บทที่ 2
การแก้ปัญหา
บุคคลที่ได้รับเกียรติเป็นแขกพิเศษของจวนสกุลโต้วในวันนี้คือเจินเจียวหรงและ ‘เจินฮ่าวหลิน’ ผู้เป็นสามีของนาง เจินซูเมิ่งบุตรีคือผู้เสียหายและโจทก์ของคดีนี้ โดยมีเผิงฟางหยวนผู้แสนอ่อนโยนและสุภาพพร้อมด้วยเซี่ยอิ๋งลู่ที่นั่งหน้าหงอยเพราะโดนเฉ่งชุดใหญ่ตั้งแต่โดยสารอยู่บนรถม้าฐานไม่ยอมดูแลเพื่อนรักให้ดีจนนางต้องเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายก็มาร่วมเป็นสักขีพยานด้วย
เจินฮูหยินกวาดสายตาสำรวจไปรอบ ๆ โถงรับรองเรือนหลักพลางเบ้ปากอย่างนึกอิจฉา เกิดเป็นชนชั้นสูงมีโอกาสสร้างคุณงามความดีต่ออาณาจักรก็จะได้ผลตอบแทนเป็นความโอ่อ่าเยี่ยงนี้ ข้าวของเครื่องใช้หลายชิ้นทำมาจากวัสดุคุณภาพสูง บางอย่างก็มาจากต่างแคว้นต่างเมือง มีภาพวาดทิวทัศน์จากจิตรกรชื่อดังรวมถึงอักษรมงคลลายเส้นงดงามที่รังสรรค์โดยอาจารย์ที่มีผู้นับหน้าถือตาไปทั่วแผ่นดินล้วนราคาแพงเกินเอื้อมทั้งนั้น
จะต้องขายไม้อีกกี่สิบชาติถึงจะอู้ฟู่ได้เยี่ยงนี้บ้าง เห็นทีจะต้องแกะสลักจนนิ้วกุดกระมัง
จนเมื่ออดีตท่านแม่ทัพผู้เป็นเจ้าของจวนเข้ามานั่งยังเก้าอี้ประธานอันเป็นจุดศูนย์กลางแขกทุกคนจึงกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง เพราะใบหน้าอันแสนดุดันและก้าวย่างอันสง่างามของเขานั้นแสดงบารมีได้โดยที่ยังไม่ต้องปริปากพูดอะไรแม้สักคำเดียว
ดวงตาคมกวาดสายตาสำรวจไปรอบ ๆ อย่างเก็บรายละเอียด แม้แต่เจินเจียวหรงที่แสดงท่าทางอย่างนักเลงก่อนหน้านี้ก็มิบังอาจสู้หน้าอย่างเต็มท่าทีนัก
บุคคลทั้งห้าลุกขึ้นคารวะผู้อาวุโสสูงสุดด้วยท่าทางนอบน้อมอย่างพร้อมเพรียง
“ท่านใต้เท้าทราบเรื่องแล้ว” โต้วฮูหยินบอกเสียงราบเรียบเพราะกำลังพยายามข่มอาการต่อต้านอย่างรุนแรงภายในใจ
“แล้วท่านเชื่อพวกเรามั้ยเจ้าคะ ถ้ายังไม่เชื่ออีกตรงนี้มีทายาทหมอที่เก่งที่สุดในฉางอาน อยากจะตรวจสอบอะไรก็เอาเลย เมิ่งเอ๋อร์นอนลงให้หมอเผิงตรวจซ้ำอีกครั้ง” ว่าพร้อมลุกขึ้นไปหมายจะจับร่างบอบบางของบุตรสาวนอนราบไปกับพื้นโดยไม่รีรอ
“เอาล่ะ ๆ ใจเย็น ๆ กันก่อน” เสียงทุ้มกังวานกล่าวแทรกความโกลาหลทำให้แกนนำผู้บุกรุกหยุดชะงักก่อนจะทันได้ทำอะไรแผลง ๆ
“ข้าหวังว่าท่านจะมอบความเป็นธรรมให้กับบุตรสาวของข้าด้วย”
“หากเป็นเยี่ยงนั้นจริงก็คงจะหนีไม่พ้นต้องให้ทั้งคู่ตบแต่งกันตามประเพณี...”
ได้ยินเยี่ยงนั้นก็ราวกับน้ำทิพย์ชโลมรดหัวใจ เจินเจียวหรงเผยรอยยิ้มกว้างออกมาในที่สุด ผู้ติดตามคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน
"ข้าจะรับบุตรสาวของเจ้ามาเป็นอนุของบุตรชายข้า”
สิ้นประโยคตัดสินใบหน้าระรื่นชื่นบานก็หุบลงทันที
“วะ ว่าไงนะ! เดี๋ยวสิ เป็นอนุได้เยี่ยงไรเล่าเจ้าคะ!”
“เรื่องนั้นน่ะ...”
“ข้าไม่ยอม! ยังไงก็ไม่ยอมเด็ดขาด หากใต้เท้าจะยืนกรานตามสิ่งที่กล่าวมาจริง ข้าก็จะเขียนป้ายประจานติดที่หน้าจวนสกุลโต้วยาวจนสุดรั้วกำแพงไปเลย! ซ้ำจะระดมกำลังพลมาประท้วงเพื่อทวงคืนความยุติธรรมอีกด้วย!”
เจินฮูหยินประกาศกร้าวอย่างโกรธเกรี้ยวหลังได้รับการดูแคลนจนเจ้าของสถานที่ทำได้เพียงนั่งอ้าปากค้าง
ที่หออุปรากรย่านการค้าฝั่งตะวันออกของเมืองฉางอานมีการแสดงงิ้วเรื่องใหม่โดยนักแสดงชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจนถูกเล่าขานความสนุกและประทับใจไปทั่วทั้งเมืองหลวงแม้กระทั่งเหล่าเชื้อพระวงศ์ก็ยังให้ความสนใจ...
โดยที่ ‘โต้วตงหมิง’ กำลังนั่งหน้าขมวดเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะมาด้วยทั้งที่เขาตั้งใจจะมาดูงิ้วกับนางเพียงลำพังสองต่อสองเท่านั้น
“เหตุใดจึงทำหน้าเยี่ยงนั้น งิ้วไม่สนุกรึ”
คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมยิ้มแหยอย่างเก็บอาการ
แต่ทว่าคนถามก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจนัก ‘เมี่ยวลี่ฟางเสวี่ย’ หันไปหาเพื่อนชายผู้สูงศักดิ์ซึ่งนั่งอยู่ทางขวามือของตัวเองแล้วแล้วยกนิ้วขึ้นชี้ชวนวิพากษ์วิจารณ์กับการแสดงบนเวทีเบื้องหน้าอย่างออกรสออกชาติ
“พวกเขาแสดงดีสมกับที่ร่ำลือกันจริง ๆ ด้วยนะเพคะ”
“อื้ม... สมบทบาทมาก บทร้องก็ไพเราะ บทพูดก็สละสลวยถือว่าพัฒนาศิลปะแขนงนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว”
“เป็นวาสนาของหม่อมฉันแล้วเพคะที่ได้มาร่วมรับชมอุปรากรกับพระองค์”
“มิรู้ว่าที่มันสนุกขึ้นเพราะได้นั่งดูกับเจ้าด้วยรึเปล่า...”
“องค์ชายทรงล้อเล่นใหญ่แล้วนะเพคะ” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวกลางวงล้อมเผยรอยยิ้มเขิน นางดูจะพอใจมิน้อยในการได้หยอกล้อกับคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
บทสนทนาระหว่างหญิงที่ตนชอบพอกับองค์ชาย ‘หลี่หลงจี’ ทำให้คนที่แอบนั่งฟังเงียบ ๆ อย่างโต้วตงหมิงรู้สึกไม่ต่างกับส่วนเกิน เขาเป็นคนนัดหมายที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับนางแล้วแท้ ๆ ทั้งยังตั้งใจที่จะได้บอกความในใจให้คุณหนูใหญ่สกุลเมี่ยวได้รับรู้ความรู้สึกของตนในวันนี้... แต่ก็ดันมีก้างชิ้นใหญ่เท่าวาฬมาขวางไว้เสียได้ ช่างบังเอิญกระไรที่พระราชนัดดา[1]คนโปรดของฮ่องเต้ดันเกิดปรารถนาจะทอดพระเนตรอุปรากรในวันนี้เช่นกัน
คุณชายใหญ่โต้วเก็บซ่อนกล่องที่บรรจุปิ่นปักผมเงินตกแต่งด้วยหยกแกะสลักอย่างละเอียดงดงามเป็นรูปดอกไม้ไว้ในแขนเสื้อจนลึก ถอดใจเสียแล้วที่จะมอบให้เจ้าของผู้แท้จริง
โต้วตงหมิงกระโดดลงจากรถม้าแล้วก้าวฉับ ๆ เข้าจวนด้วยความงุ่นง่าน ชายหนุ่มวัยยี่สิบปีกำลังเดือดดาลกับสิ่งที่ตั้งเป้าไว้แต่กลับไม่สำเร็จดั่งหวัง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ใดขัดใจเขาแม้แต่บิดาและมารดา
แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดที่เมี่ยวลี่ฟางเสวี่ยทำเหมือนเกาะมังกรเกาะหงส์ คอยเอาอกเอาใจคนแซ่หลี่ผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้านั่นอยู่ได้ บัดนี้เขารู้สึกตัวเองเป็นเพียงบุรุษที่ตัวเล็กนิดเดียวอีกทั้งยังไร้ค่า
“ใยที่จวนวันนี้มีเสียงเอะอะน่ารำคาญยิ่งนัก”
“เรียนคุณชายใหญ่ ได้ยินว่าใต้เท้าและฮูหยินมีแขกคนสำคัญขอรับ ทั้งยังแจ้งว่าหากคุณชายกลับจวนแล้วให้รีบไปพบโดยด่วน”
ชายหนุ่มอารมณ์ร้อนไม่ได้แสดงความเห็นต่อสิ่งที่ ‘ซีหยวนซิน’ นายอารักขาคนสนิทรายงาน แต่รีบก้าวไว ๆ ไปยังโถงรับรอง ณ เรือนกลางหลังใหญ่
“ลูกกลับมาแล้วท่านพ่อท่านแม่” ตงหมิงยกมือขึ้นทำความเคารพบุพการีทำให้เสียงโต้เถียงเอ็ดตะโรเมื่อสักครู่หยุดชะงัก
“กลับมาเสียทีลูกแม่” หนิงอันรีบลุกขึ้นแล้วปรี่เข้าไปหาบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างร้อนรน “ไปสร้างปัญหาใหญ่มาให้ท่านพ่อกับแม่ร้อนใจจนได้”
คนต้นเรื่องกวาดสายตามองแขกแปลกหน้าทั้งห้าคนที่นั่งเรียงกันทางฝั่งขวามือ แต่มีแม่นางอยู่ผู้หนึ่งที่รู้สึกคับคล้ายคับคลาจนอยากจะเข้าไปดูหน้าใกล้ ๆ กระนั้นก็ยังคงความรู้สึกหงุดหงิดและอารมณ์เสียเกินกว่าจะเอ่ยปากถามไถ่เรื่องราวใด ๆ
“ปัญหาอะไรท่านพ่อกับท่านแม่ก็จัดการแทนลูกได้อยู่แล้ว พวกท่านว่ายังไงข้าก็ว่าตามกัน วันนี้ลูกเหนื่อยมากแล้ว ขอตัวนะขอรับ” พูดจบประโยคตงหมิงก็ยกมือขึ้นทำความเคารพบุพการีก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่สนใจแม้สักนิดว่ามารดาของตนจะแหกปากร้องเรียกหรือพยายามโก่งคอเพื่ออธิบายอะไร
[1] พระราชนัดดา (คำราชาศัพท์) หมายถึงหลานชายหรือหลานสาวของพระเจ้าแผ่นดิน
บทที่ 35อ้อมกอดแห่งความผูกพัน เวลานี้ข้างเตียงสลับเป็นโต้วตงหมิงเป็นฝ่ายมานั่งเฝ้าแล้วประคบประหงมภรรยาบ้างโดยเขาไม่ได้ชวนคุยหรือถามจุกจิกเป็นการรบกวนนางแม้แต่น้อย “เหตุใด... ถึงรู้สึกว่าบรรยากาศช่วงนี้น่าเศร้านัก” พราวฝันเพียงมองไปรอบ ๆ ห้องแต่ก็เกิดความหดหู่ขึ้นในใจ “บัดนี้... เทียนโฮ่วสิ้นพระชนม์แล้ว...” “สิ้นแล้วหรือ... มีแต่เรื่องน่าเศร้า...” เธอพึมพำ หลังจากนี้บ้านเมืองจะวุ่นวายและโกลาหลอยู่อีกหลายปีทีเดียว... “ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองต่างเต็มไปด้วยความโศกเศร้า” “เฉกเช่นเดียวกับในจวนของเรา... เจ้าเสียใจบ้างรึไม่ที่เราต้องสูญเสียลูกไป” “เหตุใดจึงเอ่ยถามด้วยถ้อยคำทิ่มแทงข้าเยี่ยงนี้ หากข้าทำดีกับเจ้าก็ย่อมหมายถึงข้าเฝ้ารอคอยการกำเนิดมาอย่างปลอดภัยและแข็งแรงของเขาเช่นเดียวกัน” “ข้าคงคิดมากเกินไป ขอโทษนะตงหมิง” ผู้เป็นสามีไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจ หากแต่ยกฝ่ามือหนาขึ้นลูบศีรษะของภรรยาอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวลราวกับต้องการปลอบประโลมจากทุกความโหดร้ายที่เกิดขึ้น “เจ้าโศกเศร้ามานานแล้ว อย่
บทที่ 34ทวงคืนบุตรสาว วินาทีที่ร่างของเธอลอยละล่องไปบนอากาศราวกับกระดาษขอพรที่ปลิวขาดออกจากเชือกนั้น เธอคิดว่าตัวเองได้ตายไปเสียแล้ว ความรู้สึกนั้นคล้ายคลึงกันเล็กน้อยต่างกันก็แค่เพียงตอนนั้นเป็นกลางคืนแต่ตอนนี้เป็นกลางวัน... ตึง! ม้าตัวนั้นวิ่งฝ่าฝูงชนต่อไปด้วยอาการเตลิดพร้อม ๆ ร่างของพราวฝันก็ตกลงบนพื้นอย่างแรง เธอนอนแน่นิ่งท่ามกลางสายตาของผู้เป็นแม่สามีและคนอื่น ๆ บริเวณนั้น แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่ทะเลาะกันก่อนหน้านี้ยังต้องหยุดวิวาท ราวกับโลกหยุดหมุน โต้วหนิงอันตะเกียกตะกายคลานมาหาลูกสะใภ้ ยิ่งเมื่อบริเวณกระโปรงของนางมีสีแดงฉานจากเลือดสด ๆ ซึมออกมาหญิงสูงวัยก็แทบสิ้นสติ “ซูเมิ่ง ไม่นะซูเมิ่ง ไม่เป็นอย่างนี้สิ เจ้าฟื้นขึ้นมาก่อนเจินซูเมิ่ง ไม่นะ ม่ายยย!!!”“ท่านย่าทวด ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็ท่านอาเชี่ยเฟิงและท่านอาชุนฮวา... ฮวนเอ๋อร์กลับจากหอเหวินฟางแล้วขอรับ”“แหม พูดเสียงเจื้อยแจ้วน่าเอ็นดูจริง ๆ เลยเด็กคนนี้ ไหน... มาซิ มาใกล้ ๆ ย่า ให้ย่ากอดหน่อยเร็ว”เด็กน้อยถอยหลังกรูดตอนที่ผู้
บทที่ 33โต้วเจียฮวน “อยากดูพระจันทร์ใกล้ ๆ กว่านี้รึไม่” “อื้อ” พราวฝันตอบทั้งคราบน้ำตา จากนั้นผู้เป็นสามีจึงพาภรรยาขึ้นม้าแล้วควบเบา ๆ ไปที่ใดที่หนึ่ง ระหว่างทางนั้นหญิงสาวก็ถูกประคองโอบไว้ด้วยชายที่เธอเฝ้ารอคอยมาหลายวันด้วย ใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามเขาก็พาเธอมาที่เนินของภูเขาจงหนานในระดับความสูงที่ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงจนเกินไป เขาเลือกมุมหนึ่งที่ยืนมองออกไปเห็นเมืองฉางอานอันกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทั้งเมืองในยามราตรี ขณะที่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มก็มีแสงผุดผาดจากดวงจันทร์เต็มดวงส่องนำทาง “วิวที่นี่สวยจัง อย่างกับมองจากตึกมหานครแน่ะ” “ตึกอะไรนะ” “ตึกสูง ๆ สูงมาก ๆ จนเจ้าจินตนาการไม่ออกเลยว่ามนุษย์จะสร้างสิ่งก่อสร้างเทียมฟ้าได้” “มนุษย์จะกลายเป็นเทพเซียนรึ” “ไม่... มนุษย์ก็คือมนุษย์เช่นเดิม เราไม่ได้เป็นผู้วิเศษหรือมีพลัง แต่เราจะถูกพัฒนาการทางสมองและทักษะ ต่อยอดด้วยองค์ความรู้ต่าง ๆ จากคนในยุคนี้นี่ล่ะ” “คนในยุคนี้... แสดงว่าเจ้ามาจากอนาคตงั้นรึ” พราวฝันไม่ตอบแต่เบี่ยงประเด็นไปท
บทที่ 32ความคิดถึง มื้อเที่ยงวันนี้มีเผิงฟางหยวนมารวมโต๊ะด้วย ทุกคนในจวนสกุลโต้วดูจะเอ็นดูเขาเป็นอย่างดี ปฏิบัติกับเขาอย่างน่ารักราวกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวก็มิปาน “หมอเผิงเจ้าต้องกินเยอะ ๆ ร่างกายเจ้าซูบผอมเกินไปแล้ว” หนิงอันใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูไปวางไว้บนถ้วยข้าวของว่าที่สะใภ้รอง “มัวแต่ดูแลคนอื่น เจ้าต้องมีคนดูแลที่ดีจะได้มีเรี่ยวแรงรักษาผู้ไข้ทั่วทั้งแผ่นดิน” “หากจะโทษก็ต้องโทษบุตรชายเจ้านั่นล่ะหนิงเอ๋อร์ที่ปล่อยปละละเลย...” ผู้เป็นย่ารีบแทรกด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ก่อนผู้เป็นแม่จะอมยิ้มรับกันโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้บุตรชายนั่งหน้าร้อนผ่าวจนทำตัวไม่ถูก “ยังอีก... ยังไม่รีบคีบกับข้าวให้สหายเจ้าอีกรึเชี่ยเฟิง” ผู้เป็นพ่อทำเสียงดุแต่ทุกคนกลับหัวเราะชอบใจ คนในบ้านนี้ได้เปิดรับโลกใหม่ที่อีกพันกว่าปีอย่าว่าแต่ครอบครัวเลยแม้แต่บางประเทศก็ยังทำไม่ได้ ก่อนเขาก่อนใครสุด ๆ “ข้าเพิ่งจะเคยพบเคยเห็นบุรุษสองคนวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้อในสวนดอกไม้” ชุนฮวาแอบกระซิบกระซาบกับพี่สะใภ้ขณะนั่งจิบน้ำชาและกินของว่างอยู่ในศ
บทที่ 31แต่ละวันที่สามีไม่อยู่ หลังจากที่กินยาบำรุงจากแม่สามีไปได้ครึ่งขนานเธอก็กินเก่งขึ้นมาก ช่วงสายของวันนี้ก็เช่นกันหลังร่วมโต๊ะกินมื้อเช้ากับสมาชิกคนอื่น ๆ ไปเพียงไม่ถึงชั่วยามเธอก็อยากหาอะไรกระแทกปากอีกแล้ว พราวฝันชวนอาหว่านมาเดินเล่นที่โรงครัวแล้วเดินสำรวจโดยการเปิดดูโน่นนี่ไปเรื่อย “ช่วงนี้เราจะกินขนมฉงหยางเป็นของว่างเจ้าค่ะฮูหยินน้อย” บ่าวไพร่คนหนึ่งบอกแล้วยกจานขนมมาส่งให้ หญิงสาวรับมากัดเคี้ยวแล้วเสมองไปรอบ ๆ ก็เห็นคนคุ้นตานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่มุมหนึ่งโดยมีบ่าวรุ่นน้องคอยประคบร้อนบริเวณไหล่ให้อยู่ “มานั่งอู้อยู่รึอันหยิน” “บ่าวปวดระบมไปทั้งแผงไหล่เลยเจ้าค่ะ วันนั้นที่ฮูหยินน้อยปราบโจรขโมยถุงเงินแล้วได้ของรับขวัญมาตั้งมากมาย ถ้ารู้อย่างนี้จะให้หงเอ๋อร์กับไห๋เอ๋อร์ติดตามไปด้วยก็ดี” “โทษข้าอยู่รึ” “ใครจะไปกล้ากันล่ะเจ้าคะ” พราวฝันยัดขนมส่วนที่เหลือเข้าปากแล้วไล่เด็กสาวที่กำลังนั่งประคบแบบขอไปทีออกไปโดยพาตัวเองเข้าไปแทนที่ “ฮูหยินน้อยจะทำอะไรบ่าวเจ้าคะ บ่าวไม่ได้จะตำหนิฮ
บทที่ 30บุปผาหอมที่เริ่มคุ้นชิน สตรีสองนางขนาบข้างไปด้วยกันตามทางเดินแคบ ๆ พร้อมบ่าวไพร่ที่ช่วยถือของฝากบางส่วนตามมา “คงต้องขอบคุณฮูหยินน้อยโต้วที่กรุณาให้ข้าเข้าเยี่ยมสหายตั้งแต่วัยเยาว์ในวันนี้” ผู้มาเยือนเริ่มเปิดสนทนาด้วยการเหน็บแนมเล็กน้อย หากแต่ผู้ทำหน้าที่เจ้าบ้านเพียงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปเท่านั้น “ยามที่ป่วยไข้ตงหมิงมักจะอยากกินบ๊วย... เจ้าทราบรึไม่” “ไม่... ข้าไม่ทราบ” เมี่ยวลี่ฟางเสวี่ยแค่นหัวเราะเบา ๆ ราวกับไพ่ใบนั้นกลับมาอยู่ในมือนางแล้ว “ตอนแปดขวบโต้วตงหมิงจมน้ำหลังจากขึ้นมาได้เขาก็ป่วยเป็นไข้ซมอยู่หลายวันอีกทั้งยังจืดปากจืดคอจนกินอะไรไม่ลง ข้าจึงนำบ๊วยเค็มนี่มาให้เขา หลังจากได้ลิ้มรสมันเขาก็ติดใจทันที ทุกครั้งเมื่อเขาป่วยหนักหลังฟื้นไข้ก็จะถามหาเม็ดบ๊วยเค็มอยู่เสมอ เขาบอกว่ามันทำให้เขาสดชื่นและกระตุ้นการรับรสได้ดี...” พราวฝันเพียงมองที่อีกฝ่ายเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยใบหน้ามีความสุข “แม่นางเมี่ยวคงสนิทสนมกับสามีของข้ามาก” “ใช่... เราสองคนสนิทกันมากจนใคร ๆ ต่างก็คิดว่