“บ้าจริงๆ !!!”
เมื่อเขาเปิดประตูออกมา เขาก็บ่นทันที ไม่ใช่เรื่องสองสาวที่ไม่ยอมหย่าศึก แต่เพราะเขากำลังเครียดเรื่องมารดามากกว่า เขาหายใจแรงจนทำให้หน้าอกกระเพื่อมไหว เขาห้ามความเคียดแค้นที่ระอุขึ้นทุกวินาทีไม่ได้ เสียงสะอื้นของมารดายังวนเวียนอยู่ในหัว เขาไม่อาจสลัดมันให้พ้นไปจากห้วงความคิดได้สักวินาทีเดียว
“ไม่ได้ว่ะ ต้องเคลียร์”
ชายหนุ่มดึงโทรศัพท์ออกมา เพื่อจะต่อเบอร์โทรศัพท์ไปยังสายการบินแห่งหนึ่ง ทว่า เขากลับชะงักเพราะประตูห้องติดกันเปิดออกอย่างแรงเพราะฝ่าเท้าของหญิงสาว เธอยังสวมชุดคลุมสีขาวของโรงแรม ผมเปียกปอน เนื้อตัวชุ่มน้ำเหมือนเพิ่งลุกจากอ่าง สีหน้าทั้งแค้นทั้งหวาดกลัว วิ่งออกมาอย่างเร็ว
สภาพของเธอแทบไม่ต่างจากแฝดสาวฤทธิ์แรงของเขาที่ยังรอให้เขากลับไปชำระล้างความบริสุทธิ์ เธอวิ่งผ่านหน้าเข้าไปโดยไม่มองเขาด้วยซ้ำ บางทีเธออาจมองไม่เห็นเขาด้วย
“โอ้...” เธอล่วงหน้าเขาไปไม่ถึงสามก้าว ชายคนหนึ่งโผล่ตามออกมาจากห้องนั้น หมอนั่นอายุน่าจะประมาณสี่สิบ เขายังอยู่ในชุดปกติ มีเสื้อผ้าครบครัน วิ่งตามจับแขนของเจ้าหล่อนไว้
“ใจเย็นๆ น่า” เขาตะคอกด้วยภาษาไทย “ไปพูดกันดีๆ”
“ไม่!” หญิงสาวสะบัดแขนอย่างแรง แล้วอัดเขาเข้าที่ระหว่างขาแบบเต็มแรง จนทำให้เจ้าหนุ่มใหญ่หน้าหื่นนั่นจุกจนหน้าก่ำแดง ทรุดตัวลงจับเป้าตัวเองเหมือนกลัวมันจะหลุดหาย ลงนอนกลิ้งบนพื้นเหมือนจะขาดใจตาย
“ขอโทษด้วย” หญิงสาวจ้องมองเขาอย่างหวาดๆ ทั้งกลัวทั้งสะใจระคนกัน ก่อนจะวิ่งผ่านร่างนั้นไปอย่างเร็ว ตรงรี่ไปกดเปิดลิฟต์ซ้ำๆ อย่างลนลาน
“อะไรวะ” จอมทัพหันมองชายหนุ่มที่ยังคลานอยู่บนพื้น ด้วยความเจ็บปวด ก่อนหันมองหญิงสาวที่ยังรอลิฟต์ด้วยใจจดจ่อ...หนุ่มใหญ่กับสาวสวยตัวแสบ “หรือตกลงเรื่องเงินกันไม่ลงตัว”
จอมทัพยิ้มเยาะให้ชายหนุ่มที่ยังนอนกลิ้งอยู่บนพื้น เขาเดินไปยังหน้าลิฟต์ ปักหลักยืนข้างๆ หญิงสาว ได้ยินเสียงหายใจรัวเร็วของเจ้าหล่อนแล้วอดขนลุกไม่ได้ เสียงนั้นคล้ายกับหญิงสาวใต้อาณัติขณะกำลังถูกชายหนุ่มกระหน่ำความรุนแรงเข้าใส่ เธอหายใจรัวและเร็วจนหน้าอกตูมเต่งภายในเสื้อคลุมเขยื้อนขึ้นลงนำสายตา เขาอยากมองตรงๆ แต่คงทำไม่ได้ เธอไม่ได้เหนื่อยเพราะเรื่องอย่างว่า เธอเหนื่อยเพราะวิ่งหนีเจ้าหนุ่มใหญ่คนนั้นมาต่างหาก
ดวงตาคู่โตกลมสวยสีนิลเจือไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด คอยหันกลับไปมองข้างหลังบ่อยๆ คงเพราะกลัวว่าเจ้าหนุ่มใหญ่จะลุกตามมา
เธอกังวลและหวาดกลัวจนกระทั่งประตูลิฟต์เปิดออก เธอก้าวขาเข้าไปยืนข้างในทันที แล้วกดเลขชั้นที่ต้องการอย่างไม่รีรอ
“เฮ้ย!!!” ชายหนุ่มรีบกระโดดตามเข้าไปอย่างเร็ว เพราะเจ้าหล่อนรีบกดปิดแบบย้ำๆ ก่อนขยับตัวไปยืนชิดริมฝา ไม่สนใจใครทั้งนั้น ไม่มองหน้าเขา ไม่มองสิ่งรอบกาย นอกจากจ้องไปที่เลขชั้นที่กำลังเลื่อนลง จากชั้นสามสิบของโรงแรมหรูสู่ชั้นต้อนรับของโรงแรม
เธอจะไปไหนในสภาพนี้...ชุดคลุมคงไม่เหมาะกับสภาพอากาศหนาวเยือกราวสิบเก้าองศาเป็นแน่
“ครับ...” เขายกโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหูแล้วพูดสำเนียงอเมริกัน “ด่วนที่สุดครับ บินพรุ่งนี้ได้เลยยิ่งดี” เขารอเจ้าหน้าที่ปลายสายเช็คตั๋วเครื่องบินสำหรับบินกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้นอย่างใจเย็นที่สุด ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่แจ้งกลับด้วยน้ำเสียงไพเราะ บอกว่าไม่มีตั๋วเครื่องบินเหลือสำหรับเขาแล้ว แม้แต่ชั้นประหยัดที่เขาไม่เคยนั่ง...
“ไม่เหลือเลยเหรอ”
ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ หน้าหงิก งุ่นง่าน อยากจะขว้างโทรศัพท์ทิ้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหล่อนหันมองเขาด้วยความตกใจ แต่เขาไม่สนใจเธอ เลื่อนหน้าจอเร็วๆ แล้วกดเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนสนิท ก่อนจะกรอกเสียงลงไปด้วยสำเนียงหยาบกระด้างและเต็มไปด้วยคำศัพท์ต่ำกว่าสะดือ จนคนฟังแทบกลืนน้ำลายไม่ลงคอ
เธอไม่น่าโดยสารลิฟต์มาพร้อมไอ้คนหยาบคายคนนี้เลย อย่างนี้เรียกว่าหนีเสือปะจระเข้รึเปล่า
“เออสิวะ หามาเร็วๆ จะบินพรุ่งนี้” เจ้าหนุ่มไม่รู้จะบินไปไหนในวันพรุ่งนี้ “ฉันเช่าในราคาสองเท่า บอกให้เขาปฏิเสธลูกค้าคนนั้นซะ ฉันต้องการ แค่นี้จบไหม”
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจบ เขาวางโทรศัพท์ด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น แต่ยังน่ากลัวในความคิดเธอ หมอนี่เป็นคนเอเชียอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าชาติไหน สีผมของเจ้าหนุ่มดำสวยตัดแต่งเนี๊ยบ หน้าตาหล่อระเบิด แววตาเซ็กซี่ที่มีความดุร้ายเจือปน หุ่นเจ๋งอย่างกับนายแบบ สวมเสื้อยืดกางเกงยีนและคลุมทับด้วยแจ๊กเก็ตหนังสีดำ ดูเท่ไม่เบา
“มองผมเหรอ” เขาไม่ได้หันมองหญิงสาวแต่ถามเพราะเห็นเจ้าหล่อนจ้องอยู่หลายวินาทีแล้ว เขาอยากจะบอกเธอเหลือเกินว่าไม่เคยร่วมรักกับใครในลิฟต์หรอกนะ แต่หากเธอต้องการ เขายอมมีประสบการณ์แรกกับเธอก็ได้
เขาถามด้วยสำเนียงอเมริกัน แต่เธอฟังออกและเข้าใจอยู่แล้ว เธอเป็นเด็กภูเก็ตใช้ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เล็กๆ จึงไม่มีปัญหากับการสื่อสารเมื่อต้องมาเมืองนอก แต่สิ่งที่เธอรู้มากกว่าคำว่ามองผมเหรอของเขา น้ำเสียงนั้นมีแววเหยียดหยามซ่อนอยู่ทุกคำ เธอตอบเขาด้วยความเงียบ
ชายหนุ่มเหล่มองหญิงสาวที่ยืนตัวสั่นเหมือนคนหนาวจัด เขาถอดเสื้อแจ๊กเก็ตออกแล้วยื่นให้ หญิงสาวหันมองเขาด้วยความแปลกใจ สองสายตาประสานกันชั่วแวบ และเป็นเธออที่หลบสายตาร้ายดั่งเสือหิวของเขาไป เธอรับรู้ได้ถึงพลังอันตรายจากชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้
“ไม่เหรอ”
เธอไม่ตอบ แม้แต่จะขอบคุณในความหวังดียังไม่มี
“หรือพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ “เขาบ่นภาษาไทย หญิงสาวหันกลับมองเขา สายตาของเจ้าหล่อนหรี่มองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ เขายิ้มเยาะ เมื่อพูดประโยคภาษาไทยตามหลังออกมา “ไซส์ไลด์รึเปล่าวะ”
ขวัญชนกกัดฟันกรอด หัวใจเต้นรัวเร็วเพราะความโกรธ ผู้ชายพวกนี้เห็นผู้หญิงเป็นแค่เครื่องบันเทิงทางเพศเท่านั้น หากเอาเปรียบได้เมื่อไหร่ก็จะฉกฉวยทันที
“ข้างนอกหนาวนะคุณ”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ” เธอตอบห้วนสั้น สายตาบอกว่าอย่ามายุ่งกับเธออีก เขาเลิกคิ้วสูง ที่แท้ก็พูดได้ ไม่ได้เป็นใบ้สักหน่อย เขาสวมแจกเก็ตกลับเหมือนเดิม เขาไม่ควรสนใจหญิงสาวแปลกหน้าให้เสียเวลาอีกแล้ว แต่คนที่เขาควรจะสนใจ...คือผู้หญิงแพศยาคนนั้นต่างหาก!!!
“คุณแม่นะคุณแม่ คิดจะยอมให้ผู้หญิงคนนั้นหยามได้ยังไง”
หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่มที่เพิ่งพูดภาษาไทยอีกครั้ง ความจริง เธอควรจะลองขอความช่วยเหลือเขาดู อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไปจากโรงแรมนี้โดยไม่มีจุดหมาย กระเป๋าเสื้อผ้าและพาสปอร์ตของเธอยังอยู่ในห้องนั้น
“คุณเป็นคนไทยเหรอคะ?”
ชายหนุ่มแปลกใจ หันมองหญิงสาว
“ครับ คุณก็...”
ขวัญชนกแค่นยิ้ม น้ำตาคลอเบ้า “ใช่ค่ะ ฉันคนไทย คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ คือฉัน...”
“คุณทะเลาะกับแฟนเหรอ”
“เปล่าค่ะ คือฉันอยาก...ขอยืมเงินคุณสักก้อนหนึ่งเพื่อซื้อตั๋วกลับบ้าน...”
“ยืมเงิน!!”
“ใช่ค่ะ คือฉัน..” เธอพยายามจะอธิบาย แต่ประตูลิฟต์เปิดเสียก่อน ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม หันมามองหญิงสาว ด้วยสายตาดูถูก ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“ถ้าคุณยอมให้ผมอึ๊บสักทีสองที ผมจะให้เลยล่ะ เอาไหม”
ขวัญชนกข่มกลั้นความเจ็บปวด มองเขาตาขวาง “ถ้าให้คุณอึ๊บ ฉันกลับไปให้เขาอึ๊บดีกว่า” แล้วเจ้าหล่อนก็กดปิดลิฟต์ แล้วกดกลับขึ้นชั้นบน ชายหนุ่มอ้าปากค้าง มองด้วยความตกใจ
“เฮ้ย!!! เอางั้นเลยเหรอ”
“ไอ้คนลามกจกเปรต ไอ้คนทุเรศ!!!”
หญิงสาวผรุสวาทหลายคำก่อนออกจากลิฟต์ เดินกลับสู่ชั้นเดิมและห้องเดิมที่กลายเป็นสนามรบระหว่างเธอกับตากล้องหนุ่มใหญ่ที่จ้างเธอมาเป็นแบบเพื่อถ่ายภาพขึ้นปก หากยังไม่ทันได้ทำงาน เธอก็ต้องตกใจ เมื่อเขาจู่โจมเข้ามาเพื่อทวงบุญคุณที่เขาเสนอชื่อขึ้นปก ให้ร่วมหลับนอนกับเขาก่อนทำงานในวันรุ่งขึ้น
เขาหลอกเธอมาฟันชัดๆ เพราะไม่มีทีมงานเลยแม้แต่คนเดียว
ขวัญชนกตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์สามี ทว่า โทรศัพท์เครื่องนั้นดังลั่นอยู่ในบ้านนี่เอง เธอหันไปมองต้นเสียง ถึงได้เห็นว่ามันวางอยู่บนโซฟาตัวยาว“โทรศัพท์ก็ไม่ได้เอาไป” เธอเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว เมื่อนึกถึงสันดานของสามีที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เขามันประเภทเจ้าชู้ไม่เลือกกินเสียด้วย ป่านนี้อาจไปนอนกกอยู่กับสาวๆคนไหนก็ได้ “อย่าบอกนะว่าแอบไปตั้งแต่ตอนดึก”คิดแล้วก็เจ็บใจจัด รีบกลับเข้าห้องไปเปลี่ยนชุด เตรียมตัวออกข้างนอก“คอยดูนะ ถ้าจับได้ว่าคุณนอกใจฉัน ฉันจะเลิกกับคุณทันทีเลย”หญิงสาวไม่รอรีให้เสียเวลา เธอออกจากบ้านหลังสวย แล้วมุ่งสู่อพาร์ตเม้นต์ของชายหนุ่ม ที่ๆเขาเช่าทิ้งไว้สำหรับอยู่อาศัยขณะเรียนหนังสือ ตั้งแต่กลับมาบอสตันเมื่อต้นสัปดาห์ก่อน จนถึงตอนนี้ เธอยังไม่ได้ไปเหยียบที่นั่นเลยสักครั้ง เขาอ้างว่ายังไม่ได้จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาด กลัวเธอจะสูดฝุ่นเข้าปอด เดี๋ยวกระทบถึงลูก“จอมทัพ!!!” เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “คุณไม่ได้ตายดีแน่!!!”ขวัญชนกโบกรถแท็กซี่อย่างร้อนรน เมื่อเข้าไปนั่งที่เบาะหลังแล้ว เธอบอกจุดหมายปลายทางให้โชว์เฟอร์รับทราบอย่างละเอียดยิบ จากนั้นรถก็วิ่งฉิวทิ้งห่างบ้านพักห
บอสตัน...ในวันที่สายฝนเย็นฉ่ำโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย“ทะเลที่นี่ เวลาฝนตกก็สวยไปอีกแบบนะ”“แต่คุณสวยกว่าอีก”“อย่ามาปากหวานหน่อยเลย”“ก็มันเรื่องจริงนี่” ทั้งคู่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานใหญ่ในบ้านพักตากอากาศหลังสวยริมทะเล โดยชายหนุ่มสวมกอดหญิงสาวจากด้านหลัง ขณะท้องสาวนูนขึ้นเล็กน้อย “เมียของผม ทั้งสวย ทั้งน่ารัก แถมยังเซ็กซี่ไปทั้งตัว นี่ขนาดท้องอยู่นะ สาวๆที่นี่สู้คุณไม่ได้สักคน”“สู้ไม่ได้ หมายความว่าไงคะ” เจ้าหล่อนปลดมือของชายหนุ่มออก แล้วเหลียวหน้ากลับมามอง ด้วยตาดุเข้ม “หรือว่า แอบกลับไปทบทวนความหลังกับสาวๆของคุณมา”“อย่าหาเรื่องน่า ตั้งแต่มานี่ต้นสัปดาห์ที่แล้วจนถึงวันนี้ ผมก็อยู่กับคุณตลอด ระแวงไม่เข้าเรื่อง”“ไม่เข้าเรื่องยังไง คนอย่างคุณก็รู้ๆกันอยู่” เจ้าหล่อนทำปั้นปึ่ง เดินผละมาที่โต๊ะอาหาร ซึ่งมีชุดชงชาและกาแฟวางอยู่ เธอรินชาใส่ถ้วย ควันพวยพุ่ง หอมฟุ้งไปทั้งบ้านจอมทัพเดินตามมากอดแล้วจูบภรรยาอย่างโหยหาและเอาใจ“อย่าหงุดหงิดเลยนะ เดี๋ยวส่งผลไปถึงลูก มันไม่ดี”“ไม่รู้สิคะ สงสัยจะเป็นเพราะโฮโมน”“ผมอยากให้ลูกชายของผมเป็นเด็กอารมณ์ดีนะ”“รู้ได้ไงว่าลูกชาย”“คนที่สองต้องลูกชายอยู่แล้
‘ไม่จริง’“เรื่องนี้คุณแม่กุลธิดาของผมทราบเรื่องดีครับ เพราะท่านอยู่ในเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์”จอมทัพหันมามองเธอด้วยสายตาผิดหวัง เธอตั้งสติแล้วลงจากเวทีมาหาเขา โผเข้ากอดเขาแล้วสะอื้นฮึกฮัก นักข่าวพากันกระหน่ำถ่ายรูปไม่หยุด“จอมยังไม่ตาย แม่ดีใจเหลือเกิน จอมหายไปไหนมาลูก ทำไมมาเอาป่านนี้”ชายหนุ่มผละจากอ้อมกอดของมารดาเลี้ยง ด้วยท่วงท่าเย็นชา ไร้เยื่อใย“ขอบคุณที่คุณแม่เลี้ยงดูผมมานะครับ”กุลธิดารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เธอเองที่เป็นคนทำลายความรักความเชื่อใจของผู้ชายคนนี้จนหมดสิ้น“จอม...”“ผมรักคุณแม่นะครับ ถึงแม้คุณแม่จะไม่เคยรักผมเลยก็ตาม”“จอม...ไม่จริงลูก”“พอเถอะครับคุณแม่ พอซะทีเถอะ!!!”กุลธิดาอึ้งจนพูดไม่ออก“คิดว่าแม่ไม่เสียใจเหรอที่เห็นลูกตาย...”ชายหนุ่มหัวเราะทั้งน้ำตา หันมองหน้ามารดาเลี้ยงด้วยหัวใจที่แตกสลาย “ผมรู้หมดแล้วครับ ว่าแม่ทำอะไรลงไปบ้าง และตอนนี้หลักฐานทุกอย่างก็อยู่ที่ตำรวจหมดแล้วด้วย ทุกคดี รวมทั้งคดีบงการฆ่าผมด้วย!”ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันตกใจกับข่าวนี้ ก่อนจะจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันมันปาก ขณะกุลธิดาปากคอสั่น ร้องบอกทุกคนว่าสิ่งที่จอมทัพพูดนั้นไม่ใช่เรื่องจ
“ไม่ได้”เขาแสร้งทำเป็นหูเพี้ยน ก้มเข้าหาเธอแล้วประกบริมฝีปากบนเนื้อปากอิ่มแสนรั้นจนแนบแน่น“อือ...”ริมฝีปากร้ายจูบอย่างอ่อนโยนเพียงชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะถอนออกมาอย่างแสนเสียดาย“อ่า...มีความสุขจัง...งานนี้ถึงโดนตบก็ยอม”“คุณจอม!” เธอหน้าแดงก่ำเพราะความเขิน รีบหันมองรอบกาย เพราะกลัวพ่อแม่จะเห็นเข้า “คุณทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย”“ผมรักคุณนะ”เขาบอกรักเธอตลอดเวลาจนเธอเริ่มหมดความตื่นเต้นไปแล้ว...อย่างนั้นหรือ...ไม่เลย...ไม่ว่าเขาจะบอกรักเธอสักกี่ครั้ง เธอก็ยังตื่นเต้นได้ทุกครั้งสิน่า“พูดอยู่ได้ น่าเบื่อ”“ผมจะรีบกลับมานะ”“ดูแลตัวเองด้วย”“ว่าไงนะ” เขาได้ยินแล้ว แต่อยากได้ยินอีก เพราะมันทำให้เขามีความสุขแทบบ้า “คุณว่าไงนะขวัญ”เธอไม่อยากพูดอีก มันเสียศักดิ์ศรี แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว“อย่าไปทำอะไรบุ่มบ่ามล่ะ คิดจะทำอะไรก็ต้องรอบคอบ มีสติ ห้ามประมาทเด็ดขาด”เขาคว้ามือเธอไปจับแน่น “คุณเป็นห่วงผมเหรอ”“ก็...คุณจะไปหาเงินมาสร้างโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ ฉันก็แค่ห่วงผลประโยชน์ของคนที่เกาะ” เธอรู้จากหมอทินกรมาสักพักแล้ว เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลขนาดเล็กบนเกาะพันดาว ที่เขาเป็นเจ้าของเงินทุนแล
“ผมจะกลับไปกรุงเทพฯสักพักนะ”เขามาบอกเธอที่บ้านในตอนบ่ายของวันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังถักเสื้อไหมพรมตัวที่หกให้ลูกของเธออยู่ที่หลังบ้าน“ก็ไปสิ ไม่จำเป็นต้องมาบอกฉันหรอก”เธอไม่หันมามองเขาด้วยซ้ำตอนที่พูดออกมา น้ำเสียงของเธอแข็งกระด้าง ไม่น่าฟังสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่ถือสาหาความหรอก เขารู้ว่าเธอยังโกรธและไม่ให้อภัยเขา แม้เวลาเกือบเดือนที่ผ่านมา เขาจะพยายามเอาอกเอาใจเธอมากแค่ไหน แต่เธอก็ทำเป็นมองไม่เห็น“ผมจะไปสะสางปัญหาที่บริษัท แล้วก็จะไปให้ปากคำเพิ่มเติมเรื่องคดีของคุณด้วย อีกไม่นานคนร้ายตัวจริงจะได้รับผลกรรมที่ทำไว้กับคุณแล้วนะ คุณสบายใจได้”“ทุกวันนี้ฉันก็สบายใจดี การที่ไม่ต้องไปสู้รบปรบมือกับใคร ไม่ต้องไปแก่งแย่งแข็งขันกับใคร มันทำให้ฉันค้นพบความสุขที่แท้จริง”“ผมดีใจนะที่คุณมีความสุข” เขาเดินมานั่งลงข้างๆกับเธอ มองเธอด้วยสายตาล้นเอ่อไปด้วยรัก เวลานี้ท้องของเธอเห็นชัดมากแล้ว จนเธอต้องสวมชุดคลุมท้องเพื่อให้คล่องตัวขึ้น“ทำไมเสื้อผ้าของลูกมีแต่สีหวานๆ”“ก็ลูกฉันเป็นผู้หญิงนี่นา”“จริงเหรอ!” เขาได้ยินก็ตื่นเต้นแทบคลั่ง เกือบจะคว้าเธอมากอดให้ชื่นใจแล้ว หากไม่โดนสายตาพิฆาตเสียก่อน“นี่ผมก
“หมอ...หมอ...” หมอชราพูดออกมาแทบไม่ออก “หมอฝันจะเห็นสิ่งนี้มาตลอด แต่หมอไม่มีปัญญาจะทำ”“ไม่จริงครับ หมอมีปัญญาจะทำ แต่หมอรอผมอยู่ และตอนนี้ผมก็มาแล้วไง...นี่แหละคือโชคชะตาของผม”“ขอบคุณนะ ที่เห็นคุณค่าของคนที่นี่”“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณทุกคนที่นี่...ความจริงผมเกิดความคิดนี้ขึ้นมา ก็เพราะว่าอีกไม่นานนี้ ลูกของผมจะคลอดที่นี่ ผมเลยอยากทำอะไรเพื่อคนที่ผมรักด้วย”“ไม่ต้องห่วงนะ หมอจะทำคลอดลูกของคุณให้ดีที่สุด และเด็กคนนี้จะภูมิใจที่ได้มีพ่ออย่างคุณ”“ผมก็หวังเช่นนั้นครับ...”หวังว่าเขาจะได้ทำอะไรเพื่อลูกน้อยของเขาที่กำลังจะคลอดในอีกสี่เดือนข้างหน้า แม้ไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่พ่อที่รักเขาอย่างสุดหัวใจ แต่การได้รู้ว่าเขายังปลอดภัยและแข็งแรงดี นั่นก็คงจะเพียงพอให้หัวใจของเขาได้มีแรงเดินต่อ“ตกลงหนูท้องกับใคร”กุลธิดาเค้นถามหญิงสาวอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ หลังจากที่เจ้าหล่อนพูดบางสิ่งที่ทำให้เธอปวดหัวไม่หาย“ไม่รู้สิคะ หนูจำไม่ได้”“จำไม่ได้เลยเหรอว่านอนกับใครบ้าง”สิริวิไลทำหน้าขัดใจ “จะจำไว้ทำไมคะ ก็แค่สนุกๆ ไม่ได้จริงจังสักหน่อย จะซีเรียสทำไมคะ เพราะถึงยังไง ลูกของหนูก็ต้องเป็นลูกของคุณจอมทัพ