เรื่องราวความวุ่นวายของเรือนหลังในจวนนิ่งอันโหวถูกเอ่ยถึงอย่างแพร่หลาย โม่ชิงเยว่ไม่คิดจะปกปิดข่าวลือใดๆ แถมยังให้ชุ่ยเหมยนำเงินบางส่วนไปมอบให้แก่ชาวบ้านที่พูดถึงเรื่องนี้อย่างลับๆ และกำชับไปว่าเรื่องที่พวกเขากำลังเอ่ยถึงเหล่านี้ฮูหยินของจวนนิ่งอันโหวเช่นนางล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ เรื่องราวที่นางถูกส่งไปอยู่เรือนเหมันต์และถูกรังแกสารพัดถูกเอ่ยถึงอย่างแพร่หลายอีกทั้งยังแพร่กระจายออกไปในหมู่ชาวบ้าน แน่นอนว่าความยากลำบากที่ชาวบ้านเหล่านั้นเอ่ยถึงล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ซึ่งนางเชื่อว่าข่าวลือเหล่านี้ย่อมจะทำให้คนผู้หนึ่งนั่งไม่ติดแน่และจะต้องมาหานางในเร็ววันนี้เป็นแน่
หลังจากที่นางย้ายออกจากเรือนเหมันต์เข้ามาอยู่ในเรือนหลักก็มีเรื่องราวมากมายให้ต้องจัดการ ทั้งการกำจัดข้ารับใช้ที่ไว้ใจไม่ได้ทั้งพยายามรวบรวมอำนาจการดูแลจวนทั้งหมดมาไว้ในมือ แน่นอนว่าเรื่องการดูแลจวนไม่ใช่เรื่องที่นางถนัด ดังนั้นนางจึงต้องส่งชุ่ยเหมยไปขอยืมคนที่สามารถไว้ใจได้มาจากสกุลเจียงให้คอยช่วยเหลือนาง แต่ถึงกระนั้นนางก็พยายามที่จะศึกษาและเรียนรู้พลางคิดถึงความฝันที่ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำทำโม่ชิงเยว่ไม่คิดจะถอดใจ นางเองก็อยากจะเป็นดังเช่นบรรดาสตรีที่อยู่ในความฝัน ใช้ชีวิตอย่างอิสระไม่ต้องยึดติดประเพณีที่ว่าบุรุษเป็นใหญ่ หากเลี้ยงตนเองได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงสายตาของผู้อื่น ทุกยามค่ำคืนนางจึงมักจะนั่งสะสางบัญชีเพียงคนเดียวเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับจวนโหวแห่งนี้ นางยังคงถือคติที่ว่า ‘รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’ แม้ว่าเรื่องราวในเรือนหลังจะไม่ใช่สมรภูมิรบ แต่หลังจากเข้ามาอยู่ในจวนโหวแห่งนี้นางได้เรียนรู้มาแล้วว่าเล่ห์กลของอิสตรีในเรือนหลังนั้นซับซ้อนเสียยิ่งกลศึกของบุรุษเสียอีก
“ในเมื่อมาถึงแล้วเหตุใดจึงไม่เข้ามาเล่า” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งที่ยังคงสวมหน้ากากอยู่เดินเข้ามาในห้องทางบานประตูของระเบียงที่ยังคงเปิดรับลมอยู่
“ยามนี้เจ้าก็ได้อำนาจการดูแลจวนมาอยู่ในมือแล้ว อีกทั้งยังย้ายออกจากเรือนเหมันต์มาอยู่ที่เรือนหลักแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่ปล่อยวางยังว่าจ้างให้คนนำเรื่องราวภายในจวนโหวไปพูดข้างนอกอย่างเกินจริงเช่นนั้นอีก” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่จ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“เรื่องไหนหรือที่ว่าเกินจริง ข้าถูกพวกนางเล่นงานจนเกือบป่วยตายท่านไม่รู้เลยหรือ ข้าต้องไปคลอดลูกในเรือนร้างอันห่างไกล เงินทองในมือก็ไม่มีเอาไว้จับจ่าย จะขอความช่วยเหลือจากผู้ใดก็ล้วนทำไม่ได้เลย แม้กระทั่งท่านที่เป็นสามีก็เงียบหายไปราวกับไม่มีตัวตน จวบจนข้าเกือบจะตายไปแล้วข้าจึงพึ่งจะคิดได้ว่าจะยินยอมให้พวกนางกลั่นแกล้งอยู่อีกทำไม สู้จัดการพวกนางเสียให้สิ้นไม่ดีกว่าหรือ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งขมวดคิ้ว
“ข้าหรือที่เงียบหาย ข้าส่งคนมาคอยสอบถามถึงเจ้าตั้งหลายครั้ง แล้วอีกอย่างเจ้าก็สามารถให้คนส่งจดหมายไปหาข้าที่กองทัพก็ได้นี่ เจ้าเป็นถึงบุตรสาวของอดีตแม่ทัพจะไม่รู้วิธีติดต่อหาข้าเลยหรือ ยังไม่นับว่าเจ้าเองก็มีวรยุทธ์ติดกายจะต่อสู้กับคนของท่านแม่ของข้าไม่ได้เชียวหรือ” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ร้องเฮอะ! ออกมา
“ที่แท้ท่านก็รู้ว่าข้ามีวรยุทธ์ติดกาย หากข้าลงมือทำร้ายท่านแม่และอนุของท่านจริงท่านคิดว่าข้าจะยังอยู่ในจวนโหวได้อีกหรือ อนุสุดที่รักของท่านเป็นคนสกุลใดท่านไม่รู้เลยหรือ ท่านแม่ของท่านหากข้าลงมือทำร้ายนางจริงท่านคิดว่าท่านยังจะปล่อยข้าเอาไว้หรือ อย่าว่าแต่สกุลสุ่ยและท่านเลย หากข้าลงมือจริงพวกนางก็คงส่งคนไปฟ้องร้องข้าที่กรมอาญาแจ้งให้ทางการส่งคนมาจับตัวข้าไปลงโทษแล้ว แค่เป็นสตรีที่อาศัยอยู่ท้ายจวนโหวอย่างอัตคัดสภาพของข้าก็ย่ำแย่มากจนเกินพอแล้ว หากไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอกเพื่อหนีการตามจับของคนของทางการทั้งๆ ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ข้าก็ไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถมีชีวิตรอดมาจนถึงยามนี้หรือไม่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า
“ข้าได้ยินว่าเจ้าได้รับความช่วยเหลือจากสกุลเจียง” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้า
“ก่อนหน้านี้ข้ากับสกุลเจียงไม่เคยติดต่อกัน อีกทั้งท่านแม่ของข้าก็ถูกสกุลเจียงตัดขาดนานแล้ว หากไม่เพราะข้าละทิ้งศักดิ์ศรีที่ยึดติดใช้วิชาปักผ้าที่ท่านแม่ถ่ายทอดให้ก็ไม่แน่ว่าคนสกุลเจียงจะยินยอมให้ความช่วยเหลือข้า การที่ข้าไปขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียงท่านไม่คิดบ้างหรือว่าในยามนั้นชีวิตของข้าอับจนหนทางจนถึงที่สุดแล้ว ส่วนท่านที่ข้าหวังพึ่งพามากที่สุดกลับเงียบหายไร้ข่าวคราว จดหมายแต่ละฉบับที่ข้าส่งไปหาท่านล้วนใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก หากท่านมีความใส่ใจสักนิดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้รับเลยสักฉบับ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า
“ไม่มีนะ! ข้าไม่เคยได้รับจดหมายจากเจ้าจริงๆ” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า
“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าถึงขั้นให้ชุ่ยเหมยบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากบรรดาแม่ทัพนายกองที่เคยอยู่กับท่านพ่อของข้าให้พวกช่วยนำจดหมายขอความช่วยเหลือของข้าไปส่งมอบให้ท่านเชียวนะ ท่านคงไม่รู้กระมังว่าการที่ข้าทำเช่นนั้นต้องใช้ทั้งความพยายามและกำลังเงินมากสักเพียงไหน” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางส่ายหน้า นางจ้องมองซ่งเหวินจิ้งที่ในยามนี้ยังคงสวมหน้ากากเพื่อปิดบังตัวตนอย่าแล้วก็ทอดถอนใจออกมา
ช่างเถิด! แม้แต่ตัวท่านเองท่านก็ยังเป็นเช่นนี้แล้วจะมาช่วยเหลือข้าได้อย่างไร” คำพูดของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า
“ข้าที่เป็นเช่นนี้มันเป็นเช่นไร” เขาเอ่ยพลางจ้องมองนางแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมาเมื่อพอจะคาดเดาความคิดของนางได้
“โม่ชิงเยว่เจ้าอย่าได้คิดเองเออเองได้หรือไม่ สาเหตุที่ข้ากลับมาแล้วแต่เปิดเผยตัวตนไม่ได้ก็เพราะภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากเบื้องบน ไม่ได้หนีทัพหลบหนีเข้าเมืองมาอย่างที่เจ้าคาดเดา” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ไม่พอใจในทันที
“ข้าคิดเองเอเองเพียงฝ่ายเดียวเสียที่ไหน แม้แต่ท่านแม่ผู้ฉลาดเฉลียวของท่านก็ยังเข้าใจว่าท่านหนีทัพเข้าเมืองมาตามอำเภอใจเลย อย่างว่าแต่ข้าและฮูหยินผู้เฒ่าเลยที่เข้าใจเช่นนี้แม้แต่ผู้อื่นก็ล้วนเข้าใจกันเช่นนี้ทั้งนั้น” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่างเหวินจิ้งทอดถอนใจออกมา
“เอาเป็นว่าคนผิดคือข้าเอง เป็นข้าไม่ดีที่ดูแลเจ้าและลูกไม่ได้ ส่วนเรื่องท่านแม่กับเหวินหนิงพวกนางทำผิดต่อเจ้าก็จริงแต่ยามนี้พวกนางล้วนได้รับโทษที่ควรจะได้รับแล้ว ดังนั้นหลังจากนี้เจ้าปล่อยพวกนางไปได้หรือไม่ หากเจ้าอยากให้ท่านแม่ไปอยู่เรือนคิมหันต์ข้ายอมตามใจเจ้า เพียงแต่ข้าขอส่งคนไปดูแลนางให้มากสักหน่อยจะได้ไหมถึงอย่างไรนางก็คือมารดาของข้า ส่วนเหวินหนิงทางกรมอาญาตัดสินโทษโบยและโทษคุมขัง ข้าตั้งใจเอาไว้ว่าพอนางพ้นโทษออกมาข้าจะส่งนางไปสำนึกตนที่สำนักนางชีได้หรือไม่” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“ขอเพียงท่านรับปากข้าว่าจะดูแลพวกนางให้ดีไม่ให้พวกนางมารังแกข้าและลูกๆ ข้าย่อมยินยอมที่จะปล่อยพวกนางไป” เมื่อโม่ชิงเยว่เอยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” เมื่อเขาเอ่ยจบก็ทำท่าว่าจะหันหลังกลับโม่ชิงเยว่จึงได้เอ่ยถึงความต้องการของตนเอง
“หากเป็นไปได้รบกวนท่านช่วยเขียนหนังสือหย่าให้ข้าด้วย แม้ว่าจะเป็นราชโองการพระราชทานสมรส แต่ข้าเชื่อว่าท่านน่าจะหาเหตุผลไปกราบทูลฝ่าบาทได้” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็หันกลับมามองนาง
“เหตุใดจึงอยากหย่านัก เจ้าคิดตำหนิข้าเรื่องที่ข้าปล่อยให้เจ้าเผชิญ
“โม่ชิงเยว่เจ้าอย่าได้คิดเองเออเองได้หรือไม่ สาเหตุที่ข้ากลับมาแล้วแต่เปิดเผยตัวตนไม่ได้ก็เพราะภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากเบื้องบน ไม่ได้หนีทัพหลบหนีเข้าเมืองมาอย่างที่เจ้าคาดเดา” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้า
“อย่าว่าแต่ข้าที่เข้าใจเช่นนี้ แม้แต่มารดาผู้เฉลียวฉลาดของท่านก็ยังเข้าใจว่าท่านหนีทัพกลับเข้าเมืองหลวงมาโดยพลการเช่นกัน ดังนั้นอย่าได้ตำหนิข้าและหาว่าข้าคิดคาดเดาเอาเอง” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้าแต่เมื่อคิดได้ว่าหากอยากสงบสุขก็ห้ามโต้แย้งกับภรรยาเขาจึงได้เปลี่ยนไปเอ่ยถึงเรื่องอื่น
“ทางกรมอาญาตัดสินโทษเหวินหนิงแล้วการที่นางฆ่าคนเดิมทีโทษคือโบยให้ตายตามคนที่นางฆ่า แต่เพราะบุรุษผู้นั้นย่ำยีนางก่อนทำให้นางได้รับโทษโบยตีและถูกคุมขัง ข้าตั้งใจว่าพอเสร็จสิ้นภารกิจแล้วยามที่นำทัพกลับเข้าเมืองหลวงข้าจะใช้ความดีความชอบขอลดโทษให้นางแล้วส่งนางไปสำนึกตนที่สำนักนางชี ส่วนท่านแม่หากเจ้าอยากให้ไปอยู่เรือนคิมหันต์ก็ตามแต่ใจของเจ้า แต่ข้าขอส่งคนของข้าไปคอยดูแลที่เรือนคิมหันต์และขอรับรองว่าจะไม่ปล่อยให้ท่านแม่มารังแกเจ้ากับลูกๆ อีก” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่เลิกคิ้วขึ้น เขาจึงได้เอ่ยกับนางต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“สาเหตุที่เจ้าได้รับความยากลำบากล้วนเป็นเพราะข้า ดังนั้นข้าขอแบกรับความผิดทั้งหมดเอาไว้เอง เจ้าก็ปล่อยพวกนางไปเถอะ เพียงเท่านี้พวกนางก็ยากที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตได้ดังเดิมแล้ว” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้าแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้น
“ในเมื่อสาเหตุของความทุกข์ยากของข้าล้วนเป็นเพราะความผิดของท่าน ดังนั้นท่านก็ควรจะชดเชยให้ข้าอย่างดี”
“ได้! เจ้าต้องการสิ่งใดหรืออยากให้ข้าทำสิ่งใดเพื่อเป็นการชดใช้ให้เจ้าก็บอกข้ามาตามตรงได้เลย” เมื่อเขาเอ่ยถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็เอ่ยความต้องการของตนเองออกมาตามตรงในทันที
“ข้าต้องการให้ท่านเขียนหนังสืออย่าให้ข้า แม้ว่าการแต่งงานของพวกเราจะเกิดจากการสมรสพระราชทาน แต่ด้วยฐานะของท่านย่อมจะต้องมีคำตอบที่เหมาะสมถวายแก่ฝ่าบาทได้แน่” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พลันขมวดคิ้ว
“ความผิดของข้ามันทำให้เจ้าถึงขั้นอยากจะหย่าขาดเลยเชียวหรือ” คำถามของเขาทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า
“เดิมทีท่านกับข้าก็ไม่ได้รักกัน เมื่อก่อนข้าเคยคิดว่าแม้จะไม่ได้รักใคร่ผูกพันแต่เมื่อแต่งกันแล้วก็ย่อมจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่ยามนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าคิดผิด” คำพูดของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งนิ่งงันไปแล้วจึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจนใจ
“เอาไว้ให้ข้าเสร็จสิ้นภารกิจก่อนก็แล้วกันแล้วพวกเราค่อยมาเอ่ยถึงเรื่องนี้กันอีกครั้ง” เมื่อเอ่ยจบเขาก็รีบเร่งจากไปทิ้งให้โม่ชิงเยว่มองตามเงาหลังของเขาด้วยความขัดเคืองใจ
ยามที่ขบวนแห่โลงศพของสุ่ยอี้หรงเคลื่อนผ่านไปแล้ว โม่ชิงเยว่จึงได้หันมาทางบุตรชายและบุตรสาวของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอกับขบวนแห่เช่นนี้พวกเขาจึงได้จ้องมองด้วยความสนใจ“อย่าได้มองอีกเลย เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นเรื่องธรรมดา” โม่ชิงเยว่เอ่ยกับลูกๆ ของนางด้วยน้ำเสียอ่อนโยน ซึ่งเด็กๆ ก็พยักหน้าแล้วหันไปให้ความสนใจกับของเล่นในร้านค้าอีกครั้ง“เขาคือคนที่สังหารสุ่ยอี้หรงเองกับมือ ข้าขอเตือนเจ้าว่าเหยียนเซียวไม่ใช่คนที่เจ้าควรจะข้องแวะด้วย” เสียงกระซิบของคนที่มายืนข้างหลังทำให้โม่ชิงเยว่กะพริบตาแล้วจึงได้ยิ้มออกมา“เหตุใดวันนี้ใต้เท้าจึงได้ออกมาเดินเที่ยวเล่นได้” คำถามของนางทำให้สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่เขา ชายหนุ่มที่มีหน้ากากโลหะบนใบหน้าย่อมจะดูแปลกตาในสายตาของผู้อื่น“ข้ามาทำงานแต่บังเอิญเห็นฮูหยินเข้าก็เลยแวะเข้ามาทักทาย” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยแล้วจ้องมองบุตรสาวและบุตรชายที่กำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ฉายความสนใจ เขาจึงได้ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของเด็กๆ แล้วเอ่ยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน“คุณหนูและคุณชายอยากได้ของชิ้นไหนบอกข้าได้เลยนะ อืม หุ่นไม้ตัวนั้นดีไ
แม้ว่าในใจจะกล่าวโทษตนเองที่ก่อนหน้านี้ทั้งโง่เขลาและอ่อนแอ แต่ส่วนลึกของใจโม่ชิงเยว่ก็ยังอดรู้สึกกล่าวโทษซ่งเหวินจิ้งไม่ได้ ดังนั้นการนิ่งเฉยของนางอาจจะดูเหมือนว่านางให้โอกาสเขาแต่โม่ชิงเยว่ก็ยังคงไม่อาจจะให้อภัยเขาได้ดังที่ซ่งเหวินจิ้งต้องการ นางจึงไม่ได้ละทิ้งเป้าหมายของตนเอง นางไม่ต้องการพึ่งพาผู้ใดและไม่ต้องการที่จะเฝ้ารอคอยและร้องขอความเมตตาจากผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่สะสางธุระภายในจวนเสร็จเรียบร้อยแล้วนางจึงได้เตรียมตัวที่จะออกไปสำรวจตลาดด้วยตนเอง“ท่านแม่ให้ข้าสองคนติดตามไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยถามออกมาเมื่อเห็นว่าโม่ชิงเยว่และชุ่ยเหมยเตรียมตัวที่จะออกจากจวนเสร็จแล้ว“ท่านแม่พวกข้าสองคนไม่ค่อยจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาภายนอกสักเท่าไหร่ ท่านให้ข้าและพี่หญิงติดตามท่านออกไปด้วยได้ไหมขอรับ” เมื่อซ่งจื่อเยว่เอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็นิ่วหน้า แต่เมื่อคิดได้ว่านางไม่ค่อยจะได้พาลูกๆ ออกไปเที่ยวข้างนอกเลยสักครั้งนางจึงได้ยินยอมพยักหน้าแล้วตอบตกลงลูกทั้งสองไป“พวกเจ้าจะติดตามแม่ไปด้วยก็ได้แต่จงจำเอาไว้ว่าถ้าหากพวกเจ้าดื้อรั้นไม่ฟังคำของแม่ แม่จะส่งพวกเ
ยามที่โม่ชิงเยว่ได้รับข่าวการสิ้นชีวิตของสุ่ยอี้หรงนางก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อคิดถึงว่าสกุลบัณฑิตอย่างสกุลเหยียนย่อมไม่อาจจะรับสะใภ้ที่แปดเปื้อนกลับสกุลได้อยู่แล้วนางจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา ซื่อจื่อกั๋วกงเหยียนเซียวผู้นี้ก่อนที่นางจะแต่งงานนางเคยได้พบกับเขาอยู่หลายครั้ง ทั้งดูสูงส่งภูมิฐานสง่างามและเข้าถึงได้ยาก เนื่องจากเขาอยู่ในสกุลบัณฑิตผู้สูงศักดิ์ส่วนนางอยู่ในสกุลของแม่ทัพที่หยาบกระด้างย่อมไม่มีเรื่องใดให้ข้องแวะกันได้อยู่แล้ว“อยากจะเข้าก็เข้ามา จะยืนอยู่ด้านนอกนั่นให้ยามจับได้หรือไร ข้ายังไม่อยากได้ขึ้นชื่อว่าลักลอบนัดแนะให้บุรุษเข้ามาหาตอนที่สามีไม่อยู่หรอกนะ” เสียงของโม่ชิงเยว่ทำให้คนที่ยืนจ้องมองนางอยู่ตรงระเบียงทอดถอนใจออกมาแล้วจึงได้เดินเข้ามาในห้องผ่านประตูระเบียง“ที่เจ้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่การเชื้อเชิญให้บุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องของเจ้าหรอกหรือ” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเขานางชี้ไปที่ประตูระเบียงแล้วจึงได้เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ถ้าเช่นนั้นท่านเข้ามาทางไหนก็เชิญกลับไปทางนั้นได้เลย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช
เสียงขยับไหว เสียงหอบหายใจและเสียงร้องครวญครางที่ดังเล็ดลอดออกมาจากด้านในของรถม้า ทำให้เสี่ยวเหยาผู้เป็นสาวใช้ของสุ่ยอี้หรงวุ่นวายใจจนต้องเดินไปเดินมารอบๆ รถม้า ส่วนคนขับรถม้าและผู้ติดตามคนอื่นๆ ยามนี้ได้พากันถอยออกไปเพื่อเว้นระยะห่างจากรถม้าแล้ว แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ทุกสายตาที่จ้องมองมาที่รถม้ากลับเต็มไปด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลนทั้งสิ้น ยามนี้เสี่ยวเหยาได้แต่คิดว่าเจ้านายของนางจะต้องถูกคนเล่นงานแล้วแน่ๆ แม้ว่าจะคาดเดาได้แล้วแต่นางก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดียามนี้นางจึงได้แต่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบๆ รถม้า เพื่อรอให้เจ้านายของนางได้สติกลับคืนมาเสียงฝีเท้าม้าหลายตัวที่ถูกควบขี่มาทางด้านนี้ทำให้เสี่ยวเหยารีบหันไปออกคำสั่งกับองครักษ์ที่ยืนห่างออกไปให้รีบไปปิดทางเอาไว้ไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามา องครักษ์เหล่านั้นก็รีบไปดำเนินการตามคำสั่งของนางในทันที แต่เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังมาเป็นผู้ใดทุกคนก็ต่างมีสีหน้าลนลานจนคนบนหลังม้ารีบเร่งรุดมายังจุดที่รถม้าที่จอดเอาไว้ในทันที“ฮูหยินเป็นอะไร เหตุใดจึงได้มาจอดรถม้าอยู่แถวนี้” คำถามของซื่อจื่อจวนไหวกั๋วกงเหยียนเซียวทำให้เสี่ยวเหยาตัวสั่นงันงกด้วยความหว
หลังจากเกิดเรื่องที่งานเลี้ยงน้ำชาในจวนสกุลสุ่ย สุ่ยเม่าเจ้ากรมพิธีการของแคว้นเหลียนก็ถูกตามตัวกลับมาที่จวนอย่างเร่งด่วน เมื่อเขาเข้าไปในโถงหลักของสกุลก็เห็นว่าในยามนี้ฮูหยินและบุตรสาวทั้งสองของเขากำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้านายท่านผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาของเขาอยู่ เขาจึงรีบเข้าไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าบิดาของเขาเพื่อแสดงออกถึงความสำนึกผิดในทันที“ท่านพ่อเรื่องในวันนี้พวกนางล้วนทำเต็มที่แล้ว แต่เพราะเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นทำให้แผนการที่วางเอาไว้เสียหาย” คำแก้ตัวของสุ่ยเม่าทำให้นายท่านผู้เฒ่าสกุลสุ่ยตวาดออกมาในทันที“เหตุสุดวิสัยหรือเจ้าลองสอบถามบุตรสาวและภรรยาของเจ้าให้ดีว่าแท้จริงแล้วเป็นเหตุสุดวิสัยหรือเป็นเพราะความโง่เขลาของพวกนาง หากบุตรสาวของเจ้าไม่โง่เขลาจนทำแผนการที่วางเอาไว้ของข้าแตกป่านนี้ข้าก็คงจะสามารถทำให้ชื่อเสียงขององค์ชายรองด่างพร้อยได้ดังที่ข้าเคยรับปากกับองค์ชายใหญ่เอาไว้แล้ว ถึงยามนั้นเรื่องการแต่งงานของลูกสาวคนเล็กของเจ้าก็คงจะสามารถคว้าตำแหน่งพระชายาเอกขององค์ชายใหญ่เอาไว้ได้ดังที่ข้าหมายมั่นปั้นมือเอาไว้” คำพูดของนายท่านผู้เฒ่าทำให้สุ่ยเม่าก้มหน้าลงเพื่อปิดบังสีหน้าของตนเอง“ท่านพ่
เมื่อสุ่ยฮูหยินเห็นว่าโม่ชิงเยว่ทรุดลงไปเช่นนี้ก็ได้แต่คิดในใจว่ายาคงจะออกฤทธิ์แล้ว เพียงแต่การที่พิษออกฤทธิ์ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่รู้ว่าเป็นผลดีหรือว่าผลเสียต่อสกุลสุ่ยของนางกันแน่ นางจึงได้เอ่ยแก้ตัวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจังแม้ว่าในใจจะสั่นไหวมากเพียงใดก็ตาม“นิ่งอันโหวฮูหยินอย่าได้เข้าใจผิด ชาถ้วยนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอันใดส่วนสาเหตุที่ท่านสิ้นไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะไม่คุ้นชินต่อการออกมาข้างนอกจวนหรือเปล่า” คำพูดของสุ่ยฮูหยินทำให้โม่ชิงเยว่แสร้งลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการกล่าวหา“ข้าหาใช่คนร่างกายอ่อนแอเช่นนั้น สุ่ยฮูหยินเสียทีที่ข้าไว้ใจจึงได้ยินดีมาที่นี่ตามคำเชิญของท่าน คิดไม่ถึงว่าสกุลสุ่ยของพวกท่านจะข้างนอกสุกใสแต่ภายในเน่าเหม็น เมื่อก่อนข้าก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดสุ่ยอี๋เหนียงในจวนข้าที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีจึงได้มีพฤติกรรมต่ำช้าเลวทรามเช่นนั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะจวนแห่งนี้มีสภาพแวดล้อมที่ต่ำตมเช่นนี้นี่เอง ชุ่ยเหมยเก็บชาถ้วยนั้นมาข้าจะนำไปให้กรมอาญาตรวจสอบ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สาวใช้ของสุ่ยฮูหยินก็รีบขัดขวางชุ่ยเหมยในทันที แต่กลับ
สายตาที่ปิดบังอารมณ์เอาไว้ไม่มิดของสุ่ยอี้หรงทำให้โม่ชิงเยว่ลอบสังเกตสีหน้าของสุ่ยฮูหยินในทันที นางแอบเห็นว่าสาวใช้สองนางที่อยู่ข้างกายของสุ่ยฮูหยินหายไปจึงได้หันไปส่งสายตาให้ชุ่ยเหมยซึ่งชุ่ยเหมยก็พยักหน้ารับเพื่อส่งสัญญาณว่านางรับรู้แล้ว โม่ชิงเยว่จึงได้หันไปส่งมอบรอยยิ้มให้กับบรรดาสตรีที่อยู่ในบริเวณงาน สาวใช้ที่ติดตามติดตามนางมาต่างก็แยกย้ายกันไปมอบถุงหอมให้แก่บรรดาสตรีที่มาเป็นแขกภายในงาน ชุ่ยเหมยจึงใช้จังหวะที่เดินไปมอบถุงหอมเร้นกายไปยังทิศที่สาวใช้ข้างกายของสุ่ยฮูหยินเดินจากไป“ถุงหอมเหล่านี้ล้วนได้รับการปักลวดลายจากช่างปักที่มากฝีมือของสกุลเจียง ส่วนเครื่องหอมที่อยู่ด้านในเป็นเครื่องหอมที่ข้าลงมือปรุงเองกับมือ หวังว่าทุกท่านคงจะไม่รังเกียจของขวัญชิ้นนี้ของข้า” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางยิ้มออกมาซึ่งบรรดาสตรีที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงต่างก็ลังเลที่จะรับถุงหอมจากสาวใช้ของนางแต่เมื่อท่านหญิงเจียหลีรับเอาไปแล้วเอ่ยชื่นชมออกมาทำให้สตรีหลายคนรับเอาไว้ มีเพียงคนของสกุลสุ่ยและบรรดาที่สตรีที่สนิทสนมกับสกุลสุ่ยเพียงเท่านั้นที่ไม่กล้ารับถุงหอมเอาไว้ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำให้โม่ชิงเยว่ลอบยิ้มออกมา ด้วยนาง
จวนสกุลสุ่ยสมแล้วที่เป็นจวนสกุลเดิมของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ไม่เพียงกว้างขวางและใหญ่โตภายในจวนยังได้รับการตกแต่งอย่างดี สวนหินและสวนไม้ดอกสามารถโอ้อวดผู้คนได้อย่างภาคภูมิใจ โม่ชิงเยว่ที่ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในยังอดรู้สึกชื่นชมการตกแต่งจวนของจวนสกุลสุ่ยไม่ได้ยามนี้สิ่งที่ในใจของนางกำลังคิดอยู่ก็คือนางรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดสุ่ยอี้โหรวจึงได้คิดว่าตนเองสูงส่งถึงเพียงนั้น จวนของนางหรูหราถึงขั้นนี้แล้วจวนโหวที่ได้รับการดูแลโดยคนแกคร่ำครึอย่างแม่สามีของนางจะสามารถเทียบเคียงกับสกุลสุ่ยได้อย่างไรกันเล่า การที่บุตรสาวที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอกเช่นสุ่ยอี้โหรวยอมลดตัวแต่งออกจากจวนไปเป็นอนุ หากไม่ใช่เพราะความรักอันโง่เขลาก็คงเป็นเพราะสกุลสุ่ยมีแผนการที่ไม่ค่อยจะดีนักต่อจวนโหวแล้ว เพราะต่อให้สุ่ยอี้โหรวมีใจต่อซ่งเหวินจิ้งจริงหากผู้อาวุโสในสกุลสุ่ยไม่พยักหน้าแล้วสุ่ยอี้โหรวจะแต่งเข้าไปเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหวได้อย่างไร“คารวะนิ่งอันโหวฮูหยิน เชิญท่านติดตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ” เด็กสาวรูปร่างอรชร ใบหน้ามีความคล้ายคลึงกับสุ่ยอี้โหรวถึงเจ็ดแปดส่วน แต่ความอ่อนเยาว์และรอยยิ้มอันสดใสของนางทำให้ความงามของ
ยามที่ชุ่ยเหมยได้พบกับหรงมามาเดิมทีนางก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดด้วยรู้ดีว่าโม่ชิงเยว่ต้องการคนที่สามารถไว้ใจได้มาคอยช่วยดูแลอยู่ข้างกาย แต่เมื่อได้รู้ว่าหรงมามาได้รับการแนะนำมาจากผู้ใดทำให้นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้จนต้องสอบถามโม่ชิงเยว่ออกมาตามตรง“ในเมื่อนางเป็นคนที่ท่านโหวพามา แล้วฮูหยินก็ยังยินดีที่จะให้นางมาอยู่ข้างกายอีกหรือเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า“เขาจะมาไม้ไหนข้าเองก็อยากจะรู้ อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปที่สกุลสุ่ยแล้ว ข้ากำลังขาดคนข้างกายที่จะคอยแนะนำเรื่องการคบค้าสมาคมกับบรรดาสตรีที่อยู่ในเรือนหลังของบรรดาขุนนางชั้นสูงพอดี เจ้าก็รู้ว่าเมื่อก่อนเพราะท่านแม่ชาติกำเนิดไม่สูง อีกทั้งท่านพ่อก็ไม่ได้ถือกำเนิดในแวดวงเดียวกันกับชนชั้นสูงเหล่านั้น ข้าจึงแทบจะไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของบรรดาสตรีที่เป็นชนชั้นสูงของแคว้นเหลียนดังเช่นบุตรสาวของแม่ทัพคนอื่นๆ เลย” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาพลางจ้องมองด้านนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มแล้วจึงได้เอ่ยต่อ“คนสกุลสุ่ยมีแผนการเช่นไรกับข้า ตัวข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน คิดจะเหยียบย่ำข้าเพื่อแก้แค้นให้สุ่ยอี้โหรวหรือว่าคิดจะใช้ข้าเป็นข