แชร์

ตอนที่ 8 เหล่าศิษย์พี่

ผู้เขียน: เสี่ยวเทีย
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-01-26 16:40:32

     เมื่อถึงอารามนางก็รีบเข้าไปด้านใน ทิ้งคานที่หาบอยู่บนไหล่ลงไปที่พื้น รีบหันกลับปิดประตูทันที ใส่กลอนไม้ลงอย่างแน่นหนา เอามือตบไปบนบานประตูหลายครั้งเพื่อดูว่ามันแน่นดีหรือไม่ ปกติอารามจะเปิดประตูไว้จนถึงหลังยามเซินค่อยมาปิด ซึ่งก็คือต่อจากเวลาในตอนนี้สักพักถึงค่อยจะปิดได้ แต่จูมี่เอินไม่วางใจนางรู้สึกไม่ดีนางปิดไว้ดีกว่า

     จูมี่เอินยกคานกลับมาใส่บ่า เมื่อหันกลับไปเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็เจอศิษย์พี่ของนางเข้าพอดี

     "ศิษย์น้องอู่ เหตุใดมีสีหน้าเช่นนั้น" ศิษย์พี่อีเห็นนางวิ่งกลับมาด้วยถังที่ว่างเปล่า ที่ขากางเกงยังเปียกน้ำเหมือนหกล้มจนน้ำเลอะขามาก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ "เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับเจ้ารึไม่" เขาถามนางด้วยความเป็นห่วง รีบเดินเข้ามาดูจับตัวนางพลิกซ้ายทีขวาที เด็กหญิงคนนี้เขาเลี้ยงมากับมือตั้งแต่ตัวเท่าเอว เห็นนางเป็นน้องสาวแท้ๆ ไปแล้ว พอคิดว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับนางก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้

     ศิษย์พี่เอ้อร์เห็นคล้ายศิษย์พี่อีกำลังแกล้งน้องเล็กของเขาก็รีบเดินมาดู ร่างบางของน้องอู่กำลังถูกจับหันไปหันมา ใบหน้าเล็กก็ดูตื่นกลัวต่างจากปกติที่มักจะมีรอยยิ้มบางๆ ไว้เสมอ

     "ท่านแกล้งอันใดนาง!?"

     "ท่านทำอะไร/ท่านทำอะไร?" ศิษย์อีกสองคนที่เหลือพอได้ยินเสียงโวยวายด้านนอกก็ตามออกมาจากห้องอ่านหนังสือทันที ในมือยังถือม้วนตำราติดมือมาคล้ายจะเอามาฟาดคนอีกด้วย

     สรุปตอนนี้จูมี่เอินกำลังโดนล้อมอยู่ ส่วนอีกคนก็ตกเป็นเป้าสายตาว่าเป็นคนรังแกน้องเล็ก

     ศิษย์พี่อีเป็นศิษย์คนแรกมักจะมีความสุขุมพูดน้อยอยู่แล้วเพราะต้องเป็นแบบอย่างให้น้องๆ ยามนี้กลับถูกถามเช่นนี้ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง มองท่าทางที่ตนจับน้องเล็กหันไปหันมาก็สมควรแล้วที่จะถูกเข้าใจผิดไป

     "ศิษย์พี่พวกท่านใจเย็นก่อน" จูมี่เอินรู้สึกอุ่นวาบในอกที่มีคนคอยห่วงใยนางเช่นนี้ ท่าทีที่ศิษย์พี่อีโดนสงสัยนั้นก็ตลกมาก แต่ไม่อาจทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดได้นาน นางจึงอธิบายออกไป "ข้าแค่ลื่นทำน้ำหกหมดเท่านั้น" เพิ่งจะสังเกตเห็นขาของตนที่เปียกเพราะเทน้ำทิ้งด้วยความรีบร้อน ตอนนี้จึงคิดได้เหตุผลเดียวเท่านั้น นางจึงพูดปดออกไปแถมยังตบท้ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบางดั่งที่เคยชอบทำ

     "เจ้าเจ็บตรงไหนรึไม่?"

     "นั่นสิได้บาดแผลรึไม่?"

     "ไหนข้าดูหน่อย"

     "ข้าจะไปเอายา!"

     พอนางพูดออกไปไม่มีใครตำหนินางที่ไม่ได้น้ำกลับมา ซ้ำยังเป็นห่วงนางแทน ท่าทางร้อนรนของพวกเขาทำให้ใจของจูมี่เอินรู้สึกอบอุ่น

     "ท่านไม่ต้องไปๆ ข้าไม่ได้เจ็บ" นางบอกศิษย์พี่ซานที่ทำท่าจะเดินไปเอายาให้หยุดลง

     "เจ้าไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว งั้นเดี๋ยวศิษย์พี่เป็นคนไปตักน้ำแทนเจ้าเอง เจ้าไปพักเถอะ" ศิษย์พี่อียกคานจากตัวของจูมี่เอินขึ้นมาใส่บ่าตนเองแล้วเดินไปทางประตูทางออกของอาราม

     คนอื่นก็รีบเห็นด้วยบอกให้นางไปพัก

     "ใช่ๆ /ไปพักๆ" ต่างพากันแย่งกันพูดด้วยความใส่ใจน้องเล็กของตน

     "ศิษย์พี่ๆๆๆ" จูมี่เอินรีบวิ่งไปดักเขา ยกแขนเอาตัวแนบประตูพอคิดว่าตนดูมีพิรุธเกินไปก็รับเปลี่ยนท่าทางใหม่ ก้าวไปหาศิษย์พี่อีจากนั้นยกคานที่บ่าของเขาออกแล้วบอกว่า "ข้าตักมาเต็มแล้ว รอบนี้รอบสุดท้ายจะเอามาคาถังไว้เฉยๆ น้ำที่ตักมาก่อนหน้านี้ก็ใช้ได้อีกหลายวัน ท่านไม่ต้องออกไปหรอกเจ้าค่ะ"

     "งั้นรึ" ศิษย์พี่อีรู้ว่านางนั้นขยัน หากนางบอกว่านางตักมาเต็มแล้วเขาก็ไม่เคยถามว่าเต็มจริงหรือไม่ ทำเพียงแค่พยักหน้าเข้าใจ

     "อ่อ อีกอย่างข้าได้ยินว่าชาวบ้านบอกว่าวันนี้หลังยามเซิน [1] ห้ามออกจากบ้าน ถือเป็นฤกษ์อัปมงคล เป็นความเชื่อใหม่ข้าเองก็เพิ่งเคยได้ยิน เลยคิดว่าวันนี้คงไม่มีชาวบ้านมาแล้วแหละ ข้าเลยปิดประตู พวกท่านเองก็ไม่ต้องออกไปนะ หากมีธุระอะไรพรุ่งนี้ค่อยออกไปทำ" เพราะพวกนางเรียนเรื่องฤกษ์ยามมงคลมาหลายปี แน่นอนหากบอกไปเพียงว่าเป็นฤกษ์ไม่ดีไม่ให้ออกไป พวกศิษย์พี่คงไม่เชื่อ นางเลยบอกว่าเป็นความเชื่อใหม่เสียเลย ^ยามเซิน เวลา 15.00-16.59

     "งั้นเจ้าก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพักผ่อนเถิด เดียวงานที่เหลือพวกข้าทำต่อเอง"

     "ขอบคุณศิษย์พี่ทุกท่านที่เป็นห่วง" นางยกมือผสานคารวะทุกคนอย่างจริงใจ ก่อนไปก็หันไปดูกลอนที่ประตูอารามอีกรอบ ตรวจดูให้แน่ใจว่าปิดแน่นแล้วรึยัง จากนั้นก็หอบคานไม้และถังไปเก็บไม่ให้ใครออกไปตักน้ำได้อีก แถมยังจงใจเอาไปซ่อนไว้ไกลๆ อีกด้วย

     สี่คนได้แต่มองตามท่าทางยุกยิกๆ ไม่เป็นตัวเองของนางอย่างแปลกใจ แต่พวกเขาปกติก็อยู่แค่ในอารามอยู่แล้วไม่ค่อยได้จะออกไปข้างนอก ยิ่งช่วงเวลานี้ด้วยก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรให้ออกไปทำ เลยปล่อยผ่านเรื่องฤกษ์ที่นางบอกไปไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

     จูมี่เอินหลังเอาของไปซ่อนแล้วก็วิ่งกลับห้อง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นั่งอยู่บนเตียงหายใจหนักหน่วงหลายรอบ

     นางหวาดกลัวกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ตามบุรุษรูปงามผู้นั้นมายิ่งนัก ใบหน้าพวกเขาโหดเหี้ยม ฆ่าคนไม่กระพริบตา เลือดสีแดงที่เห็นสีสดๆ ของมันอย่างชัดเจนยังจำได้แม่นยำ นางยกมือขึ้นปิดตาตัวเอง หวังให้คนกลุ่มนั้นไม่ผ่านมาที่อาราม และหวังให้บุรุษผู้นั้นรอดพ้นจากอันตราย

     พอนึกถึงเขานางก็แปลกใจ เป็นครั้งแรกที่มีคนเชื่อนาง และเป็นครั้งแรกที่นางสามารถช่วยเขาได้ เออ...อาจจะช่วยได้ก็ได้ เพราะหลังจากเขาไปแล้วนางก็ไม่เห็นนิมิตรที่เขาได้รับอันตรายอีก แสดงว่าเขาคงสามารถรอดไปได้จริงๆ

     เขาเป็นใครกัน เหตุใดเหตุการณ์ที่นางเห็นเกี่ยวกับเขาช่างชัดเจนนัก ขนาดเสียงของดาบที่ปาดไปกับผิวของเขา นางก็ยังได้ยินมันอย่างชัดเจนในห้วงนิมิตรของตน คล้ายว่านางเอาหูไปแนบกับดาบอย่างไรอย่างนั้น เหมือนตัวนางเองที่เป็นดาบเล่มนั้นด้วยซ้ำ

     จูมี่เอินถอนหายใจทิ้งตัวลงนอน ด้วยความตกใจกับภาพที่ได้เห็นทำให้นางเผลอหลับไปอย่างง่ายดายตั้งแต่พลบค่ำ

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 8

    วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 7

    "เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 6

    ...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 5

    "เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 4

    ....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 3

    ....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status