญิงสาวที่เป็นเพียงลูกเลี้ยงเพียงใด“ตามที่เราคุยกัน นางอยากให้อาซินได้แต่งกับผู้เฒ่าเสิ่น เพราะเขารับปากนางว่าจะแต่งอาซินเป็นเมียเอก ทำให้นางมั่นใจว่าอาซินจะมีอนาคตที่มั่นคงกว่าแต่งกับท่าน”“แล้วแต่งกับข้าไม่มั่นคงอย่างไร เจ้าก็เห็นว่าข้ามั่งคั่งเพียงใด”“.....”“พูดมาเถิด ผิดพลาดตรงไหนข้าจะได้แก้ต่างกับท่านวันนี้เลย ข้าสู้ผู้เฒ่าเสิ่นไม่ได้ตรงไหน”“ไม่ใช่เรื่อ
ทันทีที่พ้นออกมาจากประตูคฤหาสน์สกุลเติ้ง ไป๋ซินซินก็รีบจับแขนของมารดา แต่ก็ถูกสะบัดออกอย่างแรง จึงได้แต่จับมือตัวเองอย่างหวาดหวั่นกระวนกระวาย“ท่านแม่ ท่านจะให้ข้าแต่งงานกับผู้เฒ่าเสิ่นจริงหรือ”จูอินคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว “ดีใจจนร้องไห้เลยหรืออาซิน”“ข้าไม่ได้ดีใจนะท่านแม่”“ไม่ต้องห่วง แม่คนนี้จะรีบไปเจรจาให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ เจ้ากับน้องกลับบ้านไปก่อนนะ รอฟังข่าวดีจากแม่ได้เลย”หญิงสาวรีบคุกเข่ากับพื้นถนน “ท่านแม่ได้โปรด อย่าให้ข้าแต่งงานกับท่านผู้เฒ่าเลยนะ”“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” จูอินรีบหันซ้ายแลขวาแล้วกระชากร่างเล็กขึ้นมา “หยุดร้องเดี๋ยวนี้!”“เจ้าทำให้แม่โกรธอีกแล้วนะอาซิน!” จูอ้ายเหม่ยตะคอกเสียงเบา แล้วบิดเนื้อตรงต้นแขนของนางด้วยความเกลียดชังเป็นทุน “แต่งงานกับท่านผู้เฒ่าไม่ดีตรงไหน ฐานะท่านก็ดี เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาช่วยท่านพ่อทำงานอีก”“ใช่ พอเจ้าแต่งงานไปแล้วข้าก็ต้องมาเหนื่อยแทนเจ้าอีก ข้าเสียสละเพื่อเจ้าแค่ไหนคิดบ้างสิ”“ข้ายอมเหนื่อย ยอมตื่นเช้านอนดึกกว่าเดิมก็ได้ ท่านแม่อย่าให้ข้าแต่งงานกับผู้เฒ่าเสิ่นเลยนะ”“ไม่ได้ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว อ้ายเหม่ยพานางกลับบ้านไปเดี๋ย
อี้เทียนมองหญิงสาวเล็กน้อย “ข้าต้องกินข้าวตรงเวลาเพราะต้องกินยา กินข้าวด้วยกันนะ”ซินซินยังไม่ทันตอบอะไร อ้ายเหม่ยก็รีบเดินไปยืนใกล้รถเข็นของเขา“ให้อ้ายเหม่ยช่วยนะเจ้าคะ”“ให้เป็นหน้าที่ของบ่าวดีกว่าคุณหนู” ซูฮวาพูดอย่างนอบน้อม แล้วเบียดอีกฝ่ายให้หลุดไปจากตำแหน่งคนเข็นรถ“เชิญ” เติ้งอี้เทียนทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นความไม่พอใจของแม่ลูกกับสาวใช้ แต่แอบสนใจความสงบเสงี่ยมเจียมตัวของหญิงสาวที่ตัวเองหมายตาที่โต๊ะอาหารจูอ้ายเหม่ยตื่นเต้นกับอาหารหลากชนิดที่วางอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่ หลายอย่างล้วนเป็นอาหารที่ไม่เคยกิน ส่วนที่เคยกินก็ดูพิถีพิถันกว่ามาก“ท่านแม่ โต๊ะนี่หมุนได้ด้วย ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”“สำรวมกิริยาหน่อยอ้ายเหม่ย” จูอินรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก แต่ก็ต้องฝืนยิ้มอ่อนหวานมองไปทางเจ้าของคฤหาสน์ “ท่านเติ้งอย่าถือสานางเลยนะ ต้องโทษข้าที่เลี้ยงดูนางอย่างเคร่งครัดเกินไป แทบไม่เคยให้ออกจากบ้านไปไหน พอเจออะไรแปลกตาจึงมักจะตื่นเต้นเกินงาม”“กินข้าวกันเถิด ถ้าไม่ถูกปากหรืออยากได้อะไรเพิ่มก็บอกได้นะ ข้าจะให้ห้องครัวทำมาให้” พูดเสร็จเขาก็หมุนฐานไม้บนโต๊ะอาหาร “ตรงหน้าเจ้าคือเนื้อตุ๋นลิ้นจี่ ลองตักกินส
นางรีบยกมือห้าม “ฟังเหตุผลของข้าก่อนแล้วค่อยแย้ง”“พูดมา”“ท่านเติ้งแต่งเมียมาสามคนแล้ว แต่ทุกคนล้วนได้รับหนังสือหย่าเพราะไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ ข้ายังรู้อีกว่าเขามีอนุอยู่ในบ้านอีกหลายคน พวกนางล้วนชิงดีชิงเด่น ใส่ร้ายป้ายสีกันไปมาเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน”“ข้าไม่เคยได้ยิน”“เจ้าจะไปรู้อะไร วัน ๆ เอาแต่นวดแป้ง ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามชาวบ้านดูก็ได้”“เจ้าก็เชื่อข่าวลือไม่มีมูลพวกนั้น”“ลูกของข้ากำลังจะแต่งงานกับเขานะ จะไม่ให้ข้าพูดได้อย่างไร หรือเพราะนางไม่ใช่ลูกของเจ้า แต่งไปแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง”“ข้าไม่เคยคิดแบบนั้นเลยอาอิน..เอาเป็นว่ารอให้พ่อบ้านโปกลับมาก่อนก็แล้วกัน ข้าจะคุยกับเขาอีกที”“ท่านต้องถามเขาว่าที่ชาวบ้านพูดกันเป็นความจริงไหม” เรื่องที่นางพูดไปใช่ว่าจะเป็นจริงทั้งหมด แต่ถ้านางไม่ยอมรับว่าแต่งขึ้นมาเองใครจะรู้“บุรุษมีอนุมันก็ไม่ผิด แต่งกับท่านเติ้งนางคงไม่ลำบาก”“นั่นลูกข้าทั้งคนนะ โง่ ๆ เซื่อง ๆ อย่างนางไม่กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกอนุหรือ”“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”“ต้องให้เขาแต่งอาซินเป็นเมียเอก”“เจ้าอย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย แค่ได้แต่เข้าสกุลเติ้งก็โชคดีของลูกเราแล้ว”
บ้านสกุลจูไป๋ซินซินกลับเข้ามาในบ้าน เห็นทุกคนกำลังกินข้าวพร้อมหน้า ทุกสายตาหันมาจับจ้องก่อนจะเมินกลับอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินแต่นางจะรู้สึกให้เปลืองความรู้สึกไปทำไม เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับพวกเขาอยู่แล้ว“มานั่งกินข้าวด้วยกันสิ”“ท่านพ่อ!”“หุบปาก” เอ่ยเสียงเย็นพอ ๆ กับสายตาอ้ายเหม่ยเม้มปากด้วยความขัดใจ ถลึงตามองพี่สาวต่างบิดาอย่างเกลียดชัง มองไปทางมารดาก็เห็นท่านปรามด้วยสายตา จึงได้แต่ข่มกลั้นความโมโหเอาไว้“ผู้ใหญ่เรียกไม่ได้ยินหรือ” จูอินมองลูกสาวคนโตด้วยสายตาที่ว่างเปล่า“เจ้าค่ะ” ซินซินจำใจเดินไปนั่งร่วมโต๊ะจูก่านต้งลุกไปตักข้าวและหยิบตะเกียบส่งให้หญิงสาว แล้วนั่งลงกินต่อโดยไม่พูดอะไร“ขอบใจ” บอกน้องชายแล้วมองกับข้าวบนโต๊ะ แต่ไม่กล้าเอื้อมตะเกียบออกไปคีบ จึงคีบข้าวเปล่าใส่ปาก“แม่ของเจ้าได้บอกอะไรกับเจ้าหรือยัง”“ข้ายังไม่ได้บอกนาง” จูอินไม่คาดคิดว่าสามีจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา “ท่านพ่อบ้านไม่อยู่ เห็นว่ารีบกลับบ้านเกิดไปดูใจน้องชาย ต้องรอให้เขากลับมาก่อน ข้าจึงยังไม่ได้พูดอะไรกับนาง”“แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไหร่”“อีกประมาณครึ่งเดื
ความโอหังของจูอ้ายเหม่ยหายไปเกินครึ่งเมื่อถูกเอ่ยถึงบิดา ใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างท้าทายไม่เกรงกลัวใคร เริ่มมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด“ข้านึกออกแล้ว” เฟิงเมี่ยนชี้หน้าอ้ายเหม่ยพร้อมทำตาโต “เจ้าคือลูกสาวคนรองของร้านซาลาเปาสกุลจู” เขาปรบมือรัว ๆ ทำท่าภูมิใจกับความฉลาดของตัวเอง “ในเมื่อถูกตราหน้าว่าเป็นขอทานแล้ว ข้าไปเล่าให้เขาฟังว่าโดนอะไรบ้าง แล้วขอค่ายาจากเขาสักหน่อยดีกว่า”จูอ้ายเหม่ยหน้าซีดด้วยความกลัว รู้สึกเหมือนจะเป็นลมเมื่อนึกถึงบิดา.. แม้ท่านจะดูใจดี แต่เมื่อใดที่ท่านโกรธขึ้นมา มารดาก็ยังไม่กล้าต่อกร แล้วนางเป็นแค่ลูกจะรอดได้อย่างไร“จะไปไหน” เฟิงเมี่ยนสะใจเมื่อเห็นนางสะดุ้งสุดตัว “จะจากไปง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้นะ เจ้ายังไม่ได้ขอโทษพวกเราเลย”“ทำไมข้าต้องขอโทษ” แม้จะขัดขืนแต่เสียงก็อ่อนลงเกินครึ่ง ความมั่นอกมั่นใจลดเหลือแค่หนึ่งส่วนจากสามส่วน“เช่นนั้นก็รีบกลับไปเถิด ข้าไปคุยกับเถ้าแก่จู พ่อของเจ้าง่ายกว่า”“ข้าขอโทษ! ขอโทษ ๆ ๆ ข้าขอโทษ!” ตะคอกใส่หน้าบุรุษทั้งสอง ถลึงตาใส่เฟิงเมี่ยนอย่างอาฆาตแค้น “พอใจหรือยัง”“ถ้าขอโทษไม่เต็มใจแบบนี้ก็จ่ายเจ็บหน้าข้ามาด้วยก็แล้วกัน”“ข้าไม่มี”“ไม่เ