“เปล่า แค่ดูเหมือนว่าพ่อมีอะไรจะพูดกับผม” กงเฉินสูบบุหรี่อย่างไม่รีบร้อนคุณท่านกงยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น และมองไปที่กงเฉินอย่างสงบเขาอยากจะดูความคิดของลูกตัวเองให้ชัดเจน แต่ยิ่งมองยิ่งเหมือนถูกกั้นด้วยควันแต่พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่จําเป็นต้องปิดบังอะไรอีก“เรื่องนี้อาห้ากับอาหกของแกทำออกมาไม่ดี หาเหตุผลไปปล่อยคนออกมาก่อน ส่วนทางด้านหลินจืออี้ให้มันหุบปากซะ จะได้ไม่ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลกงเสียหาย”กงเฉินดีดไฟแช็กในมือ ก่อนจะหัวเราะอย่างเย็นชา “ชื่อเสียงของตระกูลกงถูกหลินจืออี้ทำลายหรือคนอื่นกันแน่?”คุณท่านกงเดาะลิ้น “แกหมายความว่ายังไง?”กงเฉินพูด เปิดบทสนทนาที่หลินจืออี้บันทึกไว้ในโทรศัพท์โดยตรงคุณท่านกงยิ่งฟัง สีหน้าก็ยิ่งเขียวคล้ำกงเฉินพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “พวกเขาสองคนกับหลินจืออี้ไม่มีความแค้นต่อกัน ทำไมต้องส่งคนไปจับตาดูเขาตลอด?”ได้ยินดังนี้ แผ่นหลังของคุณท่านกงก็เริ่มเย็นขึ้นเขารู้ดีถึงหัวใจของกงเฉินนั้นเป็นอย่างไร!“พอแล้ว!” คุณท่านกงยืนเอามือไพล่หลัง “แกไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปก็ช่างเถอะ แต่ถ้าอุบัติเหตุที่เหมืองถูกเปิดเผยจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตระกูลกง”“เรื
เมื่อได้ยินว่าคุณท่านกงมาแล้ว หลินจืออี้ก็ผลักกงเฉินออกทันทีขาและเท้าของกงเฉินไม่สะดวก ร่างของเขาแกว่งไปแกว่งมาบนเตียงสักพักถึงทรงตัวได้ สายตาของเธอจ้องมองหลินจืออี้อย่างเคร่งขรึม“กลับไปก่อน”“อืม”หลินจืออี้คิดไปคิดมาก็ตอบตกลงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เธอคนเดียวจะอธิบายให้ชัดเจนได้แต่ขณะที่เธอกําลังจะออกไป ประตูห้องก็ถูกผลักอย่างแรงเมื่อคุณท่านกงเข้าประตูมา พอเห็นกงเฉินที่บาดเจ็บ แววตาก็เต็มไปด้วยความโกรธเขาหรี่ตากวาดมองหลินจืออี้ แล้วก็โบกมือตบหน้าเธอฉาดหนึ่งจนเกิดเป็นเสียงดัง“นี่น่ะเหรอบุญคุณที่เธอตอบแทนการเลี้ยงดูของตระกูลกง? เป็นความโชคร้ายของบ้านจริงๆ!"ร่างกายของหลินจืออี้ยังไม่หายดี ร่างของเธอกระแทกกําแพงอย่างแรงจนหัวหมุนติ้ว มุมปากมีเลือดซึมออกมาแต่คุณท่านกงก็ยังไม่หายโกรธ เขาโบกมืออีกครั้งแต่กลับถูกกงเฉินขวางไว้กลางอากาศเท้าที่บาดเจ็บของเขาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป จนทำให้แผลที่เย็บไว้ปริออก ผ้ากอซย้อมเป็นสีแดงทันทีเมื่อคุณท่านกงเห็นสิ่งนี้ ความโหดเหี้ยมก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา "กงเฉิน! แกหมายความว่ายังไง? มันทำร้ายแกแบบนี้ ฉันยังตบหน้ามันไม่ได้อีกเหรอ?”“
"ฉัน..... ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ยังไงก็ตามหลักฐานในมือของพวกเขาสมบูรณ์ ไม่มีใครหลบหนีไปได้ทั้งนั้น”หลิวเหอพึมพํา ก่อนจะหั่นผลไม้ชิ้นหนึ่งแล้วยัดใส่ปากของหลินจืออี้หลินจืออี้รู้ว่าการที่คนเหล่านี้สามารถเอาหลักฐานมาได้ ต้องมีคนช่วยแน่นอนนอกจากกงเฉินแล้ว เธอก็นึกไม่ออกว่าจะมีใครมีความสามารถมากขนาดนี้หลินจืออี้กัดแอปเปิ้ล ไม่รู้สึกถึงรสชาติเลย เธอพูดอย่างงุ่มง่ามว่า “แม่ แล้วอาเล็กล่ะ?”"ตาย......อ๊ะ!” หลิวเหอมองมีดปอกผลไม้ที่เกือบจะกรีดโดนตัวเอง “ให้ตายสิ! นี่แกจะฆ่าแม่แกเหรอไงกัน!”"ตายเหรอ? อาเล็กจะตายได้ยังไง? อย่างมากก็แค่ขาหักข้างหนึ่งไม่ใช่เหรอ?” หลินจืออี้พูดเสียงสั่น“ฉันจะพูดว่าตายได้ยังไงกันต่างหาก!”“แม่ แม่พูดให้มันชัดเจนหน่อยได้ไหม?” หลินจืออี้ขมวดคิ้ว"แกจะตื่นอะไรนักหนา ตลอดทางกลับ ถ้าไม่ใช่ฉันปิดปากแกไว้ แกเอาแต่เรียกอาเล็กแก ไม่หยุดเลย......”"แม่! ฉันหิวแล้ว แม่ซื้อของกินให้ฉันหน่อยสิ” หลินจืออี้ตัดบทเสียงดังหลิวเหอเดาะลิ้นแล้วหันหลังออกไปซื้อของกินหลินจืออี้นั่งอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ลุกจากเตียงไปถามห้องผู้ป่วยของกงเฉินแต่เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องผู้ป
กงเฉินปล่อยเธอ แล้วนั่งพิงก้อนหินเงียบๆไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนเขาปรับท่านั่งเล็กน้อย งอขาข้างหนึ่งยันร่างกายไว้ เอ่ยเสียงเรียบว่า “หลินจืออี้ ตกลงฉันควรทำยังไงดี?”หลินจืออี้ไม่เข้าใจความหมายของเขาเธอหันศีรษะและเปิดปากเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ศีรษะของชายคนนั้นก็ตกวูบลงมาหน้าผากของกงเฉินแนบกับแก้มของหลินจืออี้ เธอสังเกตเห็นความผิดปกติทันทีร่างกายที่สูงใหญ่ในยามปกติตอนนี้กลับหนาวจนตัวสั่นหลินจืออี้คลําหาในความมืด เข้าไปใกล้ๆ เพื่อตรวจสอบบาดแผลของเขาเสื้อผ้าที่พันแผลเปียกโชกไปด้วยเลือดมานานแล้วเธอทำได้แค่ฉีกแขนเสื้ออีกข้างหนึ่งและมัดแผลของเขาให้แน่นขึ้นแต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้กงเฉินรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามสีหน้ากลับแย่ลงเรื่อยๆเขากําหมัดแน่น เส้นเลือดดําที่คอปูดโปนขึ้นมา แต่สีหน้ากลับขาวซีดราวกับกระดาษ เส้นผมเปียกชื้นแนบชิดกับหน้าผากเหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาตามจังหวะ ดวงตาพร่ามัว มีความยั่วยวนใจอย่างบอกไม่ถูก“อาเล็ก?”“……”กงเฉินไม่ได้ตอบกลับ เพียงแต่เกร็งไปทั้งตัว ราวกับกําลังต่อต้านอะไรบางอย่างอยู่หลินจืออี้เห็นแบบนี้แล้ว ในใจพลันกลัดกลุ้มยิ่งนั
อย่างมองว่ามันเป็นแค่ก้อนหินแบบนี้ก้อนเดียว ขอแค่ทำให้มันแน่นได้ก็สามารถช่วยบล็อกหินที่อยู่ข้างหลังได้แต่หลินจืออี้ก็ออกไปไม่ได้แล้วเหมือนกันทางออกเดียวถูกขวางแล้วหลังจากแน่ใจแล้วว่าปลอดภัยชั่วคราวแล้ว หลินจืออี้ก็ไม่ได้ผ่อนคลาย เธอหันกลับไปมองผู้ชายที่กึ่งนอนอยู่บนพื้นด้วยความโกรธแค้น"ทำไมอาไม่ขยับ! นี่อาหลอกฉัน! อา......"หลินจืออี้ยกมือออกไปหมายจะตีเขาด้วยความโกรธ แต่วินาทีต่อมา มือกลับค้างเติ่งกลางอากาศในเวลานี้เธอพบว่าขาของกงเฉินได้รับบาดเจ็บจากก้อนหินและมีเลือดไหลนองพื้นเธอก้มหน้าลง อารมณ์ซับซ้อนจนพูดอะไรไม่ออกกงเฉินยกมือขึ้นมาบีบคางเธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วละสายตาไปจากเธอ“ไม่ได้ทำร้ายุถึงเอ็นและกระดูก ก็แค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น”หลินจืออี้ตบมือเขาอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำจ้องมองเขา “ทำไมอาเล็กเป็นแบบนี้ตลอด? ตบหัวแล้วก็ลูบหลัง! ฉันควรจะขอบคุณอาเล็กไหม? ฉันเกลียดอาเล็กเหลือเกิน!”กงเฉินยกมือขึ้นอย่างช้าๆ และวางมันลงอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรในเหมืองมืดมาก เธอเองก็ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจนเหมือนกันหลินจืออี้ไม่มองเขาอีก ย้ายไปตรวจดูบาดแผลที่ข้างขาเข
บางทีคําพูดของหลินจืออี้อาจจะไร้เดียงสาเกินไปสําหรับพวกเขาอาหกไม่สนใจฝุ่นบนพื้น เขายกรองเท้าหนังที่เงาวาวเหยียบตรงข้างๆ เธอ“หลินจืออี้ เธอคือลูกติดของกงสือเหยียนในนาม มาที่เหมืองของตระกูลกงก็ไม่ถือว่าเกินเลยไป เจอตินถล่มก็คือเพราะชีวิตของเธออาภัพ เธอว่าเรายังต้องอธิบายให้ใครฟังอีก?”"กงสือเหยียน? เขานับเป็นอะไรได้? ถึงเราจะฆ่ามันไปด้วย พ่อเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรหรอก?”“สําหรับเรื่องของเหมือง เธอคิดเหรอว่าชาวบ้านที่ยากจนเหล่านั้นจะสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้? ทีแรกยังคิดจะจัดการพวกเขาดีๆ แต่ตอนนี้พวกมันไม่ยอมเซ็นยอมรับความผิดสักที คาดไม่ถึงว่าจะกล้าเป็นปรปักษ์กับตระกูลเรา! คนต่อไปที่จะตายก็คือพวกมันนี่แหละ! ก็แค่ห้าแสน ฉันขี้เกียจจะใส่ใจด้วยซ้ำ”ในเวลานี้อาห้าขมวดคิ้วและขัดจังหวะ พูดอย่างจริงจังว่า "นายพูดกับมันมากขนาดนี้ทำไม? จัดการมันเร็วๆ เข้า!”หลินจืออี้ฟังแล้วก็เข้าใจทันที อาห้าที่ไม่ค่อยพูดในสองคนนี้ต่างหากถึงเป็นคนที่โหดจริงเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตา อาห้าก็หรี่ตามอง“เดี๋ยวก่อน ตีมันให้สลบแล้วค่อยส่งเข้าไป!”“……”หัวใจของหลินจืออี้เต้นตึกตัก มือที่ถูกมัดไว้ด้านหลังกําแน่นโดย