เธอไม่รออะไรอีกแล้ว แม่เฒ่าเว่ยมั่นใจเต็มสิบส่วนแล้วว่าตนเองกับหลี่เล่อเยียนจะต้องมีบุญวาสนาต่อกันแน่นอน แถมหล่อนยังเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตแม่เฒ่าคนนี้เอาไว้อีกด้วย
ที่สำคัญเลยคือ ลูกชายคนที่สามของเธออายุจะย่างเข้า 20 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะแต่งงานหรือหมายปองสาวใดเลย เรื่องนี้ทำให้ตัวแม่เฒ่าเองทุกข์ใจอยู่ไม่น้อย พี่ชายทั้งสองแต่งงานมีภรรยาจนมีหลานๆ ให้เธอได้ชื่นใจแล้ว ปีหน้าลูกคนเล็กเธอก็จะอายุพอที่จะออกเรือนได้ ยิ่งคิดยิ่งปวดใจ เธอไม่รู้ว่าผิดพลาดตรงไหนกัน
" ขอบคุณแม่เฒ่าเว่ยมากนะคะ แต่พวกหนูรู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมากเลยค่ะ ไม่ต้องเลี้ยงขอบคุณอะไรพวกหนูหรอกค่ะ เอาไว้แม่เฒ่าหายดีแล้วเราค่อยว่ากันในภายหลังเถอะนะคะ ตอนนี้แม่เฒ่าควรกลับบ้านไปพักก่อน" หลี่เล่อเยียนเอ่ยออกมาด้วยคำสุภาพ เธอไม่คิดว่าการช่วยคนจากการเป็นลมแดด จะเป็นพระคุณยิ่งใหญ่อะไรมากมาย ถึงขั้นจะต้องมาเลี้ยงขอบคุณด้วยซ้ำ
" ไม่เป็นไรจ้า ถ้าหนูหลี่ไม่สะดวก เอาไว้คราวหน้าก็ได้ สิ้นเดือนนี้ลูกชายป้าจะมาเยี่ยมพอดี ค่อยมาทำความรู้จักกับพี่เขาก็ได้
อีกอย่างอย่าเรียกแม่เฒ่าเว่ยเลย เรียกว่าป้าเว่ยแล้วกันถือว่าเราเป็นคนรู้จักกันแล้ว ฟังดูจะได้ไม่ห่างเหินกันมาก"
แม่เฒ่าเว่ยรีบบอกออกไป เธอคิดไว้แล้วล่ะว่ายังไงซะ หลี่เล่อเยียนคงจะต้องปฏิเสธ แต่ถ้าหากเธอชวนอีกครั้งก็คงยากจะปฏิเสธเป็นแน่ เป็นเด็กเป็นเล็กผู้ใหญ่ชวนยังไงก็จะปฏิเสธบ่อย ๆ ไม่ได้มันดูไม่ดีเท่าไหร่
" ก็ได้ค่ะคุณป้าเว่ย ถ้าอย่างนั้นก็เรียกหนูว่าเล่อเยียนแล้วกันนะคะ คุณป้าพวกหนูขอตัวก่อนค่ะ "
ถึงแม่ว่าหลี่เล่อเยียนจะงงอยู่บ้าง ว่าเหตุใดแม่เฒ่าเว่ยถึงอยากจะให้ไปเจอลูกชายของหล่อน แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ซักไซร้เอาความ ด้วยว่าเธอต้องการไปอาบน้ำพักผ่อนจะแย่ แดดที่นี่แรงเอาเรื่องมาก โชคดีที่เธอใช้ผ้าปกปิดใบหน้าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นใบหน้าอันงดงามนี้คงมีฝ้า กระ ขึ้นมาโดยไม่ได้รับเชิญเป็นแน่
เมื่อมาถึงยังหน้าบ้านพัก เหอหมี่เมี่ยนก็เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
" ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะมีแรงแบกป้าเว่ยได้ เธอนี่น่าทึ่งมาก ๆ ไปเลยนะเล่อเยียน" เหอหมี่เมี่ยนกล่าวชมหญิงสาวจากใจจริง เพราะถ้าเป็นเธอป่านนี้คงพาป้าเว่ยมุดโคลนไปเรียบร้อยแล้ว
" ฉันตกใจน่ะ ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันคิดอย่างเดียวว่าจะต้องหาที่ร่มๆ เพื่อนั่งพักก่อน "
หลี่เล่อเยียนตอบไปตามตรง เพราะถ้าหากให้เธอแบกป้าเว่ยตอนนี้ เห็นทีเธอก็จะคงก้าวขาไม่ออกเช่นกัน
" เข้าบ้านกันเถอะเหนื่อยจะแย่ ดีหน่อยที่พรุ่งนี้มีวันหยุดบ้าง ฉันว่าจะชวนเธอเข้าเมืองไปเดินดูอะไรหน่อย "
หม่ายวี่ไท่ที่ไม่ได้มีบทพูดกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แต่เธอก็ยืนดูด้วยตลอด หม่ายวี่ไท่รู้สึกถึงความเปลี่ยนไปของหลี่เล่อเยียนอย่างบอกไม่ถูก แต่เธอก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าหล่อนเปลี่ยนไปเช่นไร
อาจจะเป็นเพราะหลี่เล่อเยียนเมื่อ 10 วันก่อน ใครจะเป็นจะตายก็คงจะไม่เกี่ยวกับเธอ ไหนจะการปฏิเสธเลขาธิการเตียว แล้วไปทำงานในทุ่งนากับพวกเธอนั่นอีก ไม่ใช่แน่ ๆ ต้องมีอะไรผิดพลาดกับสมองยัยนั่นแน่ ๆ หรือหล่อนยังไม่ฟื้นจากอาการป่วย สติจึงยังกลับมาไม่ครบถ้วน
" เข้าในเมืองหรือ ฉันขอไปด้วยได้หรือไม่ พอดีฉันอยากจะไปเดินเล่นแก้เบื่อบ้างนะ อยู่แต่ในค่ายนี้มันน่าเบื่อเกินไป " หลี่เล่อเยียนรีบพูดออกไปทันทีด้วยความตื่นเต้น
ใครบอกว่าเธอจะไปเดินกันเล่นล่ะ เธอจะไปหาลู่ทางรวยต่างหาก จะให้เธออยู่แต่ในหมู่บ้าน ทนทำงานแลกแต้มจนครบกำหนดเห็นทีคงจะไม่ไหว เธอต้องหาทุนสำหรับตั้งตัวในปีหน้า ที่จะหมดสัญญาสิ เพราะถ้าจำไม่มีผิด ปีต่อไปก็น่าจะยกเลิกระบบปัญญาชนนี้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะสบายกันหรอกนะประชาชนยังคงโดนปิดหูปิดตา ตัดแขน ตัดขา อ้าปากรอทางการป้อนอาหาร ดังเช่นลูกนกอีกต่อไปอีกหลายสิบปีเลยล่ะ
คิดมาถึงตรงนี้ หลี่เล่อเยียนรู้สึกเสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนประวัติศาสตร์ชาติตัวเอง เธอจึงจำเหตุการณ์หลายๆ อย่างไม่ได้ ถ้าหากเธอรู้คงจะดีต่อการใช้ชีวิตไม่น้อยเลยล่ะ
" ไปด้วยกันหมดนี่แหละสนุกดี เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราออกกันแต่เช้าหน่อยแดดจะได้ไม่แรง เพราะระยะทางจากหมู่บ้านไปในเมืองไกลพอสมควร " เหอหมี่เมี่ยนเอ่ยตอบเล่อเยียนและหม่ายวี่ไท่ออกไป
" ไกลมากเลยหรือ " หลี่เล่อเยียนชักไม่แน่ใจระยะทางแล้วซิ
" ก็ไม่มากเท่าไหร่ เดินไปประมาณ 5 หมู่บ้านก็ถึงแล้วล่ะ" เหอหมี่เมี่ยนไม่อยากบอกระยะทางจริง ๆ ออกไป ด้วยกลัวว่าหลี่เล่อเยียนจะเปลี่ยนใจไม่ไปด้วยกัน เธออยากให้เล่อเยียนออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ตั้งแต่มานี่หลี่เล่อเยียนเก็บตัวเงียบไม่สุงสิงกับใคร ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่เธอจะทำให้เล่อเยียนเปิดใจเป็นเพื่อนกับเธอให้ได้
" อืม....ได้ตกลง " หลี่เล่อเยียนรับปากเหอหมี่เมี่ยน จากนั้นก็เข้าห้อง เพื่อที่จะไปเอาของใช้มาชำระล้างร่างกายก่อนแล้วค่อยนอนพัก ตอนนี้เธอไม่รู้สึกหิวอะไรทั้งนั้น
อาบน้ำเสร็จ หลี่เล่อเยียนก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย เธอล้มตัวลงนอนตั้งแต่ช่วงประมาณบ่ายสามโมงเย็นจนเช้าของอีกวัน
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก