" นี่แม่หนูมาทางนี้กับป้าเถอะจ้ะ " แม่เฒ่าเว่ยกวักมือเรียกกลุ่มของหลี่เล่อเยียนด้วยที่นางนั้นยืนฟังอยู่นานตั้งแต่ต้น
" แม่คะ จะไปยุ่งกับหล่อนทำไมกัน ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าหล่อนหยิ่งขนาดไหน อย่าไปสนใจหล่อนเลยค่ะ " สะใภ้รองบ้านเว่ยเอ่ยทันควันที่แม่สามีเรียกแม่หญิงงามตกสวรรค์ให้ไปทำงานด้วย
" เงียบปากไปเถอะหล่อนน่ะ ฉันไม่เห็นว่าแม่หนูหลี่จะหยิ่งตรงไหน " แม่เฒ่าเว่ยตกหลุมพรางความงามของหลี่เล่อเยียนเข้าให้แล้วล่ะ ตอนหล่อนมาใหม่ๆ ก็ว่าสวยเพียงแต่ไม่ได้มองชัดๆ ให้เต็มตาสักเท่าไหร่
มาวันนี้เธอรู้เห็นอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า คำว่างามล่มเมืองตั้งแต่ครั้งสมัยโบราณได้กล่าวไว้เป็นเช่นไร
" ขอบคุณค่ะคุณป้า " เป็นเหอหมี่เมี่ยนที่กล่าวขอบคุณแม่เฒ่าเว่ย ด้วยเคยเห็นแม่เฒ่าผู้นี้ผ่านตามาบ้าง ยามที่ลงพื้นที่ทำงาน
แม่เฒ่าเว่ยหรือจิวฉางหลิง เป็นที่รู้จักของคนทั้งหมู่บ้านด้วยว่าเป็นคนจิตใจดีซื่อตรง จึงเป็นที่นับถือของใครหลายๆ คน
ตระกูลเว่ยนั้นมีบุตรด้วยกันทั้งหมด 4 คน บุตรชาย 3 คนและบุตรสาว 1 คนที่แม่เฒ่าคอยเฝ้าฟูมฟักทะนุถนอมราวกับไข่ในหิน งานในทุ่งนานางไม่เคยให้ลูกสาวคนเล็กทำด้วยกลัวว่าจะไม่มีใครอยากจะแต่งงานด้วย
คนสมัยก่อนก็แบบนี้ลูกสาวเหมือนโคลนที่อยากจะสาดออกไปไกล ๆ แต่ก็ใช่ว่าหล่อนอยากจะให้ลูกสาวนั้นไปตกระกำลำบาก แม่เฒ่าจึงเฝ้าถนอมเลี้ยงดู ไม่ให้โดนแดด อยู่เฝ้าเรือนทำงานบ้านเย็บปักไป ส่วนงานหนักลำบากในทุ่งนานั้น มีลูกชายคนโตเว่ยหานหลง และลูกชายคนรองเว่ยเฉิงฉือพร้อมด้วยภรรยาของเหล่าลูกชายก็เพียงพอแล้ว
ลูกชายคนโตของแม่เฒ่าเว่ย เว่ยหานหลง อายุ 25 ปีแต่งงานกับซูฉิงเปา เธอมีอายุได้ 24 ปี มีบุตรด้วยกันทั้งหมด 2 คน
คนโตเป็นเด็กชายอายุ 8 ขวบ ชื่อเว่ยเฉวียนสุ่น
คนที่สองเป็นเด็กหญิงอายุ 6 ขวบ ชื่อเว่ยเป่าเป้ย
ลูกชายคนรองชื่อ เว่ยเฉิงฉือ อายุ 23 ปีแต่งงานกับติงฮวาเจีย เธออายุได้ 23 ปี เท่ากันกับสามี ทั้งสองมีบุตรสาวเพียงคนเดียวชื่อ เว่ยอ้ายเหม่ยอายุ 6 ขวบ
ลูกชายคนที่สามชื่อ เว่ยอี้หยางอายุ 20 ปี ปัจจุบันยังไม่แต่งงานเป็นลุกชายเพียงคนเดียวที่ออกไปทำงานโรงงาน
ลูกสาวคนที่สี่หรือคนสุดท้องชื่อ เว่ยฟางเฟิน อายุ 17 ปี
หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มทำงานที่ทุ่งนา งานหลักๆ คือกำจัดวัชพืช ถอนหญ้าออกจากนาข้าวซึ่งใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็เสร็จ
ทันใดนั้นไม่รู้เพราะความบังเอิญหรือตั้งใจ ร้อยวันพันปีแม่เฒ่าเว่ยผู้แข็งแกร่งดั่งหินผา เลี้ยงลูกเพียงลำพังเนื่องจากสามีตายไปก่อนวัยอันควร จู่ ๆ ก็เกิดเป็นลมแดด เดือดร้อนถึงหลี่เล่อเยียน เนื่องจากพวกเธอกำลังขึ้นจากทุ่งนาเพื่อที่จะกลับบ้านพักพอดี
" ว้าย แม่เฒ่าเว่ยเป็นอะไรหรือเปล่าคะ " หลี่เล่อเยียนตกใจมากที่ จู่ ๆ แม่เฒ่าผู้นี้ก็เป็นลมล้มพับไปต่อหน้า โชคดีที่เธอความรู้สึกไวคว้าตัวแม่เฒ่าไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นเห็นทีต้องได้หัวมุดโคลนเป็นแน่
หลังจากที่หายตกใจแล้ว หลี่เล่อเยียนไม่รู้ว่าตัวเองไปเอากำลังมาจากไหนทั้ง ๆ ที่ตัวเธอเองก็ผอมแห้งแรงน้อยขนาดนั้น แถมยังเพิ่งจะหายป่วยอีกด้วย เล่อเยียนไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรมากมาย ย่อตัวนำแม่เฒ่าเว่ยขี่หลังแบกนางมายังร่มไม้ใกล้ๆ ก่อนจะถอดผ้าคลุมหน้า หมวก แล้วทำการปลดกระดุมเสื้อ เพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น
ฝ่ายลูกสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองวิ่งตามหลังมาติดๆ ทั้งสองคนมาถึง สะใภ้ใหญ่ร้องไห้โหวกเหวกโวยวาย ราวกับว่าเเม่เฒ่าเว่ยได้จากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่ปาน ส่วนสะใภ้รองพอมีสติอยู่บ้างรีบใช้หมวกพัดให้เกิดลมเพื่อระบายความร้อนให้แม่สามี
" ฮืออ คุณแม่ อย่าเป็นอะไรไปนะคะ ฮืออ จะทำอย่างไรดีคะ " สะใภ้ใหญ่นั้นเหมือนเธออยู่ในโลกความโศกเศร้าของตัวเองไปแล้ว ไม่ได้สังเกตเหตุการณ์อะไรเลยว่าแท้จริงแล้วมันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เธอคิด
ทางด้านเหอหมี่เมี่ยน ที่เธอพอจะมียาหอมพกติดตัวมาบ้าง จึงยื่นให้หลี่เล่อเยียนใช้เพื่อให้แม่เฒ่าสูดดม เพราะไม่อยากจะมุงดูมากจนเกินไป เพียงแค่เสียงของลูกสะใภ้ใหญ่ของนางนั้นก็น่าปวดหัวมากอยู่แล้ว ไม่คิดว่าหล่อนจะเสียใจมากมายเพียงนี้ ถ้าหากแม่เฒ่าไม่อยู่หล่อนจะไม่กัดลิ้นตายตามแม่เฒ่าไปอีกคนหรือ
" อือ.. ฉันยังไม่ตาย หล่อนอย่าโวยวายให้มันมากความ" แม่เฒ่าเว่ยที่พอได้ดมยาหอมก็เริ่มหายใจสะดวกขึ้น ประกอบกับที่ หลี่เล่อเยียนทำการปลดกระดุมทำให้หล่อน ทำให้ไม่อึดอัดเหมือนในตอนแรก
" เป็นอย่างไรบ้างคะแม่เฒ่าเว่ย ดีขึ้นหรือไม่คะ " หลี่เล่อเยียนถามออกไปพร้อม ๆ กับมือที่ถือยาหอมแล้วส่ายไปส่ายมาตรงจมูกของแม่เฒ่าไปด้วย
" อืม ...รู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นแล้วล่ะ ขอบใจหนูหลี่มากนะที่ช่วยฉันในวันนี้" นางเว่ยรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก จากที่ปลื้มหลี่เล่อเยียนอยู่แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มทวีความเอ็นดูมากขึ้นไปอีก
คนเราจะเห็นใจกันก็ในยามที่ตกทุกข์ได้ยาก ยามลำบากจะมีสักกี่คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วย เมื่อนั่งพักจนรู้สึกว่าร่างกายเกือบหายเป็นปกติ พร้อมทั้งได้ดื่มน้ำเข้าไปแล้ว ทำให้เเม่เฒ่าเว่ยกลับมาสดชื่นกว่าเดิม
" หนูหลี่จ๊ะ เสร็จจากตรงนี้แล้วเธอมีธุระจะไปทำอะไรหรือเปล่าจ๊ะ พอดีป้าจะชวนพวกหนูมาทานอาหารเย็นที่บ้านป้าเพื่อเลี้ยงขอบคุณพวกหนูน่ะจ้ะ " แม่เฒ่าเว่ยไม่รีรอรีบบอกความต้องการของตัวเองไป
“เพียงแค่นี้ก็ดีมากแล้วละจ้ะ พี่จะลองไปทำดูนะ ขอบคุณเธอมาจริง ๆ ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้เลยนะ” สะใภ้ใหญ่หยิบสบู่ในตะกร้ากำลังจะกลับเข้าบ้านแต่เล่อเยียนเรียกเธอไว้อีกครั้ง“เดี๋ยวก่อนค่ะ นี่เป็นค่าแรงสำหรับ 4 วันที่ผ่านมาค่ะ รับไว้ไม่ต้องเกรงใจฉันเพราะถ้าพี่ไม่รับมันไว้ รอบหน้าฉันคงไม่กล้าเรียกพี่ให้มาช่วยแล้วละค่ะ” เธอไม่อยากให้คิดว่าเป็นหนี้บุญคุณหรืออะไร เพียงแต่ทุกคนทำงานต้องได้ค่าแรงสิถึงจะถูก ของฟรีไม่มีในโลกแม้แต่น้ำใจยังต้องตอบแทนด้วยน้ำใจ"ขอบคุณแม่หนิงหลงมาจริง ๆ นะ" สะใภ้ใหญ่เธอจำไม่ได้แล้ว่าขอบคุณน้องสะใภ้ไปกี่รอบแล้วสำหรับวันนี้ เธอรับเงิน 40 หยวนมาด้วยมือที่สั่นเทา นี่คือเงินก้อนใหญ่ที่สุดจากการทำงานของเธอเลยก็ว่าได้ ถ้าเทียบกับเงินเดือนของสามีก็เกือบจะ 4 เท่าของเงินเดือนสามีด้วยซ้ำ สามีเธอทำงานทั้งเดือนได้เงิน 12 หยวน แต่เธอทำงานเพียง 4 วันได้เงินถึง 40 หยวน นี่สินะความภูมิใจในตัวเองที่เล่อเยียนบอก ความรู้สึกมันเป็นอย่างนี้นี่เองกับการเห็นคุณค่าของตัวเอง พรุ่งนี้เธอจะไปซื้อเนื้อมาทำซุปให้ลูกๆ กิน รวมถึงลูกอมกระต่าย แล้วก็ยังมีนม
วันนี้เป็นวันที่แม่สามีลงมือเก็บว่านหางจระเข้ให้กับลูกสะใภ้ เธอลงมือเก็บตั้งแต่เช้ามืด เพื่อให้ทันกับการทำสบู่ เพราะกลัวว่าจะช้าเกินไป หลี่หานที่มาถึงก็รับหน้าที่ในการทำอาหาร อย่าดูถูกว่าเขาเป็นผู้ชายแล้วทำมันไม่ได้ดี เพราะเป็นหน้าที่ของผู้หญิงหรืออย่างใด เพราะเขาทำมันออกมาได้ดีมากเลยทีเดียว แม้แต่แม่เฒ่าหยางยังอดชมฝีมือการทำอาหารของเขาไม่ได้ ซ้ำยังเป็นตัวเชื่อมระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้อีกด้วย เพราะเขาคุยเก่งเลยทำให้วงสนทนาดูไม่เงียบเหงาเมื่อมีเขาอยู่ส่วนหลี่เยียนหลังจากที่จัดการลูกชายเสร็จแล้ว ก็เตรียมของสำหรับทำสบู่ ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่ก็มาช่วยงานแต่เช้าเหมือนกัน เป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่วันนี้เป็นวันหยุดของสามีเธอพอดี เธอจึงฝากลูกไว้กับสามีให้เขาดูแลต่อจากเธอ จะเอามาส่งแค่ตอนที่เขาหิวนมเท่านั้น ส่วนหลี่หานนั้นลงไปช่วยแม่เฒ่าหยางขนว่านหางจระเข้มาให้กับพี่สาวที่ลานหน้าบ้านหลี่เล่อเยียนทำตรงลานหน้าบ้าน ไม่ต้องกลัวใครจะเดินผ่านมาเห็น เพราะกำแพงและประตูรั้วบ้านเธอนั้นกั้นได้มิดชิดอยู่แล้วจึงไม่ได้กลัวว่าความลับจะรั่วไหล อีกอย่างตั้งแต่ที่แม่สามีเธอมาอยู่ด้วย น้าสะใภ้ก็ไม่
“สวัสดีครับพี่ จริง ๆ แล้วพี่ไม่ต้องมารับผมก็ได้นะครับผมไปเองได้” เล่อเยียนได้ยินดังนั้นก็หมุนจักรยานแล้วเตรียมตัวจะกลับบ้าน“พี่จะไปไหนครับ ผมปั่นให้ดีกว่า” หลี่หานรีบคว้าท้ายจักรยานไว้เพราะพี่สาวเขาทำท่าจะปั่นจักรยานไปซะแล้ว“ก็นายบอกเองไม่ใช่หรือว่าเดินกลับเองได้ ถ้าอย่างนั้นนายก็เดินกลับเองก็แล้วกัน” หลี่เล่อเยียนหมั่นไส้น้องชายที่ทำเป็นเล่นตัว จริง ๆ แล้วเขาก็ดีใจที่เธอจะมารับนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่มารอเธอที่หน้าโรงเรียนแบบนี้หรอก“เดี๋ยวๆ ครับพี่ ไหน ๆ พี่ก็มาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็กลับด้วยกันนี่แหละครับ ผมเป็นคนปั่นให้พี่ซ้อนท้ายเองจะดีกว่า นี่พี่ซื้ออะไรมาเยอะแยะเนี่ย แตงโมอะไรกันทำไมมันถึงลูกใหญ่ขนาดนี้ละครับ” หลี่หานเคยกินแตงโมแต่เพียงไม่เคยเห็นแตงโมลูกใหญ่เท่านี้มาก่อน“กลับบ้านเถอะ” เล่อเยียนขี้เกียจต่อปากต่อคำกับน้องชาย เขาคิดถึงลูกชายจะแย่อยู่แล้ว ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะร้องไห้งอแงหิวนมแล้วหรือยังสองพี่น้องเมื่อปั่นจักรยานมาถึงบ้านก็เจอเข้ากับแม่เฒ่าหยางและลูกชายกำลังออกมาเดินเล่น
ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม เข้าช่วงฤดูร้อนอากาศในช่วงนี้ประมาณ 25-27 องศา เพราะยุคนี้ยังไม่ถือว่ามีมลพิษมากนัก ไม่มีปัญหาภาวะเรือนกระจกหรือแม้กระทั่งปัญหาของฝุ่น ทำให้อากาศที่บอกว่าร้อนก็ไม่ได้ร้อนมากมายเท่าไหร่นัก“แม่คะ ฉันขอฝากหนิงหลงด้วยนะคะ พอดีฉันจะออกไปซื้อของข้างนอกน่ะค่ะ” หลี่เล่อเยียนฝากลูกชายไว้กับแม่สามี จริง ๆ แล้วเธอจะออกไปถามเรื่องสบู่ต่างหากว่าตอนนี้เสี่ยวฮวาขายมันไปหมดแล้วหรือยัง เธอต้องการหารายได้เพิ่มหลังจากที่ขาดรายได้ไปในช่วงที่คลอดลูกใหม่ๆ“ได้สิ แล้วแม่หนิงหลงจะไปไหนหรือ” แม่เฒ่าหยางรู้สึกปวดใจทุกครั้งที่ลูกสะใภ้ออกไปนอกบ้าน เพราะเธอมักจะขนข้าวของมาเต็มไม้เต็มมือ เธอรู้สึกสงสารลูกชายจับใจ ที่มีเมียใช้เงินมือเติบเพียงนี้ แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่เธอซื้อมากลับพูดไม่ออก เพราะสิ่งที่เธอซื้อมานั้นล้วนมีแต่ของมีประโยชน์ไว้ใช้สำหรับบำรุงลูกชายของเธอทั้งนั้น แต่เดือนนี้ลูกชายของเธอเขาออกไปปฏิบัติภารกิจนอกพื้นที่ได้ 2 วันแล้ว“ฉันจะไปซื้อผ้าหน่อยนะค่ะ ชุดที่หนิงหลงใส่ฉันรู้สึกว่ามันจะคับเกินไป แล้วก็จะแวะรับน้องชายที่โรงเรียนด้
“ตกลงครับผมจะจัดการทุกอย่างตามที่คุณบอก” หยางหมิงเฉิงเดินไปปิดไฟแล้วมานอนข้างๆ ภรรยา“คุณจะมาเบียดฉันทำไมคะ” หลังจากที่หยางหมิงเฉิงปิดไฟเขากลับมานอนข้างๆ เธอ แทนที่จะไปนอนอีกฝั่งหนึ่งเพราะตอนนี้หนิงหลงนอนตรงกลาง“ภรรยาครับ นานมากแล้วนะครับที่เรา…แผลคุณหายดีหรือยังครับยังเจ็บอยู่หรือเปล่า" หลี่เล่อเยียนขนลุกทันทีที่สามีเอาหน้ามาซุกซอกคอพร้อมกับสูดดมกลิ่นหอมจากเธอไปมา“ฉะ ฉันยังไม่หายเจ็บเลยค่ะ อีกอย่างคุณแม่ก็บอกแล้วนี่คะ ว่าให้งดไปอีก 3 เดือน” แม่สามีเธอบอกตั้งแต่ที่กลับบ้านวันแรกว่ากิจกรรมบนเตียงให้ลูกชายงดไปอีก 3 เดือนให้แผลเธอสมานดีก่อน“ผมใกล้จะขาดใจตายแล้วล่ะครับ” หยางหมิงเฉิงหอมแก้มภรรยาแรงๆ พร้อมกับลุกไปเข้าห้องน้ำหยางหมิงเฉิงพาน้องชายสามไปซื้อของฝาก เขาซื้อมาเยอะทีเดียวตามคำสั่งภรรยา พร้อมทั้งกำกับชัดเจนว่าส่วนไหนเป็นของส่วนกลางและส่วนไหนเป็นของพ่อหยาง“สงสัยพี่ชายคุณจะกลัวพวกเราฮุบเอาของฝากไปหมดเลยมั้งคะถึงได้เขียนกำกับขนาดนี้” สะใภ้สามที่เห็นของบำรุงแต่ละอย่า
หลังจากที่เข้ามาในห้องนอนสะใภ้สามก็เขวี้ยงปาข้าวของ เธอทำผิดอะไรทำไมถึงไล่กันยังกับหมูกับหมาขนาดนี้ ยัยสะใภ้รองอายุเท่าไหร่กันทำไมถึงไม่มีสัมมาคารวะบ้างเลย หล่อนอายุน้อยกว่าเธอตั้งหลายปี แต่พูดไม่ให้เกียรติกันเลยสักนิด เห็นว่าตัวเองมีชีวิตที่ดีจะถีบหัวใครไปไหนก็ได้อย่างนั้นหรือ อีกอย่างที่ดินในปักกิ่งสามีเธอก็ควรจะมีสิทธิได้เหมือนกันสิถึงจะถูก คิดแล้วมันน่าเจ็บใจนักมีสามีหัวอ่อนแบบนี้เธอหลับหูหลับตาแต่งงานด้วยได้ยังไงกัน“แม่คะเราต้องกลับบ้านจริง ๆ หรือคะ หนูชอบที่นี่เราไปขอคุณลุงดีหรือเปล่าคะ คุณป้าสะใภ้น่ากลัวมากเลยหนูกลัวมากเลยค่ะแม่” หยางจินเยว่ที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ไม่กล้าที่จะเอ่ยแม้แต่ครึ่งคำ เพราะในตอนนั้นป้าสะใภ้เธอดูน่ากลัวมาก“แกไม่ได้ยินที่เขาด่าหรืออย่างไร จะให้ฉันหน้าหนาทนอยู่ได้อย่างไรกัน ถ้าแกอยากจะอยู่แกก็ไปขอคุณย่าสิ” เมื่อพูดถึงตรงนี้สะใภ้สามก็มีความคิดดี ๆออกแล้วล่ะ“เยว่เอ๋อร์ ถ้าลูกอยากจะอยู่ปักกิ่งต่อ ลูกลองไปขอคุณย่าดูซิจ๊ะ ไปเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คุณย่าฟังว่าป้าสะใภ้พูดอะไรกับพวกเราบ้าง แม่