ตอนที่ 8
การรักษาผ่านไปด้วยดี ในตอนนั้นเองที่ทำให้โจวจวงจื่อพึ่งนึกขึ้นได้ว่า เวลานี้ซูอวี้หนิงยังไม่ได้กินอาหารเช้า เพราะตนเองมัวแต่ตกใจกับเรื่องของเสี่ยวเถา เมื่อจัดการเก็บของเสร็จ นางจึงรีบเข้าครัวเพื่อทำอาหารง่าย ๆ ให้อีกฝ่ายได้กินอย่างรวดเร็ว
ทำให้ตอนนี้ด้านนอกเรือนมีเพียงซูอวี้หนิงและโจวจื่อเฉียง อยู่กันตามลำพังเพียงสองคน
ซูอวี้หนิงยกน้ำชาที่ยังอุ่น ๆ ขึ้นมาจิบ เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของโจวจื่อเฉียงที่มองมาที่นางด้วยความสงสัย เพราะเมื่อผ่านเหตุการณ์น่าตกใจเมื่อครู่มาได้ โจวจื่อเฉียงก็เริ่มนึกสงสัยพฤติกรรมของนางขึ้นมาได้
เพราะไม่เพียงแค่ซูอวี้หนิงรักษาเจ้าเสี่ยวเถาได้สำเร็จ แต่ท่าทางของนางนั้นกลับชำนาญราวกับนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทำเช่นนี้
แต่ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากถามนาง ลุงโจวที่ไม่รู้ว่าไปที่ใดมา ก็กลับเข้ามาในลานด้านหน้าอีกครั้ง ทำให้โจวจื่อเฉียงไม่ได้ถามออกไป
ซูอวี้หนิงที่เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่นางจะหนีออกไปจากสถานการณ์น่าอึดอัดเช่นนี้ นางจึงเดินเข้าไปหาโจวจวงจื่อที่ห้องครัวด้านหลัง และเลือกที่จะนั่งกินอาหารเช้าที่ห้องครัวง่าย ๆ โดยไม่ต้องไปพบกับสายตาของอีกฝ่าย
ข่าวเรื่องอาการป่วยของซูอวี้หนิงที่หายเป็นปกติแล้ว ถูกพูดถึงกับเป็นวงกว้างอย่างเงียบ ๆ ทั้งภายในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน มีชาวบ้านหลายคนที่อยากรู้ว่าหญิงสาวหายจากอาการเป็นบ้าใบ้จริงหรือไม่ พวกเขาบางคนถึงกับจงใจเดินผ่านหน้าบ้านของนางเพื่อตรวจสอบดู
ตลอดหลายวันมานี้ ซูอวี้หนิงเริ่มติดตามโจวจวงจื่อเข้าไปในหมู่บ้านบ่อยขึ้น ทั้งเพื่อช่วยซื้อของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ และเพื่อพบปะพูดคุยกับหญิงสาวในหมู่บ้าน นางเริ่มหัดทำอาหารและซักเสื้อผ้าด้วยตนเอง แม้ในตอนแรกจะทำได้อย่างเก้ ๆ กัง ๆ จนโจวจวงจื่อต้องคอยสอน แต่เมื่อทำบ่อยเข้า ซูอวี้หนิงก็เริ่มรู้สึกเพลิดเพลิน
กลิ่นควันไฟจากเตาในครัวเช้าตรู่ทำให้นางนึกถึงภาพครอบครัวในอดีตที่เลือนรางอย่างประหลาด ความอบอุ่นเช่นนี้นางไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว
โจวจวงจื่อเองก็เริ่มยิ้มมากขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวค่อย ๆ เรียนรู้วิถีชีวิตในหมู่บ้านอย่างตั้งใจ
ซูอวี้หนิงนั่งอยู่ที่ลานบ้านของครอบครัวโจว ขณะยกผ้าขี้ริ้วขึ้นเช็ดมือหลังจากซักผ้าเสร็จ ก็เห็นลุงโจวเดินเข้ามาจากประตูรั้วด้านหน้า
วันนี้ท่าทางของเขาผิดไปจากทุกครั้ง ขาเขายกสูงไม่ถนัด และการก้าวเดินสั้นจนดูชัดว่าบาดเจ็บ เขาใช้ไม้เท้าค้ำตัวมากกว่าปกติ ทำให้เสียงปลายไม้เท้ากระทบพื้นดังถี่และหนัก
ซูอวี้หนิงกับโจวจวงจื่อที่เห็นดังนั้นจึงรีบวางของในมือแล้ววิ่งเข้าไปพยุงแขนเขา
“ท่านพ่อ! วันนี้ท่านไปทำอะไรมา ทำไมเดินถึงได้ลำบากขนาดนี้?” โจวจวงจื่อถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ลุงโจวส่ายหน้าเบา ๆ สีหน้าแฝงความเหนื่อยล้า “ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่ขาเจ็บเก่ากำเริบ… วันนี้ต้องเดินทางไกลกว่าปกติ เลยทำให้ปวดขึ้นมาอีก”
ซูอวี้หนิงประคองเขาไปนั่งบนม้านั่งใต้ต้นไม้ ก่อนจะย่อตัวลงตรวจดูที่ขาอย่างระมัดระวัง เมื่อเธอสัมผัสเบา ๆ ลุงโจวก็เผลอสะดุ้งเล็กน้อย
“ขาอักเสบจนร้อน น่าจะเป็นเพราะใช้แรงมากเกินไป” ซูอวี้หนิงเอ่ยเสียงนิ่ง
“ท่านลุง ท่านช่วยเปิดบาดแผลเก่าของท่านให้ข้าดูได้หรือไม่?” ซูอวี้หนิงขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถามอีกฝ่าย
ลุงโจวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำขอของซูอวี้หนิง แววตาเขาเต็มไปด้วยความลังเล แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาจริงจังของหญิงสาว เขาก็ถอนหายใจยาวเหมือนยอมแพ้
“เจ้าจะไม่ตกใจรึ?” เขาถามเสียงต่ำ
ซูอวี้หนิงส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ”
ได้ยินดังนั้น ลุงโจวจึงค่อย ๆ พับขากางเกงขึ้น เผยให้เห็นขาข้างซ้ายที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเก่า รอยหนึ่งเด่นชัดที่สุด เป็นรอยยาวพาดตั้งแต่เหนือเข่าลงมาถึงน่อง คล้ายถูกของมีคมฟันลึกจนแทบขาดจากกัน
รอยแผลเป็นนั้นขรุขระผิดปกติ ผิวหนังที่เชื่อมกันไม่เรียบตึง บางช่วงยุบลึกจนเห็นได้ชัดว่าเส้นเอ็นภายในเคยขาดและต่อกันไม่สมบูรณ์
ซูอวี้หนิงนิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเวทนา ก่อนจะยื่นมือไปแตะเบา ๆ เพื่อคลำดูแนวของเส้นเอ็นใต้ผิวหนัง ลุงโจวสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็อดทนไม่ขยับหนี
“นี่เป็นบาดแผลเก่าที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรก” นางเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เส้นเอ็นที่ขาดตอนนั้นคงไม่ได้รับการเย็บหรือจัดให้เข้าที่ ทำให้เมื่อสมานกันแล้วเกิดพังผืดเกาะ จึงทำให้ท่านปวดเรื้อรังทุกครั้งที่เดินมากเกินไป”
โจวจวงจื่อที่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ กำมือแน่นด้วยความเจ็บใจแทน “ตอนนั้นหมอที่หมู่บ้านไม่ได้ทำอะไรเลยหรือ?”
ลุงโจวหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงเต็มไปด้วยความขมขื่น “ข้าถูกฟันกลางป่าตอนออกไปตัดฟืนตั้งแต่หนุ่ม ๆ ตอนนั้นเลือดไหลไม่หยุด กว่าจะมีคนไปตามหมอมาก็เกือบจะสายแล้ว หมอเพียงแค่หยุดเลือดให้ข้าเท่านั้น”
แค่รอดชีวิตมาได้ก็ประเสริฐมากแล้ว ลุงโจวคิดในใจ
ซูอวี้หนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแน่วแน่ “ก่อนหน้านี้ข้าอ่านเจอ ตำรับยาขี้ผึ้งชนิดหนึ่ง เอาไว้ทาลดอาการปวด หากท่านลุงไม่รังเกียจ ข้าจะทำมันให้ท่าน เอาไว้ทาก่อนนอนดีหรือไม่เจ้าคะ" ซูอวี้หนิงถามอีกฝ่าย
แต่แทนที่ลุงโจวจะกังวลว่ายาที่หญิงทำขึ้นอาจจะเป็นอันตรายได้ เขากลับยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนราวกับว่าต่อให้นางเอายาพิษมาให้เขากิน เขาก็จะยิ้มรับมันดื่มเข้าไป…
เพราะเหตุใดกัน?…
หากเป็นซูอวี้หนิงคนก่อนอาจไม่คิดอะไร… แต่นางที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มากมายมาแล้วชีวิตหนึ่ง ย่อมมองออกถึงความผิดปกตินี้
“เอาสิ ลุงจะลองใช้ดู” ลุงโจวกล่าวกับซูอวี้หนิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่ช่วยโจวจวงจื่อทำงานบ้านเสร็จ ซูอวี้หนิงก็จัดรายการสมุนไพรลงบนแผ่นไม้เขียนด้วยถ่าน พร้อมทั้งระบุสัดส่วนที่ต้องการอย่างชัดเจน ก่อนจะยื่นให้โจวจื่อเฉียงที่กำลังจะเข้าเมือง
“พี่จื่อเฉียง หากวันนี้ท่านเข้าเมืองได้ ช่วยหาสมุนไพรเหล่านี้ให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ” ซูอวี้หนิงยื่นแผ่นไม้ให้ น้ำเสียงสุภาพแต่จริงจัง
โจวจื่อเฉียงรับมาอ่าน ไล่ตามตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือที่ค่อนข้างอ่านยากของนาง “เถาวัลย์เถื่อน ขมิ้นป่า รากเจียวกู่ และน้ำมันงา?” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้านี่รู้จักสมุนไพรพวกนี้ได้ยังไงกัน?”
ซูอวี้หนิงยิ้มบาง ๆ “ข้าเคยอ่านตำราอยู่บ้างเจ้าค่ะ สมุนไพรพวกนี้เมื่อบดรวมกันจะช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดข้อได้ ข้าอยากลองทำให้ท่านลุงใช้ดู”
โจวจื่อเฉียงพยักหน้า แต่สายตายังคงเต็มไปด้วยความสงสัย เขาไม่ได้ซักต่อ เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ได้ ข้าจะลองหามาให้”
ระหว่างทางเข้าเมือง เขาอดนึกไม่ได้ว่าหญิงสาวที่เคยเงียบงันอย่างคนไร้สติ กลับรู้จักสมุนไพรและการปรุงยาดีขนาดนี้ ถึงขั้นเขียนสัดส่วนและวิธีการมาให้เขาได้อย่างชัดเจน
เมื่อโจวจื่อเฉียงกลับมาในช่วงบ่ายพร้อมห่อสมุนไพร ซูอวี้หนิงก็ขอบคุณเขาอย่างจริงใจ ก่อนจะขอตัวไปจัดการในครัว นางนำสมุนไพรที่ได้มาล้างให้สะอาด ตากหมาด ๆ แล้วตำรวมกับน้ำมันงาและน้ำร้อนเล็กน้อยจนกลายเป็นเนื้อยาข้น กลิ่นหอมฉุนอ่อน ๆ ของสมุนไพรลอยอบอวลไปทั่วครัวในบ้านของนาง
โจวจวงจื่อที่เดินผ่านถึงกับชะงัก “กลิ่นสมุนไพรแรงขนาดนี้เชียว?”
ซูอวี้หนิงเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ใช่ ข้าจะทำยาทาให้ท่านลุง ลองดูสักหน่อยว่าจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้หรือไม่”
ตกเย็น หลังมื้ออาหาร นางจึงนำยาที่ทำเสร็จแล้วออกมาให้ลุงโจว พร้อมสาธิตวิธีนวดให้ถูกทิศทาง เพื่อให้ตัวยาแทรกซึมเข้าเส้นเอ็นได้ดีขึ้น ลุงโจวเพียงมองนางด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก ราวกับรู้สึกซาบซึ้งอยู่ลึก ๆ
โจวจื่อเฉียงยืนพิงเสาเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับครุ่นคิดหนักขึ้นเรื่อย ๆ
ในยามดึก ค่ำคืนนั้นบ้านของตระกูลโจวเงียบสงัดกว่าปกติ ลมเย็นเอื่อย ๆ พัดกลิ่นหอมของสมุนไพรจาง ๆ จากขี้ผึ้งที่ซูอวี้หนิงทำยังคงอบอวลอยู่ในเรือน
ลุงโจวซึ่งปกติแล้วมักจะนอนพลิกตัวไปมาด้วยความปวดหน่วงที่ขา กลับหลับสนิทตั้งแต่หัวค่ำ เสียงลมหายใจของเขาสม่ำเสมอจนผิดสังเกต
โจวซื่อซึ่งตื่นมาดื่มน้ำกลางดึก นางถึงกับชะงักเมื่อหันกลับไปมองสามีของตนที่นอนอยู่ด้านข้าง
แสงตะเกียงสลัวในห้องเผยให้เห็นร่างของลุงโจวที่นอนหงายหลับสนิท ขาข้างที่ปกติจะกระตุกเพราะความปวดก็สงบนิ่งผิดปกติ
โจวซื่อกลืนน้ำลาย ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือแตะที่จมูกของสามีเบา ๆ เพื่อดูว่ายังหายใจอยู่หรือไม่
เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่ออกมาอย่างสม่ำเสมอ นางถึงได้ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก นั่งลงบนขอบเตียง มองใบหน้าที่ดูผ่อนคลายของสามีอย่างแปลกใจ
“หลายปีแล้วที่ข้าไม่เคยเห็นท่านหลับสนิทเช่นนี้…” นางพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
โจวซื่ออดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองขี้ผึ้งสมุนไพรที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง กลิ่นหอมยังอวลอยู่ชัดเจน นางเผลอยกยิ้มบาง ๆ ขึ้นมาอย่างขอบคุณในใจ
เช้าวันถัดมา ลุงโจวตื่นขึ้นด้วยสีหน้าสดชื่นกว่าทุกครั้ง ก้าวเดินออกจากห้องได้โดยไม่ต้องพยุงไม้เท้าแน่นเหมือนก่อน
“ท่านพ่อ! วันนี้ท่านเดินได้ดีขึ้นมากเลยนะ!” โจวจวงจื่อร้องอย่างตื่นเต้น
“เมื่อคืนข้าหลับสนิททั้งคืน ไม่ตื่นเลยสักครั้ง ข้ารู้สึกว่าขาเบากว่าที่เคย” ลุงโจวหัวเราะเบา ๆ สีหน้าดูผ่อนคลาย
ซูอวี้หนิงที่นั่งอยู่เงียบ ๆ ในลานบ้านเพียงยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยเสียงนุ่ม “ดีแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะทำเพิ่มให้ท่านใช้ต่ออีกสองสามวัน หากอาการดีขึ้น อาจช่วยให้ท่านเดินทางได้สะดวกขึ้นเรื่อย ๆ”
ลุงโจวมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนโยนอีกครั้ง “อย่าปล่อยให้ตนเองเหนื่อยล่ะ หากเป็นงานหนักเจ้าบอกให้จวงจื่อคอยช่วย เจ้าพึ่งหายป่วยอย่าหักโหม”
“เจ้าค่ะ” ซูอวี้หนิงยิ้มให้อีกฝ่าย
……………………