ยามที่โม่ชิงเยว่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเช้าวันใหม่แล้ว เพราะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาไอกลางดึกอีกทำให้นางหลับรวดเดียวมาจนถึงเช้า กลิ่นหอมของอาหารทำให้นางยิ้มออกมา เสียงเด็กสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ด้านนอกพร้อมด้วยเสียงของชุ่ยเหมยที่คอยห้ามปรามพวกเขาไม่ให้ซุกซน ทำให้บรรยากาศด้านนอกเต็มไปด้วยความสดใส โม่ชิงเยว่จึงค่อยๆ ขยับกายลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนของตนไปหาพวกเขา
“ฮูหยิน! ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยทักทายด้วยความยินดี การที่เจ้านายของนางลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยตนเองได้ทำให้นางโล่งใจ แม้ว่าอากาศภายนอกเรือนจะยังคงหนาวเย็นอยู่ แต่เพราะได้กระถางไฟคอยให้ความอบอุ่นทำให้สีหน้าของทุกคนสดชื่นแจ่มใส ชุ่ยเหมยรีบกุลีกุจอไปช่วยพยุงเจ้านายของตนมานั่งที่โต๊ะอาหาร แล้วตักโจ๊กข้าวขาวเนื้อข้นให้เจ้านายของตนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“บ่าวต้มโจ๊กเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ทั้งคุณหนูและคุณชายก็ต่างพากันชื่นชมว่าฝีมือของบ่าวดีขึ้นมาก” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ต่างพยักหน้าพร้อมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อร่อย!”
โม่ชิงเยว่ใช้ช้อนคนโจ๊กเนื้อเนียนหอมกรุ่นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง พอตักโจ๊กเข้าไปในปากแล้วก็ได้ลิ้มรสข้าวขาวอันอ่อนนุ่มและหอมกรุ่น มีความเค็มเพียงเล็กน้อยจากการใส่เกลือ มีกลิ่นหอมของน้ำแกงไก่ที่ใช้ต้มโจ๊กแม้ว่าจะไม่ถือว่าอร่อยล้ำแต่รสชาติเช่นนี้ถือว่าชุ่ยเหมยพัฒนาฝีมือการทำอาหารขึ้นมาแล้วจริงๆ
“อร่อย” โม่ชิงเยว่เอ่ยชื่นชมออกมาแล้วตักค่อยๆ ตักโจ๊กใส่ปากอย่างช้าๆ จนหมดชาม ทำให้ชุ่ยเหมยพลันยิ้มกริ่มอยู่ตลอดเวลาด้วยความพึงพอใจ
สิ่งที่นางทำแล้วไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าใดนักก็คือการทำอาหาร ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เรือนเหมันต์แห่งนี้โม่ชิงเยว่รับหน้าที่ปรุงอาหารด้วยตนเองเป็นประจำ จวบจนโม่ชิงเยว่ล้มป่วยคนลงมือทำอาหารจึงเป็นนาง เดิมทีก็ขาดแคลนวัตถุดิบอยู่แล้วคนปรุงอาหารยังขาดแคลนฝีมืออีก ดังนั้นที่ผ่านมาทั้งคนป่วยและเด็กต้องผอมลงเพราะกินอาหารไม่ถูกปากและกินอาหารได้ไม่อิ่มท้องกันมาเนิ่นนาน ทำให้นางที่คิดว่าตนเองนั้นเก่งกาจแทบจะทุกเรื่องต้องพลอยเสียความมั่นใจกับเรื่องการทำอาหาร ยามนี้พอได้รับคำชมสีหน้าของนางจึงเบ่งบานหัวใจดวงน้อยก็พลันพองโตจนแทบจะระเบิดออกมาด้วยความปลาบปลื้มใจ
“ยังดีกว่าโจ๊กไหม้ๆ ที่ท่านทำเมื่อสองวันที่แล้วเป็นอย่างมาก” เสียงเล็กของซ่งจื่อเยว่ทำให้สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนแปลงไป
“เจ้าอย่าปากมาก” เสียงตำหนิของซ่งจื่อเหยาทำให้สีหน้าของซ่งจื่อเยว่พลันสลดลงไป
“อาหารที่พี่ทำอร่อยแล้ว ต้องโทษที่เมื่อก่อนวัตถุดิบไม่เพียงพอ แท้จริงแล้วพี่ชุ่ยเหมยมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยออกเพื่อปลอบใจชุ่ยเหมยโดยจดจำคำแก้ตัวในการทำอาหารที่ล้มเหลวในครั้งก่อนของชุ่ยเหมยแล้วนำมาใช้พูดจาปลอบอกปลอบใจนางด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงใจ
“เป็นคุณหนูเหยาเหยาที่น่ารักที่สุด” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้ซ่งจื่อเยว่ก็ไม่ยอมแพ้
“ยิ่งทำฝีมือของท่านก็ยิ่งดีขึ้น ข้ายังไม่เคยกินโจ๊กที่ไหนที่อร่อยเท่าโจ๊กที่พี่ชุ่ยเหมยทำเลย” เมื่อซ่งจื่อเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พยักหน้าแม้จะรู้ว่าเป็นแค่เพียงการยกยอที่เกินจริงของเด็กชายตัวน้อยเพียงเท่านั้น แต่นางก็ยังคงรู้สึกชื่นอกชื่นใจอยู่ดีที่เด็กๆ รู้จักพูดจายกยอนาง
“คุณชายจื่อเยว่ก็น่ารักเช่นกัน” นางพูดพลางเอื้อมมือไปเช็ดคราบเปื้อนที่มุมปากของเขาด้วยความเอ็นดู พอทุกคนกินอาหารเช้าเสร็จแล้วเด็กๆ ก็ไปนั่งเล่นใกล้กระถางไฟที่มอบไออุ่นให้เป็นอย่างดี ส่วนโม่ชิงเยว่และชุ่ยเหมยก็มานั่งพูดคุยกันถึงเรื่องที่ชุ่ยเหมยได้ เผชิญมาเมื่อวานนี้
"นี่คือเงินที่เหลือจากการซื้อของเจ้าค่ะ บ่าวได้มาสิบห้าตำลึง ใช้ซื้อของไปสองตำลึงกับแปดก้วน จึงเหลือเงินกลับมาสิบสองตำลึงกับสองก้วน ส่วนนี่คือเงินสามก้วนที่ฮูหยินให้บ่าวไปเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้ใช้จึงนำมาคืนฮูหยิน" โม่ชิงเยว่รับเงินจากชุ่ยเหมยมานับ แล้วจึงแบ่งออกแล้วส่งคืนให้ชุ่ยเหมยห้าตำลึง
“เงินนี่เจ้าเก็บติดตัวเอาไว้ เจ้าไม่ได้รับเงินเดือนจากข้ามานานแล้ว ข้าสัญญาว่าต่อไปข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเงินขาดมืออีก” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็รับเงินไปและคิดในใจว่านางจะเก็บเอาไว้ใช้ซื้อของให้แก่เจ้านายในยามที่เจ้านายของนางขาดแคลนเงินทอง
“บ่าวไม่ได้เงินก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอแค่ได้ปรนนิบัติท่านบ่าวก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ” คำพูดของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา
“เจ้ารับไปเถิด จริงสิ! เหตุใดเงินสามก้วนนี้เจ้าจึงไม่ได้ใช้เล่า แล้วตอนที่ไปร้านขายยาเจ้าใช้เงินจากที่ใดซื้อยามาให้ข้า” เมื่อโม่ชิงเยว่ถามเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ยิ้มออกมา
“เดิมทีที่ฮูหยินให้เงินสามก้วนนี้แก่บ่าว ก็เพื่อให้บ่าวไปซื้อยาที่ร้านแล้วใช้โอกาสนี้สลัดคนของสุ่ยอี๋เหนียงนี่เจ้าคะ เพียงแต่คนของสุ่ยอี๋เหนียงนั้นพอรู้ว่าบ่าวไปร้านยาเพื่อซื้อยาให้ฮูหยินพวกเขาก็รีบวิ่งแจ้นกลับไปรายงานเจ้านายของพวกเขาแล้ว บ่าวก็เลยเก็บเงินสามก้วนนี้เอาไว้เพราะบ่าวรู้ดีว่าเป็นเงินที่โม่ฮูหยินทิ้งเอาไว้ให้ท่าน พอบ่าวได้เงินจากสกุลเจียงแล้วจึงได้นำเงินที่ได้จากสกุลเจียงไปจ่ายค่ายาที่ร้านยาเจ้าค่ะ” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ไหวพริบของเจ้ายังดีเช่นเดิม ว่าแต่ทางร้านผ้าสกุลเจียงเล่า พอพวกเขาเห็นลวดลายผ้าปักของข้า พวกเขาได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับที่มาของผ้าปักหรือไม่”
“ถามเจ้าค่ะ พวกเขาถามว่าเจ้านายของบ่าวคือผู้ใด ใช่ฮูหยินของจวนนิ่งอันโหวหรือไม่” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พึมพำออกมา
“ที่แท้พวกเขาก็ยังไม่ได้ลืมว่ามีข้าอยู่ แถมยังรู้ด้วยว่าข้าแต่งเข้าจวนนิ่งอันโหว” คำพูดของนางทำให้ชุ่ยเหมยพยักหน้า
“บ่าวก็เลยบอกกับพวกเขาว่ายามนี้ท่านโหวไม่อยู่ที่จวน ท่านอยู่ในจวนโหวอย่างยากลำบาก จึงให้บ่าวนำผ้าปักไปขายที่ร้านผ้าสกุลเจียง อีกทั้งยังบอกว่าหากทางร้านให้ราคาดีฮูหยินก็ยินดีที่จะปักผ้าส่งไปขายอีก พวกเขาก็เลยมอบเงินจำนวนนี้ให้บ่าวมาเจ้าค่ะ แล้วบอกกับบ่าวว่าพวกเขายินดีรับซื้อผ้าปีกของฮูหยินทั้งหมด บ่าวคิดว่าที่เถ้าแก่เอ่ยมาเช่นนี้คงตั้งใจจะช่วยเหลือท่านนะเจ้าคะ” คำพูดของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า
“ช่วงนี้คงต้องพึ่งพาเงินจากสกุลเจียงไปก่อน พอข้าหายป่วยแล้วค่อยไปคารวะขอบคุณที่สกุลเจียง” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยพลันกลืนน้ำลาย
“ฮูหยินคิดจะลักลอบออกจากจวนหรือเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้า
“ข้าจะออกไปอย่างสง่าผ่าเผยต่างหาก ข้าไม่ได้ทำผิดอะไรเหตุใดจึงต้องกลัวพวกนาง ที่ผ่านมาเพราะคิดว่าเมื่อท่านโหวกลับมาข้าก็จะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา แต่ยามนี้ข้ารอไม่ไหวแล้ว สงครามแดนใต้ยังคงยืดเยื้อทางทิศอุดรก็ไม่สงบ เขาต้องดูแลกองกำลังทั้งสองฝั่งไม่มีทางมาสนใจเรื่องในเรือนหลังแน่ ดังนั้นหลังจากนี้ข้าคงได้แต่ต้องพึ่งพาตนเองแล้ว” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางไอออกมา
“เพียงแต่ช่วงนี้ข้าคงต้องอาศัยการขายผ้าปักให้แก่ร้านผ้าสกุลเจียงไปก่อน รอข้าแข็งแรงดีแล้วจึงค่อยลงมือ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ถ้าเช่นนั้นฮูหยินจะต้องหมั่นบำรุงร่างกายของตนเองให้ดีนะเจ้าคะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยพลางช่วยลูบหลังให้นางอย่างอ่อนโยน ส่วนโม่ชิงเยว่นั้นกำเงินในมือเอาไว้อย่างแนบแน่นในใจก็คิดว่าหากจะตอบโต้ทางเรือนใหญ่นางจะต้องแข็งแรงให้มากกว่านี้และสิ่งสำคัญก็คือถ้าจะต้องออกจากจวนโหวนางจะต้องมั่นใจว่าตนเองจะสามารถมอบสถานที่พักพิงให้แก่ลูกๆ ได้
ในขณะที่ทางฝั่งเรือนใหญ่กำลังชำระความกับสุ่ยอี้โหรว โม่ชิงเยว่ก็กำลังนั่งดื่มด่ำกับน้ำชาที่ชุ่ยเหมยพึ่งจะชงเสร็จ ส่วนเด็กๆ ในยามนี้กำลังนั่งเล่นหุ่นกระบอกไม้ที่ชุ่ยเหมยซื้อมาอย่างเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง“ฮูหยิน จะไม่ให้บ่าวไปสืบดูหน่อยหรือว่าเฉินมามาผู้นั้นคุ้มค่ากับเงินที่ท่านจ่ายไปหรือไม่” เมื่อชุ่ยเหมยถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า“สถานการณ์ชี้นำขนาดนั้นถ้านางไม่ลงมือก็โง่เต็มทีแล้ว เฮ้อ เพียงแต่เงินที่หามาได้ต้องนำมาใช้จ่ายเพราะเรื่องนี้ข้าล่ะอดรู้สึกปวดใจไม่ได้จริงๆ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ทอดถอนใจออกมา“ไม่ได้การ บ่าวขอไปดูให้แน่ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะหูหนวกตาบอดหลงเชื่อคำแก้ตัวของสุ่ยอี๋เหนียงหรือไม่” เมื่อพูดจบชุ่ยเหมยก็รีบเร้นกายออกจากไปในทันที ทำให้โม่ชิงเยว่จำต้องส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจกับนิสัยที่พอคิดได้ก็ลงมือทำเลยของชุ่ยเหมย นิสัยเช่นนี้จะว่าดีก็ถือว่าดีจะว่าแย่ก็ถือว่าแย่ จะทำอะไรหากไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อนผลลัพธ์ที่ตามมาก็มักจะเลวร้ายเสมอชุ่ยเหมยหายตัวไปนานกว่าที่คาดไว้แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด ด้วยรู้ดีว่าคนของนางมีไหวพริบที่ดีแ
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของสาวใช้ทำให้สุ่ยอี้โหรวลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เมื่อคืนนี้นางเฝ้ารอให้คนของนางกลับมารายงานผลแต่ก็ไม่มีผู้ใดกลับมา อีกทั้งทางเรือนเหมันต์ก็เงียบกริบราวกับไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น นางไม่อาจจะเข้าไปสอบถามความเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยได้จึงทำได้แค่รอเพียงเท่านั้น เพราะความกังวลใจทำให้นางนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาด้วยความกังวลใจแต่แล้วนางหลับใหลไปในยามใดก็สุดรู้ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าสาวใช้ ท่าทีแตกตื่นตกใจของพวกนางทำให้นางรีบก้มลงสำรวจตนเองในทันที“กรี๊ด” เสียงร้องของนางทำให้บรรดาผู้คุ้มกันเรือนรีบเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าสภาพร่างกายของนางไม่เรียบร้อยอีกทั้งสาวใช้บางคนเริ่มมีสติแล้วช่วยกันขับไล่พวกเขาให้รีบลงจากเรือน คนที่พอจะมีสติอยู่บ้างรีบห้ามปรามไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในเรือนในทันที“อี๋เหนียง! อี๋เหนียงเจ้าคะ” เสียงของตงฮวาผู้เป็นสาวใช้คนสนิทช่วยเรียกคืนสติของสุ่ยอี้โหรวให้กลับคืนมา ยามนี้ร่างกายของนางนั้นเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์มาปกปิด คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนตามลำตัวทำให้เนื้อตัวของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มที่นอนบนเต
ยามที่ชุ่ยเหมยกลับมาก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว เมื่อนางพบว่ามีศพนอนรออยู่สามศพนางก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด“ฮูหยินเจ้าคะ ทางเรือนใหญ่ลงมือกับท่านอีกแล้วหรือเจ้าคะ” เมื่อนางถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า“เป็นสุ่ยอี้โหรวน่ะ เพียงแต่คราวนี้ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้แล้ว” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยจบก็ยื่นถุงสมุนไพรในมือให้ชุ่ยเหมย ยามที่เงินไม่ขาดมือชีวิตช่างดีนัก จะซื้อสมุนไพรมาตุนไว้สักเท่าใดก็ไม่เดือดร้อน ตอนที่ท่านพ่อของนางสิ้นจวนสกุลโม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่ไม่มากเท่าไหร่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสินเดิมที่เหลืออยู่ของท่านแม่ของนาง นางจึงต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด พอแต่งเข้าจวนโหวแม้ว่าสามีจะมั่งคั่งแต่ในเมื่อแม่สามีไม่โปรดปรานเงินทองที่จะใช้สอยย่อมไม่มีตกมาถึงมือ นางจะไปแบมือขอกับแม่สามีก็ไม่ได้ ส่วนสามีแค่ได้พบหน้าก็ยังจะไม่พบ พอได้เจอหน้ากันนางจะอ้าปากถามเรื่องเงินก็ใช่ที่ มาตอนนี้พอมีเงินที่หามาได้ด้วยตนเองแล้วนางย่อมจะมือเติบอยู่บ้างเป็นธรรมดา“ผงสมุนไพรนี้ แค่โปรยไปในอากาศจะทำให้คนที่สูดดมหลับใหลไม่ได้สติ เจ้าใช้อย่างระมัดระวัง เอาศพของสามคนนี้ไปโยนไว้บนเตียงของสุ่ยอี้โหรว ในเมื่อนางอยากยุแยงใ
ในขณะที่ทางชายแดนยังคงสะสางปัญหาไม่สิ้น แต่ทางจวนโหวนั้นกลับราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประจบเอาใจน้องสามีสุ่ยอี้โหรวจำต้องกัดฟันควักเงินถึงแปดสิบตำลึงเพื่อซื้ออาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าปักของสกุลเจียง ส่วนทางด้านฮูหยินผู้เฒ่านั้นขอแค่เพียงนางยกยอมากขึ้นสักหน่อย ยอมทำท่าทางนอบน้อมให้มากๆ และยังคงรักษาท่วงท่าของคุณหนูสกุลใหญ่อยู่ก็ย่อมจะได้รับความเอ็นดูมากขึ้นแล้วหญิงชราผู้นี้เอาใจไม่ยาก ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่ชอบยกย่องผู้ที่สูงศักดิ์กว่าและชอบเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่า ในฐานะที่สุ่ยอี้โหรวเป็นถึงคุณหนูรองสกุลสุ่ยซึ่งเป็นสกุลเดิมของฮองเฮา แต่กลับยินยอมลดฐานะมาเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหว ย่อมถือว่าเป็นการให้หน้าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนนิ่งอันโหวเป็นอย่างมาก ดังนั้นยามที่นางเอ่ยปากถึงสิ่งใดก็ย่อมจะได้รับการเห็นดีด้วยจากฮูหยินผู้เฒ่าแทบจะทุกครั้ง ยิ่งถ้านำโม่ชิงเยว่มาเปรียบเทียบกับนาง ฐานะคุณหนูสกุลสุ่ยของสุ่ยอี้โหรวย่อมจะต้องดูดีกว่าฐานะของโม่ชิงเยว่ที่เป็นแค่เพียงบุตรสาวกำพร้าของอดีตแม่ทัพที่ตายไปนานแล้วอย่างแน่นอน“ข้าให้พวกเจ้าคอยคุ้มกันจวนให้ดี อย่าให้สาวใช้นางนั้นเล็ดลอดออกจากจวนไปได้ แล้วทำไมนา
อากาศในเมืองหลวงเริ่มอบอุ่นแล้วแต่อากาศทางชายแดนกลับยังคงหนาวเหน็บ การบุกโจมตีครั้งสุดท้ายได้เริ่มขึ้น ซ่งเหวินจิ้งควบม้าควงดาบนำทัพเข้าฟาดฟันศัตรูอย่างไม่หวั่นเกรง ช่วงสองปีมานี้การศึกยืดเยื้อสิ้นเปลืองทั้งเสบียงและกำลังพลเป็นอย่างมาก หากสงครามยังยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้ล้วนไม่ส่งผลดีต่อขวัญและกำลังใจของคนในกองทัพ คืนนี้เขาจึงวางแผนการใหญ่ใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อหวังให้ทัพของข้าศึกมาติดกับยามนี้ทัพของข้าศึกน่าจะติดกับดักที่เขาวางเอาไว้แล้ว ทหารของข้าศึกที่มาโอบล้อมเขาและคนของเขาไว้ต่างก็มีสีหน้าฮึกเหิมและลำพอง ยามที่หม่าป๋อซางแม่ทัพใหญ่ของแคว้นต้าเป่ยขี่ม้าเดินหน้าเข้ามาหาเขาสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ“ผู้ใดฆ่าแม่ทัพใหญ่แคว้นเหลียนได้ ข้าจะตกรางวัลให้เป็นอย่างงาม” คำพูดของหม่าป๋อซางทำให้คนของเขาต่างพากันโห่ร้องออกมาอย่างคึกคะนองทุกสายตาต่างจ้องมองมาที่ซ่งเหวินจิ้ง เขาแค่เพียงยิ้มออกมายามนี้หม่าป๋อซางยินยอมออกมาเผชิญหน้ากับเขาแล้วย่อมหมายความว่าการศึกในครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว“ปัง!” เสียงพลุไฟส่งสัญญาณในมือของซ่งเหวินจิ้งถูกส่งออกไปส่วนตัวเขานั้นดีดตัวออกจากหลังม้าทะยานร่างไ
เมื่อกำลังใจดีมียาให้ดื่ม อาการล้มป่วยของโม่ชิงเยว่ก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้จะพูดว่าการขายผ้าปักคือการขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียง แต่โม่ชิงเยว่กลับพิถีพิถันและลงมือปักผ้าอย่างประณีตบรรจง ลวดลายที่นางออกแบบล้วนเป็นลวดลายที่กำลังได้รับความนิยมในเมืองหลวง นางนำมาดัดแปลงโดยใช้ลายเส้นในรูปแบบเฉพาะของสกุลเจียง แน่นอนว่าสาวใช้ผู้มากไหวพริบของนางก็คือคนที่ออกไปสำรวจความนิยมของผู้คนในเมืองหลวงมาให้ เนื้อผ้าและเส้นไหมที่ใช้ปักนางล้วนเลือกใช้ของชั้นดีสีสันและลายปักจึงดูล้ำค่าเหมาะสมกับราคาที่สกุลเจียงจ่ายมาให้พอมีเงินแล้วชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น มีอาหารให้กินจนอิ่มท้องมีที่นอนที่มีความอบอุ่นเพียงพอเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสี่ชีวิตในเรือนเหมันต์ พออากาศอบอุ่นมากขึ้นชุ่ยเหมยก็มักจะพาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านทั้งชักชวนเด็กๆ ให้ช่วยทำแปลงปลูกผักแปลงเล็กๆ ไว้กิน ทั้งฝึกสอนวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานให้กับเด็กๆ เพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ทำให้โม่ชิงเยว่มีสมาธิในการออกแบบลวดลายและลงมือปักผ้าได้อย่างเต็มที่ส่วนทางเรือนใหญ่แม้ว่าจะไม่ได้ส่งสิ่งของมาให้แต่ก็มักจะส่งคนมาคอยสอดแนมเป็นระยะ แต่โม่ชิงเยว่ไม่ค
ยามที่โม่ชิงเยว่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเช้าวันใหม่แล้ว เพราะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาไอกลางดึกอีกทำให้นางหลับรวดเดียวมาจนถึงเช้า กลิ่นหอมของอาหารทำให้นางยิ้มออกมา เสียงเด็กสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ด้านนอกพร้อมด้วยเสียงของชุ่ยเหมยที่คอยห้ามปรามพวกเขาไม่ให้ซุกซน ทำให้บรรยากาศด้านนอกเต็มไปด้วยความสดใส โม่ชิงเยว่จึงค่อยๆ ขยับกายลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนของตนไปหาพวกเขา“ฮูหยิน! ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยทักทายด้วยความยินดี การที่เจ้านายของนางลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยตนเองได้ทำให้นางโล่งใจ แม้ว่าอากาศภายนอกเรือนจะยังคงหนาวเย็นอยู่ แต่เพราะได้กระถางไฟคอยให้ความอบอุ่นทำให้สีหน้าของทุกคนสดชื่นแจ่มใส ชุ่ยเหมยรีบกุลีกุจอไปช่วยพยุงเจ้านายของตนมานั่งที่โต๊ะอาหาร แล้วตักโจ๊กข้าวขาวเนื้อข้นให้เจ้านายของตนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม“บ่าวต้มโจ๊กเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ทั้งคุณหนูและคุณชายก็ต่างพากันชื่นชมว่าฝีมือของบ่าวดีขึ้นมาก” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้เด็กๆ ทั้งสองก็ต่างพยักหน้าพร้อมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อร่อย!”โม่ชิงเยว่ใช้ช้อนคนโจ๊กเนื้อเนียนหอมกรุ่นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด
ยามที่ชุ่ยเหมยกลับมาก็เป็นเวลาที่เย็นมากแล้ว สิ่งที่นางนำกลับมานอกจากยารักษาโรคแล้วยังมีอาหารทั้งที่ปรุงสำเร็จมาแล้วและวัตถุดิบสำหรับทำอาหารจำนวนมาก เด็กทั้งสองตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะได้กินอาหารร้อนๆ อันหอมกรุ่น ส่วนโม่ชิงเยว่นั้นนางหมดความอยากอาหารไปนานแล้ว แต่นางก็พยายามกินเพื่อให้ร่างกายมีกำลังเพียงพอที่จะต้านทานอาการป่วยไขช่วงหลายปีมานี้นางมีความเป็นอยู่อย่างอัตคัด ยิ่งหลังจากที่คลอดเด็กแฝดทั้งสองนางก็ยิ่งอ่อนแอลง เงินทองที่เคยมีได้ถูกใช้จ่ายออกไปจนเกือบหมด เริ่มแรกล้วนหมดไปกับการพยายามส่งจดหมายไปหาสามี แต่เมื่อนานวันเข้านางก็คิดได้ว่าสิ่งที่ทำลงไปล้วนสิ้นเปลืองมิสู้รอให้เขากลับมาน่าจะดีกว่าตอนที่นางคลอดลูกแม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะรังเกียจนางมากเพียงใด แต่ก็ยังคาดหวังว่าลูกที่นางอาจจะคลอดออกมาจะเป็นเด็กผู้ชาย พอว่าเห็นว่าเด็กที่คลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนของฮูหยินผู้เฒ่าก็พากันกลับไปอย่างโล่งใจและกลับไปประกาศอย่างเปิดเผยว่านางคลอดลูกชู้ออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง โดยไม่ได้รู้เลยสักนิดว่านางจะคลอดเด็กผู้ชายตามหลังมาอีกคนในภายหลัง แต่ในเมื่อประกาศไปแล้วว่าลูกของนางคือลูกชู้ ดังนั้นแม่สามี
เสียงร้องไห้ของเด็กสองคนปลุกให้โม่ชิงเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง นางค่อยๆ พยุงตนเองให้เดินไปที่ประตูห้องแล้วเดินตรงไปยังห้องที่เด็กๆ นอนอยู่ เพราะร่างกายนี้ล้มป่วยมานาน ยามนี้ยังมีไข้รุมเร้าดังนั้นความเร็วในการก้าวเดินของนางจึงช้ายิ่งกว่าเต่า แต่เพราะความเป็นห่วงลูก ทำให้นางค่อยๆ เกาะผนังห้องแล้วเดินไปหาลูกๆ ของนางได้ในที่สุด“เด็กดี ไม่ต้องร้องนะ อีกสักครู่ พี่ชุ่ยเหมยของพวกเจ้าก็จะกลับมาแล้ว” เสียงของนางช่วยปลุกปลอบความหวาดหวั่นของพวกเขาได้ พวกเขาต่างลุกขึ้นมานั่งแล้วจ้องมองนางด้วยดวงตาอันกลมโตแล้วทำท่าว่าจะโผเข้ามาหานาง“แม่ยังมีอาการไข้อยู่ พวกเจ้าอย่าได้เข้ามาใกล้มากไป ประเดี๋ยวจะติดไข้แม่เอาได้”“ท่านแม่!” เสียงเล็กๆ ของเด็กทั้งสองทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา ลูกสาวและลูกชายของเธอเป็นเด็กที่เข้าใจอะไรได้ง่ายแม้ว่าจะมีอายุแค่เพียง 2 ขวบแต่กลับพูดจาเป็นประโยคยาวๆ ได้แล้ว แม้ว่าจะมีบางคำที่ยังพูดไม่ชัดอยู่บ้างแต่ก็สามารถเข้าใจได้“แม่อยู่ตรงนี้พวกเจ้าไม่ต้องกลัว” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้พวกเขาก็พยักหน้าแล้วจ้องมองแม่ของเขาด้วยความเป็นห่วง“ท่านแม่ลุกขึ้นมาเดินได้แล้วหรือ” เสียงเล็ก